A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1444 ชีพจรภูเขาลึกลับ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1444 ชีพจรภูเขาลึกลับ
หุบเขาขนาดใหญ่นี้ยิ่งบินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทอดตัวลึกลงไปใต้ดินเรื่อยๆ เบื้องหน้าล้วนมืดมิด ไม่มีลำแสงใดๆ เลยแม้แต่น้อย ราวกับเชื่อมกับน้ำพุนพทมิฬอย่างไรอย่างนั้น
แต่ดวงตาทั้งสองข้างของคนเผ่าแดงสดพลันเปล่งแสงสีแดงที่น่าตกตะลึงออกมา คาดไม่ถึงว่าจะยังมองเห็นทุกอย่างท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากนั้นไม่นานเบื้องหน้าท่ามกลางความมืดมิดก็มีเสียงวิหคประหลาดๆ ดังขึ้น ของสีดำขนาดใหญ่บินกรูกันเข้ามา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นค้างคาวปีศาจดวงตาสีม่วงแดงขนาดเท่าวิหคยักษ์ฝูงหนึ่ง เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมาขณะกระโจนเข้าหาคนของเผ่าแดงสด
จู้อินจื่อบินอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อเห็นท่าทางดุดันของค้างคาวเหล่านี้ ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ปีกที่แผ่นหลังพลันกระพือ
ขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ทอตัวเรียงกันอยู่เบื้องหน้า
ลำแสงสีแดงสว่างวาบ ขนนกกลายเป็นลูกธนูเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วน เปล่งแสงสว่างวาบพุ่งทะลุฝูงค้างคาวไป
เสียงระเบิดดัง “ตู้มๆ” ดังขึ้น ค้างคาวทยอยกันกลายเป็นลูกบอลเพลิงร่วงหล่นจากบนท้องฟ้า คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีอะไรเล็ดรอดไปสักตัว
คนของเผ่างแดงสดไม่ได้หยุดชะงักเลยสักนิด ชั่วพริบตาลำแสงหลีกหนีก็จมหายเข้าไปในความมืดมิด
ขอแค่พวกเขาบินลัดเลาะไปตามหุบเขา หนึ่งวันหนึ่งคืนก็จะมาถึงชั้นสองของหุบเหวอย่างปลอดภัย
……
บนเนินดินสีแดงฉาน เงาสีดำยักษ์เปล่งแสงสว่างพร่างขณะบินแฉลบผ่านไป ท่าทางเหมือนกำลังบินหนีด้วยคววามร้อนใจ
และเมื่อเงาสีดำนั้นบินผ่านไปได้ไม่นาน ขอบฟ้าก็มีลำแสงเปล่งประกาย ลำแสงหลากสีอีกสิบกว่ากลุ่มพลันเปล่งแสงสว่างจ้าแล้วปรากฎขึ้น บินตรงไปทางนั้น
คนกลุ่มนี้มีปีกที่แผ่นหลังอันแปลกประหลาด แต่ทุกคนล้วนมีรอยสักสีดำอยู่บนใบหน้า คิดไม่ถึงว่าจะะเป็นคนของเผ่าชีเย่ว์ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน
เด็กผู้หญิงร่างกายผ่ายผอมที่บินอยู่หน้าสุดนั่นก็คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ทุกคนชำเลืองตามอง เอ๋าชิง
สตรีผู้นี้มองจุดเรืองๆ ในจุดที่ไกลออกไป เงาสีดำกำลังหนีเตลิด มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ไล่ตามไปอย่างไม่รีบร้อน
“ศิษย์พี่หญิงเอ๋า อสูรเขี้ยวทองตัวนี้หนีไปคนละทางกับทางเข้าชั้นสองที่พวกเราต้องไป พวกเราไม่ต้องตามไปแล้วดีหรือไม่ สังหารมันเถิด” หลังจากไล่ตามมาได้ชั่วครู่ ในที่สุดชายร่างใหญ่ร่างกายกำยำคนหนึ่งในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าชีเย่ว์ด้านหลัง ก็อดไม่ไหวเอ่ยปากขึ้น
“รีบร้อนทำไม! หรือว่าพบกับปีศาจระดับกลางฝูงหนึ่งอย่างอสูรเขี้ยวทองในชั้นหนึ่ง แน่นอนว่าต้องล้มจับให้หมด หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าาหากข้าไปชั้นต่อไปช้าหน่อยจะไม่อาจทำแบบทดสอบสำเร็จได้” เด็กผู้หญิงเอ่ยก็เอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกโดยไม่ได้หันกลับมา
“เปล่าขอรับ ศิษย์น้องไม่มีทางมีความคิดเช่นนั้นแน่ แค่กลัวว่าผลเปลวยมโลกจะถูกคนของสาขาอื่นแย่งไป” ชายร่างใหญ่ร่างกายกำยำพลันสะดุ้งโหยง แล้วเอ่ยอธิบายอย่างรีบร้อน
“หากสายไปจริง ก็แย่งมาจากสาขาอื่นก็ได้แล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ชั้นสี่ของหุบเหวจะต้องมีผลนี้อยู่จำนวนมากแน่ๆ มากสุดก็แค่เสียเวลามากหน่อยเท่านั้น ลงไปอีกชั้นก็ได้แล้ว” เอ๋าชิงหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างาราบเรียบ
เมื่อได้ฟังคำนี้ ชายร่างใหญ่พลันแบะปปากก แล้วไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
ดังนั้นคนกลุ่มนั้นจึงจ้องเขม็งไปยังเงาสีดำที่วิ่งหนีออกไกล แล้วตามไปอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางเหมือนแมวกำลังไล่จับหนูอย่างไรอย่างนั้น
……
ท่ามกลางกองหินระเกะระกะ คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินใบหน้ามีเกล็ด มีปีกสีฟ้าที่แผ่นหลังสามคน กำลังบินวนปีศาจทมิฬที่มีหัวเป็นกวางตัวเป็นมนุษย์สูงสองจั้งพลางโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
ปีศาจตนนี้มีไอสีดำหมุนวนอยู่บนร่าง ในมือถือสามง่ามยักษ์สีดำเอาไว้ คนหนึ่งต้านทานบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสองสามคน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งต่อสู้อย่างดุดันมากขึ้น
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสามคนที่ล้อมโจมตี ต่างร้องอุทานว่าแย่แล้วในใจไม่หยุด
ที่นี่เป็นแค่ชั้นหนึ่งของหุบเหวเท่านั้น แต่ปีศาจหน้ากวางอย่างปีศาจระดับสูงที่จะปรากฎตัวแค่ในชั้นสามเท่านั้น มาปรากฎตัวที่นี่ได้อย่างไร
ทว่าในเมื่อถูกปีศาจร้ายที่ชอบกินเนื้อจับจ้อง พวกเขาทั้งสามก็จำใจต้องต่อสู้อย่างสุดกำลังแล้ว
จุดที่เหลือเหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินในชั้นหนึ่ง กว่าครึ่งก็ประสบกับความยุ่งยากที่คิดไม่ถึงเช่นกัน แต่บางพวกกลับราบรื่นมาก จนเข้าใกล้ทางเข้าชั้นสองแล้ว แม้กระทั่งคนของเผ่าแดงสดก็เริ่มเข้าไปในทางเข้าชั้นสองแล้ว
และหานลี่ในครานี้เพราะจำต้องหลบหลีกคนของสาขาอื่นๆ ที่มีเจตนาไม่ดี จึงจำใจต้องตามหาทางเข้าที่ค่อนข้างงห่างไกล พาเหลยหลันและพวกทั้งสองควบคุมรถเหาะหนีไปได้กว่าครึ่งวัน
ไม่รู้ว่าอาคมบนรถคันนี้ได้ผลจริงๆ หรือว่าเดิมทีถนนสายนี้ก็มีปีศาจอยู่ไม่มากอยู่แล้ว หนทางต่อมาของพวกเขาจึงไม่ได้พบความยุ่งยากอะไร เมื่อบินมาได้สองวันสองคืน หลังจากบินผ่านป่ารกทึบสองผินและเนินเขาแล้ว ก็เข้าสู่จุดที่ค่อนข้างลึกของชั้นหนึ่ง
หากว่าตามความเร็วของรถและความราบรื่นนี้ น่าจะใช้เวลาอีกวันเดียวก็ถึงทางเข้าชั้นสองแล้ว
เหลยหลันและไป๋ปี้รู้สึกดีอกดีใจกับสิ่งนี้มาก
ทว่าหลังจากบินไปได้สองสามหมื่นลี้ เบื้องหน้ากลับมีภูเขาชีพจรวิญญาณใต้ดินสีดำปรากฎขึ้น
ภายใต้ความตกตะลึงของทั้งสาม จึงจำใจต้องหยุดรถเหาะ
“ตามเครื่องหมายในแผนที่ ที่นี่ควรจะเป็นที่ราบ เหตุใดถึงมีเทือกเขา” ไป๋ปี้ยืนอยู่ในรถจ้องเขม็งไปยังภูเขายักษ์ที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้า พลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง
เหลยหลันเองก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
มองจากที่ไกลๆ ยอดเขาของเทือกเขาล้วนสูงใหญ่ บางยอดก็สูงเสียดส่วนที่สูงที่สุดในยุทธภพใต้ดิน แต่แค่สองฝั่งของภูเขาเหล่านั้นมีรอยแยกที่สามารถผ่านไปได้ กลายเป็นถ้ำเล็กๆ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกขนลุกซู่
ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเทือกเขานี้ทอดยาวไปถึงเพียงไหน ด้านหลังจะมีอะไรประหลาดๆ อีกหรือไม่!
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว บินลงมาจากรถวิญญาณ ร่อนลงบนพื้นดินใกล้ๆ และก้มหน้ามองพิจารณาอะไรสักอย่างอย่างละเอียด
เมื่อเห็นท่าทางของหานลี่ เหลยหลันและไป่ปี้พลันรู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็บินออกจากรถวิญญาณ แล้วร่อนลงด้านข้างหานลี่
“ดูจากรอยรอบๆ แล้ว เทือกเขาลูกนี้น่าจะเพิ่งมาปรากฎในรอบร้อยปีที่ผ่านมา กว่าครึ่งคงถูกคนใช้ลมปราณเคลื่อนย้ายมาที่นี่” หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ย้ายภูเขา!” เหลยหลันมีสีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย ไป๋ปี้เองก็มีสีหน้าเหยเกเล็กๆ
“ใช่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่แค่ลูกเดียว ทั้งเทือกเขาล้วนถูกคนย้ายมาที่นี่ ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวนัก แม้ว่าความสามารถชนิดนี้ราชันย์ปีศาจที่อยู่ชั้นลึกสุดของใต้ดิน ก็ไม่อาจทำได้โดนลำพัง กว่าครึ่งคงอาศัยสมบัติอะไรสักอย่างหรือว่าเขตอาคมอะไรสักอย่าง มิเช่นนั้นชั้นลึกสุดของหุบเหวคงจะมีปีศาจระดับวิญญาณเที่ยงแท้อาศัยอยู่จริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“เช่นนี้นี่เอง” ไป๋ปี้ในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์เองก็มีประสบการณ์ไม่ธรรมดา เมื่อขบคิดเล็กน้อยก็ถึงบางอ้อขึ้นมา
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น สถานการณ์นี้ก็ไม่ค่อยปกตินัก ทะเลทรายที่จู่ๆ ก็ปรากฎขึ้นที่เราเพิ่งผ่านมา ปีศาจหุบเหวทำเช่นนี้ คงมีเจตนาอะไรแน่” เหลยหลันกลับเผยสีหน้ากังวลใจออกมา
“อาจจะเป็นผลกระทบของการที่คลื่นปีศาจจะระเบิดก็เป็นได้ ต่อให้ไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ก็คงมีเหตุผลอื่น การทดสอบหุบเหวไม่อาจยกเลิกได้ เรื่องนี้พวกเราไม่อาจควบคุมได้ มีเพียงต้องรีบไปที่ชั้นสามและนำผลเเปลวยมโลกกลับไป แล้วรายงานเรื่องนี้ต่อเผ่าเท่านั้น” หานลี่กลับไม่ได้ร้อนใจ ถึงอย่างไรเสียเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ เขาก็เคยพบมาไม่น้อย
“พี่หานพูดถูก แต่เกรงว่าเทือกเขานี้จะแปลกประหลาดไปหน่อย หากบินผ่านยอดเขาไป ไม่รู้ว่าจะพบกับอันตรายใด หากอ้อมไปทางทั้งสองฝั่งล่ะก็…” ไป็ปี้เอ่ยไปพลางลังเลเล็กน้อย
“อ้อมไปทั้งสองทางไม่ได้” เหลยหลันเอ่ยปากปฏิเสธ จากนั้นก็วิเคราะห์ว่า
“ตามสัญลักษณ์ในแผนที่ ทั้งสองฝั่งของที่นี่ด้านหนึ่งคือวายุหุบเหว วายุหุบเหบที่นั่นไม่เหมือนกับที่เราเคยพบก่อนหน้า ความรุนแรงและไอยะเยือกที่ผสมอยู่เพียงพอจะทำให้พวกเรากลายเป็นเสาน้ำแข็ง ติดอยู่ในนั้นตลอดกาล เป็นเขตต้องห้ามที่มีชื่อเสียงของชั้นหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร เป็นรังของมดบินหุบเหวที่จัดการอยากที่สุดในชั้นหนึ่ง มีมดบินอาศัยอยู่นับสองสามแสนตัว จากพลังยุทธ์ของพวกเราห้ามบุกเข้าไป ไม่ต้องพูดว่าจะมีโอกาสรอดเพียงส่วนเดียวแล้ว กว่าครึ่งคงไม่อาจเดินออกมาได้อีกตลอดกาล”
“เช่นนั้นพวกเราก็มีเพียงต้องเสียงข้ามมันไปแล้ว” มองไปยังภูเขาสีดำเบื้องหน้า หานลี่ลูบใต้คางไปมา แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“นั่นก็ไม่แน่ หากยอมอ้อมไปล่ะก็ ก็สามารถอ้อมไปยังถนนอีกสายได้ แต่ต้องเสียเวลาไปอย่างน้อยก็เจ็ดแปดวัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตามหาผลเปลวยมโลกของพวกเรา” เหลยหลันลังเลเล็กน้อย
หานลี่กลับดวงตาเปล่งประกาย มองไปยังเทือกเขาที่ไกลออกไป แล้วเงียบขรึมมิได้เอ่ยอะไร
ครานี้ไป๋ปี้และเหลนหลันเองก็ปิดปากเงียบ ดูแล้วคงมอบอำนาจการตัดสินใจให้หานลี่ทั้งหมด
“เทือกเขาแห่งนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดมากต่อข้า หากข้ามไปจริงๆ แล้วพบกับอันตรายอะไรเข้า ถึงครานี้ต่อให้พวกเราออกจากเทือกเขาได้ ก็เกรงว่าต้องสูญเสียลมปราณไปไม่น้อย ไม่เป็นผลดีต่อการทดสอบจากนี้ ส่วนไปถึงชั้นสองช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร หากล่าช้าไปบ้าง ก็จะทำให้พวกที่คิดไม่ดีต่อพวกเราไม่รู้เส้นทางของพวกเรา อีกอย่าง คนเข้ารับการทดสอบมากมายขนาดนี้ ชั้นสองคงไม่มีผลเปลวยมโลกให้ตามหามากมายอะไรหรอก แต่เดิมข้าก็คิดจะพาพวกเจ้าไปที่ชั้นสามอยู่แล้ว ไปกันเถิด เสียเวลามากหน่อย ก็ดีกว่ากับเผชิญกับอันตรายที่ไม่รู้จัก” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปาก จากนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว คนกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินกลับเข้าไปในรถวิญญาณ
เหลยหลันและไป๋ปี้เห็นเช่นนั้น ก็ถ่ายทอดเสียงไปสองสามประโยค สุดท้ายก็บินขึ้นไปบนรถวิญญาณกลางอากาศ
“พี่หานเราลองปรึกษาหารือกันอีกสักรอบดีหรือไม่ บางทีบนภูเขาอาจจะไม่ได้อันตรายอะไรอย่างที่คิดก็ได้” ไป๋ปี้ที่สองเท้ายืนอยู่บนรถวิญญาณ อดไม่ไหวเอ่ยขึ้น
แม้นว่าเขาจะรู้สึกว่าสิ่งที่หานลี่กล่าวมีเหตุผล แแต่หากเสียเวลามมากขนาดนี้ ก็ยังทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้
“ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าไม่มีทางเข้าไปในเทือกเขานี้แน่” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ ขัดคำพูดชักจูงของไป่ปี้ต่อจากนี้ ทันใดนั้นปลายเท้าก็แตะไปตรงสามเหลี่ยมของรถวิญญาณ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น รถคันนี้กลายเป็นลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่ง พุ่งไปอีกด้านราวกับดาวตก
เมื่อเห็นท่าทียืนหยัดของหานลี่ ไม่ใช่แค่ไป๋ปี้ที่ถอนหายใจออกมาโดยไม่ได้กล่าวอะไร เหลยหลันเองก็ปิดปากเงียบกริบ
ผู้ใดก็ไม่รู้ว่า สายตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่มองมายังหานลี่นั้น มีความคุกรุ่นในใจ
จิตสัมผัสของเขากำลังเชื่อมโยงกับอสูรวิญญาณครวญในกำไลอสูรวิญญาณ กำลังปลอบโยนอสูรตนนี้ที่กำลังรู้สึกกระสับกระส่าย ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยรำพึงในใจไม่หยุด
ตั้งแต่ที่เขาเข้าใกล้เมือกเขานี้ ไข่มุกวิญญาณครวญในร่างก็เริ่มร้อนฉ่า ภายใต้ความตกตะลึงของเขาก็นึกถึงอสูรวิญญาณครวญที่อยู่ในกำไลอสูรวิญญาณ ผลคือพบว่าอสูรตนนี้กำลังเปล่งเสียงร้องคำรามไม่หยุดอย่างผิดปกติ