A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1446 วิกฤตการณ์
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1446 วิกฤตการณ์
เหลยหลันและไป๋ปี้ได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนบินกลับเข้าไปในรถ
ชั่วขณะนั้นรถวิญญาณพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวนวลกลุ่มหนึ่ง ชั่วพริบตาก็พุ่งแหวกอากาศจากไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงสว่างในชั้นสาม พลันมีเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังออกมา
แขนขาวนวลยื่นออกมาจากความมืดมิด ในนิ้วมือมีแผ่นป้ายไม้หัวภูตผีสีเหลืองปรากฏขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? เพลิงวิญญาณของอสูรแปดหน้ามอดไปแล้ว หึ เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เรื่องแค่นี้ยังทำไม่สำเร็จ! ดูแล้วผู้ที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้าคงจะมีความสามารถอยู่บ้าง ช่างเถิด เรื่องเล็กแค่นี้ค่อยจัดการวันหลังก็แล้วกัน ขอแค่เจ้าพวกนั้นไม่ออกจากหุบเหว ข้าก็หาพวกเขาพบแน่” หญิงสาวแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เอ่ยพึมพำด้วยความมั่นใจ เสียงนั้นจึงหายไปท่ามกลางความมืดมิด
สองวันต่อมาที่ชั้นหนึ่งของหุบเหว
เงาสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านผืนหญ้าสีดำไป ฉับพลันนั้นเงาร่างคนสีดำสิบกว่าสายก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ กระโจนไปกลางอากาศ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตั๊กแตนยักษ์สีเขียวมรกตสองตาที่หน้าตาโหดเหี้ยมสิบกว่าตัว
ความสูงสามฉื่อ เป็นสีดำราวกับเหล็ก
เสียง “ตูมๆ” ดังออกมาจากในรถ เงาสีขาวพุ่งออกมาจากประจุไฟฟ้าสีเงินสิบกว่าสาย โจมตีไปยังร่างของอสูรแมลงเหล่านั้นอย่างไม่มีผิดพลาด
ตั๊กแตนยักษ์ไม่ทันได้ร้องครวญ ก็กลายเป็นผุยผง เป็นกลุ่มควันแล้วสลายหายไป
สี่วันต่อมา ณ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าหิน รถวิญญาณคันหนึ่งกำลังบินด้วยความรวดเร็วอยู่กลางอากาศอย่างทระนงองอาจ และข้างล่างกลับมีปีศาจหินที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากก้อนกรวดสองสามตัวกำลังวิ่งไล่ตามอยู่บนยอดเสาหินในป่าหินอย่างไม่ลดละ
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาจากรถ ชั่วพริบตาก็ปักอยู่ทั่วตัวของปีศาจหินสองสามตัวนั้น จากนั้นก็ออกแรงดึงแน่น
หลังจากลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ปีศาจหินทั้งหมดก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไร้ซึ่งพลังชีวิต
เจ็ดวันต่อมาหมอกสีเทาขาวพลันหมุนววนอยู่กลางอากาศเหนือหุบเขายักษ์ หานลี่และพวกสยายปีกลอยตัวอยู่ตรงทางเข้า พลางพิจารณาหุบเขาลูกนั้นอย่างละเอียด
เหลยหลันและไป็ปี้ต่างเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
รถเหาะใต้ฝ่าเท้าของทั้งสามกลับหายวับไป ไม่รู้ว่าพังด้วยน้ำมือของปีศาจที่พบระหว่างทาง หรือว่าหานลี่เก็บกลับไปแล้ว
“ดูแล้วที่นี่คงไม่มีปัญหาอะไร เจ้าไปเถิด! เดินตามที่นี่ลงไปหนึ่งวัน พวกเราก็จะถึงชั้นสองแล้ว ที่นี่ค่อนข้างรกร้าง คิดดูแล้วทางเข้าคงค่อนข้างปลอดภัย น่าจะไม่มีใครมาดักซุ่มโจมตีอะไร” หานลี่เอ่ยทันใดนั้นก็สยายปีกที่แผ่นหลังออก ชิงบินเข้าไปในม่านหมอกก่อนเป็นคนแรก
ครั้นเมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์มาถึงที่นี่ แน่นอนว่าไม่อาจมีเจตนาอยากล่าถอยอะไรได้ จึงตามหลังมาติดๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ม่านหมอกสีเทาไม่นับว่าหนาแน่นนัก แม้ว่าจะเข้ามาลึกแล้วก็ยังมองเห็นสถานการณ์รอบๆ ได้ในระยะสิบจั้งเศษ
ท่ามกลางม่านหมอกบางครั้งก็มีอสรพิษบินติดปีกยาวสองสามฉื่อสองสามตัวบินออกมา คิดจะโจมตีพวกเขาสามคน
แต่แน่นอนว่าล้วนถูกทั้งสามคนสังหารได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากม่านหมอก ปรากฎอยู่บนจุดปลายสุดของเนินเขา
ครานี้บนกำแพงภูเขายักษ์ที่อยู่ตรงปลายของหุบเขา พลันมีรอยแยกขนาดยักษ์สายหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ
คดเคี้ยวไปมาทอดตัวลึกลงไปสู่ใต้ดิน
เมื่อเห็นรอยแยกนี้ หานลี่ก็หัวเราะออกมา พาคนที่อยู่ด้านหลังสองคนเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ลำแสงวิญญาณสามกลุ่มที่อยู่ในรอยแยกยิ่งบินเข้าไปก็ยิ่งอยู่ห่างไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบหลังจากหักเลี้ยวไปสองสามครั้ง ถึงได้สลายหายไป
หลังจากนั้นหนึ่งวันหนึ่งคืนรอบๆ รอยแยกขนาดยักษ์ที่ทอดไปสู่ด้านหลัง พลันมีเสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น
พายุประหลาดสีดำกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากรอยแยก ทำให้กำแพงหินรอบๆ กลายเป็นกำแพงน้ำแข็งสีดำอ่อน เผยความหนาวเหน็บออกมา
แต่ถือโอกาสนี้กลับมีลูกบอลลำแสงหลากสีสันสามลูกทะลักออกมาจากวายุ หลังจากกระพริบวาบก็ปรากฎห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง และเผยเงาร่างคนสามสายออกมาอย่างชัดเจน
นั่นก็คือหานลี่และพวกทั้งสาม
“วายุในหุบเหวขอขงทางสายนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ข้าเกือบจะหลบไม่ได้ เหตุใดในข้อมูลถึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย” ไป๋ปี้มองกลับไปยังจุดที่ออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว
“ในเมื่อในข้อมูลไม่ได้กล่าวไว้ คิดดูแล้ววายุนี้คงเพิ่งจะมีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นอาวุโสของเผ่าเราไม่มีทางไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แน่” หน้าสดสวยของเหลยหลันเองก็มีท่าทางสูญเสียพลังยุทธ์ไปไม่น้อย ทันใดนั้นก็อดไม่ไหวมองไปทางหานลี่่แวบหนึ่ง
หานลี่กำลังเอาสองมือกอดอกพิจารณามองอะไรสักอย่างอยู่รอบๆ ใบหน้าไม่มีความรู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด ไหนเลยจะมีสีหน้าสูญเสียพลังยุทธ์ไป
“หรือว่าพลังยุทธ์ของแม่ทัพวิญญาณระดับต้นและระดับสูงต่างกันถึงเพียงนี้!” เมื่อนึกถึงว่าตนเองเกือบจะไม่อาจบินออกจากรอยแยกได้ โชคดีที่อีกฝ่ายลงมือ ถึงได้ข้ามผ่านความยากลำบากมาได้ เหลยหลันก็รู้สึกจนปัญญา
“พวกเราเสียเวลาในชั้นหนึ่งไปหลายวัน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาผลเปลวยมโลกในชั้นสองอีก ตรงไปยังชั้นสามก็พอแล้ว” หานลี่ชักสายตากลับ ใช้น้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เอ่ยออกมา
กลางอากาศมีความเปียกชื้นเล็กน้อย รอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นวัชพืชเน่าๆ คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอยู่กลางอากาศเหนือจุดที่เหมือนกับบึงน้ำ
เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของเผ่าวิหคสวรรค์รู้ว่าความสามารถของหานลี่อยู่เหนือตนเองแล้ว แน่นอนนว่าก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรอีก แต่เหลยหลันกลับลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างกังวลใจว่า
“ไปชั้นสามน้องหญิงย่อมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร แต่พี่หาน ทางเข้าไปยังชั้นสามมีอยู่แค่สามทางเท่านั้น ไม่ว่าพวกเราจะไปทางไหน ล้วนต้องพบกับคนของสาขาอื่น หากพบคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อสาขาเราเข้า…”
แม้ว่าสตรีผู้นี้จะยังเอ่ยไม่จบ แต่ความหมายของมันนั้นไม่ว่าใครฟังก็เข้าใจได้
“ไม่ใช่หากคนของสาขาต่างๆ จะต้องจัดเตรียมกำลังคนไว้ที่ทางเข้าชั้นสามแน่ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่พวกเรา สาขาอื่นๆ ที่อ่อนแอ เกรงว่าก็เป็นเป้าหมายของพวกเขาเช่นกัน” ไป๋ปี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“หึๆ เจอก็แค่ลงมือ จุดนี้ต้องผ่านไปให้ได้ ทว่าจากที่ข้าคาดเดา แม้ว่าพวกเผ่าใหญ่ๆ อย่างเผ่าแดงสดจะอยากฮุบเผ่าเรา แต่ก็ไม่อาจวางกำลังทั้งหมดเอาไว้ที่ทางเข้าชั้นสามได้ การทดสอบที่สามร้อยปีจะมีครั้วหนึ่ง ต่างสำคัญกับพวกเขาเช่นกัน ทำได้เพียงเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง แม้กระทั่งอาจจะเหลือไว้จำนวนน้อยมากเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นการโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากฝ่าคนพวกนั้นไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา พลางวิเคราะห์ให้ฟังเล็กๆ
“หากเป็นดังที่พี่หานกล่าว พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” ฟังหานลี่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋ปี้และพวกทั้งสองก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
“สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ผู้ใดก็ไม่อาจรับประกันได้ มีเพียงต้องเดินหน้าต่อแล้วค่อยว่ากันแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“แต่ทางเข้าทั้งสามพวกเราจะไปทางไหน มีอยู่สองทางที่ปลอดภัย และอันตรายอยู่ทางหนึ่ง” เหลยหลันขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามอีกครั้ง
“ในเมื่อครั้งนี้ไปทางไหนก็อาจจะพบคนขัดขวาง แน่นอนว่าต้องเลือกทางที่ใกล้พวกเราที่สุด” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องไปทางหมื่นเถาวัลย์” หลังจากที่ไป๋ปี้ขบคิดเล็กน้อยก็ตอบกลับ
“ทางหมื่นเถาวัลย์ที่มีเถาวัลย์โบราณจำนวนมากเชื่อมติดชั้นสองชั้นสามหรือ” หานลี่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในความทรงจำ แววตาจึงเปล่งประกายสว่างวาบขณะเอ่ยถาม
“ใช่แล้วทางนั้นแหล่ะ ทางสายนี้นอกจากปีศาจแมลงที่ปรากฎตัวแล้ว โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ และหากทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ หลังจากนี้ครึ่งเดือนพวกเราก็น่าจะไปถึง” ไป๋ปี้ตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ฟังดูไม่เลว พวกเราไปที่ทางเข้ากันเถิด!” หลังจากที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสีแล้วก็เอ่ยปากยืนยัน
เมื่อเห็นว่าหานลี่ยืนยันจุดหมาย เหลยหลันและพวกทั้งสองก็ไม่ได้มีเจตนาใดๆ ล้วนพยักหน้าเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเห็นด้วย
หานลี่พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีจานอาคมสีฟ้าปรากฎขึ้น พลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้า แล้วพลันแยกแยะทิศทางพาทั้งสองบินไปเบื้องหน้าทันที
หลังจากที่พวกเขาทั้งสามจากมาไม่นาน
บนพื้นดินก็มีฟองน้ำโสโครกผุดขึ้นมาจากดินโคลน ฉับพลันนั้นเงาร่างสีดำสนิทก็ปรากฎขึ้นอย่างเงียบเชียบ จ้องเขม็งไปยังลำแสงหลีกหนีของหาลี่และพวกที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาเปล่งแสงสีแดงระเรื่อออกมา
เสียง “ปัง” ดังขึ้น เงานั้นระเบิดออกราวกับฟองสูงอย่างไรอย่างนั้น หายวับไปจากบึงน้ำอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่ที่กำลังพาทั้งสองคนพุ่งไปข้างหน้า พลันรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ผุดขึ้นมาที่แผ่นหลัง ร่างกายหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วหันไปมองแวบหนึ่ง
“พี่หานเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ไป๋ปี้ที่ศรัทธาในตัวของหานลี่เป็นอย่างมากไปแล้วเห็นการกระทำของหานลี่ ก็อดที่จะหยุดลงเช่นกันแล้วเอ่ยถามไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะรู้สึกไปเองกระมัง!” แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสองสามครั้ง กวาดสายตาไปมองพื้นดินด้านหลังอย่างละเเอียดชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า
ความเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
การสัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติสำหรับหานลี่ที่มีปฏิภาณไหวพริบว่องไวนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่มาเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีเงาดำในใจที่ไม่อาจปัดออกได้
ทว่าขอแค่ไม่ใช่ปีศาจที่มีพลังยุทธืสูงกว่าตนเองมากนัก ก็ไม่อาจหลบพ้นความสามารถของเนตรวิญญาณของตนเองได้ บางทีอาจจะแค่รู้สึกไปเองกระมัง!
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ทำได้เพียงเลิกคิดไป กวักมือไปทางไป๋ปี้และพวกทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง แล้วสยายปีกออกเดินทางอีกครั้ง
แต่แค่ใบหน้าของเขามีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก!
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าในภูเขาของหุบเหวชั้นหนึ่งนี้ มีคนลึกลับถูกชุดคลุมยาวสีแดงสดห่อหุ้มอยู่ กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำสนิทตัวหนึ่ง และบนโต๊ะหินด้านข้างเขากลับมีกระจกทองแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในกระจกนั้นมีรูปภาพลางๆ ปรากฎอยู่
เนื้อหาในรูปภาพก็คือลำแสงหลีกหนีของหานลี่และพวกของเหลยหลันที่กำลังบินออกห่างจากบึงน้ำ
“น่าสนใจจริงๆ! คาดไม่ถึงแม้แต่หุ่นเชิดโคลนของข้าก็ยังสัมผัสได้ ดูแล้วจิตสัมผัสคงแข็งแกร่งกว่าพลังยุทธ์มาก น่าเสียดายข้าไม่ใช่หกขาของชั้นหนึ่ง ไม่สนใจหลอมวิญญาณทมิฬอยู่แล้ว” ผู้ที่สวมชุดโลหิตเปล่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา ทันใดนั้นก็โบกแขนเสื้อไปทางกระจก ดูเหมือนว่าหมายจะสำแดงเคล็ดว
“เกือบลืมไป ดูเหมือนว่ายายเฒ่านั้นจะรวบรวมวิญญาณสัตว์ที่แข็งแกร่งครบแล้ว คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของขวัญที่ไม่เลว น่าจะเอามาแลกกับมัจฉาโลหิตได้!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตมีความคิดอะไรขึ้นมา พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ผู้ที่สวมชุดสีโลหิตหยัดกายลุกขึ้นนั่ง แววตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับแผนที่เพิ่งผุดขึ้นมาของตนเองเป็นอย่างมาก
เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกกลมๆ แวววาวเม็ดหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็หยุดอยู่เบื้องหน้า
มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในไข่มุกกลมๆ
ไข่มุกเม็ดนี้หมุนติ้วๆ ลำแสงสีโลหิตเปล่งประกายเจิดจ้า