A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1450 อสูรน้อยและน้ำแข็งทมิฬ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1450 อสูรน้อยและน้ำแข็งทมิฬ
ในบรรดาคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้กลับมีสองคนที่ยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มีเจตนาจะลงมือ
หนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีร่างกายผอมเตี้ย นั่นก็คือเอ๋าชิงแห่งเผ่าชีเย่ว์
อีกคนหนึ่งกลับเป็นบุรุษสูงใหญ่มีดวงตาสี่ดวง ทั้งสองคนหนึ่งมีสีหน้าราบเรียบ คนหนึ่งกำลังขมวดคิ้วมุ่น
“สหายเอ๋า ก่อนหน้านี้ทางหมื่นเถาวัลย์ไม่เคยมีปีศาจแมลงอย่างผีเสื้อยมโลกทองมาก่อน แมลงนี้น่าจะอยู่ในชั้นสี่ถึงจะถูก ดูแล้วคงเกิดอะไรขึ้นสักอย่างในหุบเหว มิเช่นนั้นปีศาจชั้นลึกๆ เหล่านี้คงไม่มาปรากฎตัวที่นี่” เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ถูกผงผีเสื้อหลากสีสันล้อมเอาไว้ การโจมตีของพวกเขากลับไม่อาจทำอะไรผงผีเสื้อประหลาดเหล่านี้ได้ ชายร่างกายสูงใหญ่ก็เอ่ยปากขึ้นอย่างแช่มช้า
“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ในเมื่อพบปีศาจระดับกลางที่ชั้นหนึ่งได้ พบผีเสื้อยมโลกทองที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา แน่นอนว่าต้องให้อาวุโสในเผ่าเป็นผู้รับผิดชอบ แต่หลังจากมาถึงชั้นสามแล้ว เจ้าก็เอาแต่อยู่หลังข้า แล้วอย่ามาโทษว่าข้าลงมือก่อนล่ะ” เอ๋าชิงตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“แม่หญิงเอ๋าเหตุใดถึงต้องไร้น้ำใจถึงเพียงนี้! ผู้แซ่เฟ่ยมีใจต่อสหาย ข้าน้อยไปสู่ขอที่เผ่าเจ้ามาสามครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งล้วนถูกแม่หญิงปฏิเสธ ผู้แซ่เฟ่ยไม่เข้าใจเลย แต่ไหนแต่ไรมาเผ่าของเจ้าล้วนรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ สหายเอ๋าเองก็ปล่อยข่าวลือออกไปว่าจะแต่งกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด หรือว่าผู้แซ่เฟ่ยไม่เหมาะกับเงื่อนไขนี้?” ดวงตาทั้งสี่ของบุรุษร่างกายสูงใหญ่มีลำแสงประหลาดไหลเวียนอยู่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับจู้อินจื่อ และเอ๋าชิงอย่างเฟ่ยเยี่ยแห่งเผ่าหนานหล่ง!
“ใช่ บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าชีเย่ว์ของพวกเรา ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนต้องแต่งกับคนรุ่นเดียวกันที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของสาขาอื่น แต่ฝีมือของเจ้ามีแค่ไหน คนอื่นไม่รู้ แต่ข้าจะไม่รู้หรือ? กำลังแค่นี้ ข้ายังไม่สนใจ เจ้าก็ถือโอกาสนี้ล้มเลิกความคิดไปเสียเถิด!” เอ๋าชิงเผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา
“ข้ารู้ว่าสหายเอ๋ามีความสามารถเกรียงไกร ผู้แซ่เฟ่ยรู้ว่าเทียบเทียมมิได้ แต่ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าต่างๆ นอกจากผู้แซ่เฟ่ยแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของสหาย หากข้าน้อยยังไม่มีโอกาสล่ะก็ คนอื่นๆ ก็คงไม่อยู่ในสายตาของสหายเช่นกัน อีกอย่างหรือว่าสหายสนใจเจ้าจู้ของเผ่าแดงสด หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็จะไปตามหาเขา แล้วสังหารเขาซะ” เฟ่ยเยี่ยถลึงตาใส่เอ๋าชิงขณะเอ่ย
“จู้อินจื่อ? หึ เขาน่ะหรือ! แม้แต่เจ้าข้ายังไม่พอใจเลย แล้วจะไปสนใจเขาได้อย่างไร ทว่าตอนที่รวมตัวกันนั้น ข้าพบคนที่น่าสนใจอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ทันได้ตรวจสอบฝีมือด้วยตนเอง แต่ความรู้สึกของเขาที่ส่งมายังข้านั้น น่าจะมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าเจ้า” เอ๋าชิงพลันหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าใด บอกข้ามา! ข้าจะไปกำจัดคนผู้นั้น หากความสามารถแข็งแกร่งกว่าข้านั้นก็ช่างเถิด ข้าจะไม่มาวุ่นวายกับเจ้าอีก ถ้าหากสู้ข้าไม่ได้ หึๆ…” เฟ่ยเยี่ยได้ยินชั่วพริบตานั้นสีหน้าก็ดำคล้ำขึ้น
ภายใต้การติดตามของคนเผ่าตนเองทั้งบุรุษและสตรีแล้ว ทั้งสองก็สนทนากันราวกับรอบข้างไม่มีผู้คน ไม่สนใจการโจมตีจากผีเสื้อทองรอบๆ เลยสักนิด
และในครานี้ภายใต้การถูกกดดันจากผงผีเสื้อรอบๆ คนอื่นๆ ในเผ่าล้วนสำแดงความสามารถปกป้องออกมาเป็นวงๆ และกำลังแตกเป็นชุ่นๆ เข้ามาข้างในไม่หยุด ดูแล้วไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก
“เจ้ายอมทดสอบความสามารถของคนผู้นี้ก็ดี คนผู้นี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะแซ่หาน หน้าตาไม่คุ้นเคย ส่วนเรื่องอื่นข้ากลับไม่ได้ถามอย่างละเอียดนัก” เอ๋าชิงหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะพยักหน้าเห็นด้วย
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ บุตรชองสาขาที่อ่อนแอเช่นนั้น จะมีผู้ที่แข็งแกร่งอะไรได้” เฟ่ยเยี่ยรู้สึกตะลึงงันไปเล็กน้อย
“เรื่องนี้มันพูดยาก! เผ่าวิหคสวรรค์นั้นอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นยอดอัจฉริยะ อย่าลืมล่ะข้าฝึกฝน ‘คาถาทะลวงเจ็ดทวาร’ ที่ลึกลับที่สุดของเผ่าข้า ในด้านประสาทสัมผัสนั้น ย่อมไม่มีเคล็ดวิชาไหนในทั้งเจ็ดสิบสองสาขาเทียบเทียมได้ แม้ว่าข้าจะมองคนผู้นั้นจากไกลๆ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าลึกลับยากจะคาดเดา หากเจ้าอยากไปประมือกับคนผู้นั้น ก็อย่าเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปทิ้งเข้าล่ะ” เอ๋าชิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“เจ้าพูดเช่นนี้ย่อมได้! แต่หากเจ้ามองผิดไป หลังจากการทดสอบจบลง ข้าจะมาสู่ขอเจ้ากับเผ่าชีเย่ว์อีกครั้ง หากจำไม่ผิดล่ะก็ พิธีเปลี่ยนสภาพของเจ้าน่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีสินะ ครั้งนี้เจ้าน่าจะไม่มีโอกาสปฏิเสธข้าได้อีกแล้ว” เฟ่ยเยี่ยเอ่ยด้วยเจตนาบีบบังคับส่วนหนึ่ง
“หึ เจ้าช่างรู้ดีไม่น้อย ใช่แล้ว พิธีการบรรลุนิติภาวะของข้าจะเกิดขึ้นในอีกสามปีให้หลัง ไม่อาจยืดเวลาออกไปได้อีก หากคนผู้นั้นสู้เจ้าไม่ได้ ทั้งเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็น่าจะไม่มีผู้ใดในรุ่นเดียวกันแข็งแกร่งกว่าเจ้าอีก หลังจากกลับไป ข้าจะยอมแต่งงานกับเจ้า” เอ๋าชิงยืดคอขึ้น พลางเอ่ยอย่างทระนงตน
“ฮ่าๆ ตกลงตามนี้ หากพบเจ้าผู้แซ่หานที่ชั้นสามได้ก็จะดีมาก หากไม่ได้ก็รอกลับไปค่อยท้าประลองกับเขา คนผู้นี้ทำให้เจ้าสนใจได้ คงไม่แม้แต่ผ่านการทดสอบไม่ได้กระมัง” เฟ่ยเยี่ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา สองตาเผยจิตสังหารออกมา
“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน แมลงปีศาจเหล่านี้ช่างรกหูรกตานัก เจ้าจะลงมือ หรือให้ข้าลงมือ” เอ๋าชิงกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หึๆ เรื่องกล้วยๆ แค่นี้มอบให้ผู้แซ่เฟ่ยเถิด” ชายร่างใหญ่ฉีกยิ้ม ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่ส่วนหลังของกระบี่ ชั่วขณะนั้นหลังจากกระบี่เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสีทองหนาๆ สายหนึ่ง หมุนวนอยู่กลางอากาศ
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเฟ่ยเยี่ยพลันกระโจนพุ่งไปข้างหน้ากลายเป็นวิหคประหลาดหัวเป็นมังกรวารีหางเป็นปลาวาฬ หลังจากนั้นพลันสยายปีกทั้งสองออกพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง เงาร่างวิหคยักษ์ก็จมหายเข้าไปในกระบี่ที่กลายเป็นลำแสงสีทอง แล้วผสานตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อเห็นว่ามีคนกระโจนออกมาจากเขตป้องกัน ผีเสื้อทองรอบด้านก็เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ขึ้น ชั่วขณะนั้นผีเสื้อฝูงใหญ่พลันกระโจนเข้ามา
พวกมันไม่ทันได้เข้าใกล้ก็มีผงจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักไปหาลำแสงสีทอง
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังขึ้น ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็ขยายตัวขึ้นหลายเท่า ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาราวกับห่าฝน ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มฝูงผีเสื้อด้านล่างเอาไว้
ผงหนาๆ ที่เดิมทีเรียงกันเป็นชั้นๆ สัมผัสกับลำแสงสีทองเหล่านั้นก็มีกลิ่นไหม้ลอยออกมา ทยอยกันถูกทะลวงผ่าน
เช่นนั้นผีเสื้อทองฝูงใหญ่ที่หลบอยู่ใต้ผงผีเสื้อ ก็ร่วงลงสู่พื้นหลังจากที่ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ
ชั่วพริบตาก็ถูกสังหารไปกว่าครึ่ง
ผีเสื้อยักษ์ในบรรดาผีเสื้อยมโลกทองเห็นเช่นนั้น ก็ร้องอุทานด้วยเสียงประหลาดๆ ออกมา ทันใดนั้นผีเสื้อทองที่เหลือก็สลายตัวออกแล้วบินหนีไปรอบทิศทาง
เอ๋าชิงที่อยู่ท่ามกลางผู้คนเห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม ปากพลันบริกรรมคาถา ที่แผ่นหลังมีเงาลวงตายักษ์สีดำปรากฎขึ้น
เงาลวงตานี้ดูลางเลือนมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นรูปศีรษะประหลาดๆ เจ็ดศีรษะ บ้างก็มีหัวคล้ายวานร บ้างก็คล้ายมิคาทน…
ทุกตัวล้วนมีหน้าตาโหดเ**้ยม!
ภายใต้การกระตุ้นด้วยคาถาอาคมของเอ๋าชิง ดวงตาทั้งหมดของหัวเหล่านั้นพลันเบิกขึ้น เผยดวงตาสีแดงสดออกมาพร้อมกัน จากนั้นพลันอ้าปากออก
ลำแสงสีเขียวเจ็ดกลุ่มทะลักออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปอยู่ในจุดที่ไกลออกไป ม้วนตัวไปรอบทิศทาง
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
ทุกแห่งที่ลำแสงสีเขียวเจ็ดกลุ่มกวาดไปนั้น ผีเสื้อทองทั้งหมดพลันหมุนวนถูกม้วนเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นก็ระเบิดตัวเองออกท่ามกลางลำแสงสีเขียว กลายเป็นวารีสีโลหิต
ผีเสื้อที่หนีเตลิดไปทั่วทุกสารทิศ สุดท้ายแล้วก็หนีไปได้แค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
ครานี้ลำแสงสีทองกลางอากาศพลันหม่นแสงลง เฟ่ยเยี่ยที่สะพายกระบี่ยักษ์ไว้ที่หลังพลันปรากฎกายขึ้น
เขามองไปยังเงาลวงตาเจ็ดหัวที่อยู่ที่แผ่นหลังของเอ๋าชิง ใบหน้าเผยสีหน้าหลงใหลได้ปลื้มออกมา
……
เงาสีดำเล็กๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ปีศาจสีดำแวววาวสองสามตัวถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตาด้วยน้ำมือของกรงเล็บสีขาว ไอสีดำเป็นกลุ่มๆ พลันปรากฎขึ้น ตรงนั้น
เงาลวงตาเล็กๆ นั้นมีไอสีดำล้อมรอบอยู่ ดูดพวกมันเข้าไปจนเกลี้ยง ทันใดนั้นก็หมุนวนกลางอากาศ เงาลวงตาบินกลับมาที่หัวไหล่ของหานลี่ เผยร่างอสูรน้อยขนาดเท่าลูกแมวออกมา
นั่นก็คืออสูรเกล็ดมิคาทนที่ถูกหานลี่กำราบเอาไว้
“จุ๊ๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอสูรวิญญาณตัวนี้ของพี่หานจะมีประโยชน์ต่อน้ำแข็งทมิฬถึงเพียงนี้ พวกเราไม่ทันได้สัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกมัน มันก็ปรากฎตัวขึ้นก่อนแล้ว ไม่ทราบว่าอสูรวิญญาณชนิดนี้มีนามว่าอันใดหรือ น้องหญิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ” หญิงงามคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยชื่นชม นั่นก็คือฉินเสี่ยวของเผ่าราตรีเขียว
เหลยหลันและไป๋ปี้มองไปยังอสูรเกล็ดมิคาทน แววตาเผยแววตกตะลึงออกมา
“ชื่ออะไรข้าก็ไม่แน่ใจนัก แค่บังเอิญปราบมันได้ข้างนอก ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่ามันจะชอบดูดซับไอน้ำแข็งทมิฬเหล่านี้” หานลี่ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ศีรษะที่มีขนปกคลุมของอสูรน้อย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
พอเข้ามาในแดนน้ำแข็งทมิฬได้ไม่นาน อสูรน้อยที่แต่เดิมกำลังหลับอุตุอยู่กับอสูรวิญญาณครวญในกำไลเก็บของของหานลี่ก็ตื่นขึ้นมา และใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับหานลี่พร้อมบอกว่าอยากออกมาอย่างร้อนรน
แน่นอนว่าหานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าถึงแม้อสูรตนนี้จะยังเล็กนัก แต่ก็มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ จึงไม่กล้ามองข้ามมัน และในบริเวณนี้ก็ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งอะไร จึงปล่อยอสูรตัวนี้ออกมาจากกำไลเก็บของ
ผลคือเมื่ออสูรเกล็ดมิคาทนปรากฎขึ้นได้ไม่นาน ก็ทำให้หานลี่และพวกตกตะลึง
เมื่ออสูรตัวนี้ปรากฎขึ้นที่แดนน้ำแข็งทมิฬ ไม่เพียงจะมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีประสาทสัมผัสไวต่ออสูรที่ถูกแช่แข็งอยู่ในน้ำแข็งทมิฬเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตอนที่หานลี่ยังไม่ทันสัมผัสได้ว่ามีปีศาจถูกแช่แข็งอยู่ในสายธารจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มันก็พุ่งออกไป กรงเล็บทั้งสองเริงระบำอย่างรวดเร็วฉีกน้ำแข็งทมิฬออกเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนปีศาจน้ำแข็งทมิฬเหล่านั้นเข้าไปในท้องภายในคำเดียว แล้วเผยท่าทางมีความสุดเป็นอย่างยิ่งออกมา
แม้ว่าปีศาจน้ำแข็งทมิฬเหล่านี้จะไม่ได้ดูน่ากลัวสำหรับพวกของหานลี่ แต่พวกมันก็เชี่ยวชาญในการอำพรางตัว หากอยู่ๆ ก็กระโจนออกมาโจมตีจากใต้ดินโดยไม่ทันระวังล่ะก็ จะยุ่งยากใหญ่
เมื่ออสูรเกล็ดมิคาทนนี้พบพวกที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำแข็งทมิฬ ก็จะแค่บินผ่านไป ร้องคำรามประหลาดๆ ใส่น้ำแข็ง ปีศาจเหล่านั้นก็ดูเหมือนถูกทำให้ตกใจ แล้วหนีออกจากใต้น้ำแข็งอย่างทุลักทุเล
เช่นนั้นแน่นอนว่าจึงกลายเป็นอาหารในปากของอสูรน้อย
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่แค่หานลี่ที่รู้สึกตกตะลึง พวกของเหลยหลันก็ยิ่งรู้สึกสนใจอสูรน้อยตัวนี้ยิ่งกว่าเดิม
การเดินทางของพวกเขานั้นคาดไม่ถึงว่าอสูรเกล็ดมิคาทนจะกลืนปีศาจน้ำแข็งทมิฬไปเกือบพันตัว ขนสีเหลืองที่มีลวดลายแตะแต้มอยู่ของอสูรน้อยค่อยๆ มีลำแสงสีขาวปรากฎขึ้นชั้นหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ท่าทางอสูรน้อยจะมีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นแล้ว!
หานลี่ปล่อยให้อสูรตัวนี้เคลื่อนไหวอย่างอิสระไปพลาง อดที่จะลูบใต้คางขบคิดไปพลางไม่ได้