A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1440 หุบเหวชั้นที่หนึ่ง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1440 หุบเหวชั้นที่หนึ่ง
“หึๆ ทุกท่านยังคิดอะไรอีก หรือว่าอยากรออยู่ที่นี่จนถึงสามเดือน” ในฝูงชนมีเสียงหัวเราะดังขึ้น จากนั้นเงาร่างคนพลันพลิ้วไหว คนก็กลายเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปยังจุดที่ไกลออกไป
ด้านหลังของเขายังมีคนสองสามคนไล่ตามไปติดๆ โดยไม่เปล่งเสียงพูดใดๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของเผ่าเดียวกัน
เมื่อเห็นคนนำไป ทันใดนั้นคนจำนวนไม่น้อยในฝูงชนก็แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ แล้วบินไปทางรอยแยกของม่านหมอก
ชั่วครู่ที่เดิมก็เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง
คนเหล่านี้กำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ และถูกคนอื่นๆ ชิงล่วงหน้าไปก่อนอย่างไม่ใส่ใจ
หนึ่งในนั้นรวมทั้งหานลี่และพวกของเผ่าแดงสดด้วย
เเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น ประตูยักษ์สีเงินด้านหลังค่อยๆ ปิดลง ผิวของมันมีลำแสงประหลาดห้าสีไหลโคจรอยู่ ประตูบานนี้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
คนที่เหลือจึงเกิดความโกลาหลขึ้น!
“ไปกันเถิด” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปยังประตูสีเงินที่หายไปจากกำแพงยักษ์แล้วพลันโบกมือ ปีกที่แผ่นหลังกระพือ กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกไป
ไป๋ปี้และเหลยหลันก็กลายเป็นลำแสงสีเงินและลำแสงสีทองไล่ตามไปติดๆ โดยไม่ได้ปริปากใดๆ
เมื่อหานลี่และพวกจากไป สายตาประหลาดๆ สองสามสายก็ตกมาอยู่บนร่างของพวกเจา
หนึ่งในนั้นนอกจากคนของเผ่าแดงสดแล้ว ยังมีบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสาขาที่ไม่คุ้นเคยอื่นอีกสองสามสาขา ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขม็งไปยังมาพวกของหานลี่ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป
คนของเผ่าแดงสดที่รอให้ลำแสงหลีกหนีของหานลี่หายไปจากม่านหมอกได้สักพักแล้ว ถึงได้ออกเดินทางตามคำสั่งที่แผ่วเบาของจู้อินจื่อ
ครานี้ยังมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ตรงกำแพงยักษ์แค่สิบกว่าสาขาเท่านั้น
หนึ่งในนั้นกว่าครึ่งล้วนเป็นสาขาๆ ต่างที่แข็งแกร่ง แต่คนเหล่านี้กลับแววตาเปล่งประกายระยิบระยับ บางครั้งก็เหลือบมองไปยังบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสาขาที่เหลืออีกสองคน
คนหนึ่งคือเด็กผู้หญิงผิวดำร่างกายผ่ายผอม นั่นก็คือเอ๋าชิงของเผ่าชีเย่ว์ อีกคนหนึ่งกลับเป็นชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะไม้สีดำร่างกายสูงใหญ่มาก
ชายร่างใหญ่อายุประมาณสามสิบปีเศษ ดวงตาทั้งสองมีสี่รูม่านตา เปล่งแสงแปลกประหลาด แผ่นหลังสะพายดาบใหญ่โตเหมือนกับเขาเอาไว้ เปล่งแสงเย็นเยียบสีทองอ่อน ของชิ้นใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่เก็บเอาไว้ในย่ามเก็บของ
และไม่รู้เพราะเหตุใด บุตรศักดิ์สิทธิ์ของสาขาที่แข็งแกร่งที่เหลือถึงมองไปยังสองคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดคิดจะจากไปง่ายๆ อีก
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดมีท่าทีจะขยับนั้น เอ๋าชิงพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วพาคนของเผ่าสิบกว่าคนบินจากไป
ชายร่างใหญ่สี่รูม่านตาเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววเย็นเยียบ สาวเท้ายาวๆ ก้าวออกไป คาดไม่ถึงว่าจะห่างออกไปสองสามจั้ง ท่าทางไล่ตามเอ๋าชิงไป บุรุษสามคนที่ร่างกายสูงใหญ่เหมือนกับอยู่เผ่าเดียวกันกับเขาพลันไล่ตามไปเงียบๆ
คนอื่นๆ ในเผ่าวิญญาณเหาะเหินเห็นเอ๋าชิงและชายร่างใหญ่จากไป ก็ทยอยกันมีสีหน้าผ่อนคลายลง
แม้กระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยเขยิบเข้ามาใกล้กัน แล้วปรึกษาอะไรกันสักอย่าง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่คนเหล่านี้ก็แบ่งออกเป็นสองสามกลุ่มแล้วจากไป ราวกับว่าต่างวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เช่นนั้นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสองสามร้อยคนจึงจมหายเข้าไปในแผ่นดินสีดำเบื้องหน้า ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
รอบด้านกำแพงยักษ์ล้วนว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน
……
ในเวลาเดียวกันหานลี่และบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์อย่างไป๋ปี้และเหลนหลันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปสิบจั้งเศษ ด้านบนมีหมอกสีเทาลอยนิ่งอยู่ ห่างจากศีรษะของพวกเขาไปแค่ยี่สิบจั้งเศษ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันทอดตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประกอบกับสีเทาตุ่นๆ ที่ไม่มีสีอื่นผสม จึงทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกกดดันเป็นอย่าง
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าก็คือในห้วงเวลาที่คับแคบเช่นนี้ กลับมีพายุอ่อนๆ พัดมาเป็นระยะๆ สีเทาเข้มดูเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าพายุลูกนี้ไม่อาจทำอะไรหานลี่และพวกที่อยู่ในระดับเทพแปลงได้ บนร่างของทั้งสามมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงระยิบระยับต้านทานได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ออกเดินทางล่วงหน้าไปจะมีอยู่ไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ไปทางเดียวกัน คนจำนวนไม่น้อยล้วนจงใจอ้อมผ่านไปจากอีกด้านหนึ่ง
เพื่อไม่ให้คนที่ยังไม่เข้ามาในหุบเหวพบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์จากสาขาอื่นๆ ก่อนแล้วเกิดการปะทะกันขึ้น
หานลี่เองก็ทำเช่นนั้นเช่นกัน
หลังจากที่เขาบินออกมาได้ร้อยลี้เศษ ก็พาไป๋ปี้และพวกทั้งสองออกห่างจากทางเส้นทางเดิม ตรงไปยังเส้นทางอีกสาย
ระยะห่างหมื่นลี้เศษไม่นับว่าไกลอะไรนักสำหรับบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะจงใจลดระดับความเร็วลง หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ยังคงใกล้เป้าหมายแล้ว
สถานการณ์เบื้องหน้าเปลี่ยนไป ทะเลหมอกต่ำๆ กลางอากาศลอยสูงขึ้น พายุทมิฬหมุนวนมาจากฝั่งตรงข้าม เปลี่ยนสีเป็นสีดำเทาอย่างฉับพลัน เมื่อพัดมาปะทะร่างชั่วพริบตาก็รวมตัวกันกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีดำบางๆ ชั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าพายุสีดำเหล่านี้ ยังคงไม่อาจทำอะไรพวกของหานลี่ได้ ทุกคนแค่เพิ่มลำแสงที่ห่อหุ้มร่างขึ้นสองสามส่วนเท่านั้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารพวกเขาก็บินออกมาจากพายุประหลาดสีดำเหล่านั้น เบื้องหน้าสว่างจ้า ทั้งสามคนมาปรากฏตัวบนสถานที่ที่น่าตกตะลึง
นี่คือห้วงเวลาวงกลมที่ไม่รู้ว่ามีความกว้างเท่าไหร่ รอบด้านล้วนถูกพายุประหลาดสีดำห่อหุ้มเอาไว้ กลางอากาศยังคงมีหมอกสีเทาหนาๆ แต่อยู่สูงขึ้นไปพันจั้งเศษ และกำลังหมุนวน ไม่เหมือนกับทะเลหมอกก่อนหน้าเลยสักนิด
แต่ทุกอย่างนี้กลับไม่ไม่ใช่จุดที่ดึงดูดความสนใจของหานลี่และพวกทั้งสามที่สุด สายตาของพวกเขาล้วนมองไปที่จุดจุดหนึ่ง
แผ่นดินสีดำแต่เดิมล้วนหายไป คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่มาแทนที่คือหุบเหวยักษ์ลึกลงไปไม่รู้เท่าไหร่ ด้านในมีหมอกสีดำเทาลอยอยู่เต็มไปหมด และบางครั้งก็มีพายุสีดำอันเย็นยะเยือกพัดออกมา
หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ หลุมยักษ์หลุมนี้เหมือนกับห้วงเวลาที่ไม่รู้ว่ากว้างใหญ่เท่าไหร่อย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาสามคนล้วนลอยอยู่ตรงขอบขอบหุบเหวลึก ความกว้างของห้วงเวลาและหุบเหวนั้นแคบเสียราวกับมดอย่างไรอย่างนั้น
“ดูแล้วนี่คงเป็นประตูของหุบเหว ลงไปเถิด ทว่าต้องระวังหน่อย แม้ว่าจะไม่คิดว่าจะบังเอิญพบปีศาจในหุบเหวในทันที แต่ระวังหน่อยก็ไม่ผิด” หานลี่ไม่ได้พิจารณานานนัก พลางเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบสองสามประโยค จากนั้นปีกที่แผ่นหลังก็สะบัด พุ่งเข้าไปในหุบเหว หลังจากที่หมอกสีดำเทาเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไป
หลังจากที่ไป๋ปี้และเหลยหลันมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้ว ก็ไม่กล้าดูแคลนพลางบินตามเข้าไปติดๆ
หานลี่ร่อนลงข้างล่างอย่างช้าๆ ลำแสงสีเขียวรอบกายเปล่งแสงเจิดจ้า รอบด้านมีศิลาลำแสงจันทราขนาดเท่าฝ่ามือเจ็ดก้อนปรากฏขึ้น แผ่ลำแสงสีขาวนวลออกมา ทำให้ทุกอย่างในระยะสามสิบจั้งเศษกระจ่างชัดขึ้น
มองหมอกที่ลอยหมุนวนรอบๆ หานลี่กลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในใจ
เพิ่งเข้ามาในหุบเหวลึกยังดีหน่อย ม่านหมอกไม่ถือว่าหนานัก แม้ว่าจะไม่ต้องใช้เนตรวิญญาณก็สามารถมองทัศนียภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
แต่หลังจากที่เข้าลึกลงไปสองสามพันจั้ง ม่านหมอกก็หนาขึ้นหลายเท่า
และหลังจากที่ไป๋ปี้และเหลยหลันตามหลังเขามาติดๆ นั้นเขาก็ไม่มีทางใช้เนตรวิญญาณง่ายๆ แน่ ดังนั้นจึงอัญเชิญศิลาลำแสงจันทราเหล่านี้ออกมาเสียเลย
เช่นนั้นก็สามารถรับมือกับสถานการณ์เบื้องหน้าได้
ทว่าเหมือนกับที่หานลี่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า ประตูของหุบเหวกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเขาเข้ามาในหุบเหวลึกขนาดนี้กลับยังไม่พบปีศาจอะไรมาขัดขวางสักตน
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ต่อให้ร้องขอก็ยังไม่อาจได้มาสำหรับหานลี่
หลังจากลงไปลึกกว่าเดิมตั้งไม่รู้เท่าไหร่ หมอกด้านล่างก็จางลง ในเวลาเดียวกันบางครั้งก็มีเสียงของพายุทมิฬดังขึ้นเป็นครั้งครา
หานลี่และพวกทั้งสามรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็รู้ว่ามาถึงขั้นหนึ่งของหุบเหวแล้ว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชาหานลี่ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง พลางมองลงไปด้านล่าง ทะลุผ่านม่านหมอกบางๆ ไป ในที่สุดก็มองเห็นทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกับที่แล้วมา
แผ่นดินสีดำเหลืองปรากฏสู่สายตาของหานลี่ พื้นดินมีสีเขียวชอุ่ม มีต้นไม้ขนาดยักษ์ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น แม้กระทั่งมีวิหคยักษ์สีเทารูปร่างแปลกประหลาดสองสามตัวบินวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ
“นี่คือยุทธภพแห่งหุบเหว ดูแล้วไม่ได้พิเศษอะไรนัก” เมื่อหานลี่และพวกทั้งสามออกมาจากม่านหมอก ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศพลางพิจารณาพื้นดินด้านล่าง ไป๋ปี้ที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหว เอ่ยปากพึมพำขึ้น
“แม้ว่าหุบเหวชั้นที่หนึ่งจะถูกไอทมิฬลุกลามตั้งนานแล้ว แต่ระดับของมันยังเบาบางที่สุดในเจ็ดชั้น ปกติแล้วนอกจากปีศาจระดับต่ำที่สุดแล้วก็มีอสูรธรรมดาๆ จำนวนมากอาศัยอยู่ แต่แค่อสูรเหล่านี้มีนิสัยบ้าระห่ำแปดเก้าส่วนล้วนเป็นอสูรกินเนื้อ บ้างก็ร้ายกาจไม่ด้อยไปกว่าปีศาจระดับต่ำ” เหลยหลันดูเหมือนว่าจะรู้จักที่นี่ไม่น้อยจึงเอ่ยปากอธิบายขึ้น
หานลี่กับมีสีหน้าราบเรียบดูเหมือนว่าจะทำเป็นมองไม่เห็นทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วจิตสัมผัสของเขากลับกวาดไปในรัศมีพันลี้เศษในพริบตารอบหนึ่ง และไม่พบบุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ หรือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง ดูแล้วที่นี่คงจะปลอดภัยแล้ว
“ลงไปกันเถิด หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ถ้าหยุดอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานจะดึงดูดความยุ่งยากเข้ามา” หานลี่ออกคำสั่งแล้วบินลงไปด้านล่างตามอำเภอใจ เหลยหลันและพวกทั้งสองก็ตามหลังเขาไป
เสียงร้องประหลาดดังขึ้น วิหคประหลาดสีเทาสองสามตัวที่อยู่ด้านล่างดูเหมือนจะพบร่างของทั้งสามคน จึงพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลในทันที
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วถึงได้มองเห็นรูปร่างของวิหคประหลาดเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ปากยาวหนาเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม บนเรือนร่างไม่มีขนเลยสักเส้น ผิวหนังประหลาดสีเทาตุ่นๆ บนหัวมีเขาหงิกงอเขาหนึ่ง
หานลี่แค่นเสียงต่ำๆ ดีดนิ้วร่ายอาคมเบาๆ
“ฟิ้วๆ” หลังจากเสียงดังขึ้น กระบี่ลำแสงสีทองสองสามสายก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านร่างของวิหคประหลาดเหล่านั้นไป ฝนโลหิตสาดลงมา วิหคประหลาดทยอยกันร่วงสู่พื้นดิน
ผลคือเมื่อซากศพตกลงสู่ผืนป่าเสียงร้องคำรามดังๆ พลันดังขึ้น จากนั้นพื้นดินด้านล่างพลันสั่นสะเทือน ดูเหมือนว่าจะมีอสูรยักษ์จำนวนมากแย่งชิงอะไรกันอยู่
แววตาของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ มองไปทางเสียงที่ดังมาแล้วบินวนอยู่ห่างจากพื้นดินไปร้อยจั้งเศษรอบหนึ่ง พาคนที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองแยกแยะทิศทางแล้วบินออกไป
“จากคำพูดของบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าร่วมการทดสอบก่อนหน้ากล่าวว่า ทางเข้าชั้นหนึ่งถึงชั้นสองนั้นมีอยู่มากมาย แต่ทางเข้าที่ค่อนข้างปลอดภัยนั้นกลับมีอยู่แค่สิบกว่าแห่งเท่านั้น โอกาสที่จะตามหาผลเปลวยมโลกในชั้นหนึ่งพบนั้นแทบไม่มีเลย พวกเราตรงไปชั้นสองเถอะ ตอนนี้ทางเข้าที่ข้าเลือกอยู่ห่างจากพวกเรามากที่สุด แม้ว่าจะเสียเวลามากหน่อยแต่กลับสามารถหลบเลี่ยงคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อเผ่าเราที่กำลังซุ่มโจมตีอยู่ได้” หานลี่บินไปพลางอธิบายอย่างราบเรียบไปพลาง
ไป๋ปี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเหลยหลันกลับมีท่าทีอย่างไรก็ได้
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นหานลี่พลันฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
เขาอธิบายให้ทั้งสองฟังไม่ได้หมายความว่าต้องการจะปรึกษา ในเมื่อเผ่าวิหคสวรรค์ต้องการให้เขาออกแรงปกป้องบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองให้ทำการทดสอบสำเร็จ แน่นอนว่าทุกอย่างจึงต้องให้เขาเป็นผู้นำ
และจากพลังยุทธ์ของเขาก็ไม่กลัวว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่พลังยุทธ์น้อยกว่าเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง
ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนี้ ทั้งสามคนจึงบินอยู่กลางอากาศต่ำๆ โดยไม่ได้ปริปากอะไร พลางตรงไปยังตำแหน่งที่ทางเข้าของชั้นสองตั้งอยู่