A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1457 ใบเน่ากับผลเพลิงอเวจี
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1457 ใบเน่ากับผลเพลิงอเวจี
ใบหน้าของชาววิญญาณทมิฬเต็มไปด้วยสีหน้าของความรู้สึกยากที่จะเชื่อ ปากพลันส่งเสียงคำรามลั่น พลางขยับสองมือคว้าแขนที่อยู่ตรงหน้าอกอย่างฉับพลัน
นัยน์ตาของหานลี่เปล่งแสงเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แขนพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า กระบี่บินยาวหลายฉื่อเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนแขนอย่างเลือนราง
เสียงร้องกระจ่างชัด!
กระบี่แสงพลันสว่างพร่าง!
สองมือของชาววิญญาณทมิฬไม่เพียงแต่ถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย ร่างทั้งร่างก็ถูกลำแสงกระบี่ผ่าเป็นสองส่วนลงมาจากใจกลาง สิ่งที่คล้ายกับแกนผลึกกับเพลิงสีเขียวที่ปรากฏภายในร่างก็ยิ่งถูกลำแสงกระบี่ป่นจนแตกเป็นจุณ แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่อาจหนีออกมาได้แม้แต่น้อย
ชาววิญญาณทมิฬที่เหลืออยู่อีกหกคนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจจนหน้าซีด ชายหนุ่มที่นำหน้ามีพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง ไม่ว่าจะด้านพลังยุทธ์หรืออิทธิฤทธิ์ก็แทบจะเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในกลุ่มพวกเขา เหตุใดแค่อีกฝ่ายลงมือครั้งเดียวก็ถูกฆ่าตายแล้ว
เมื่อทั้งสี่คนในกลุ่มพวกเขาส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความตื่นตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธ ทั้งหมดก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีดำสี่ตัวในทันที พุ่งกระโจนเข้าใส่หานลี่อย่างดุดัน ส่วนอีกสองคนสบตากันคราหนึ่ง กลับเก็บขนเข้าไปโดยไม่พูดจา กลายเป็นลำแสงสีดำสองสายพวยพุ่งหนีไปยังที่ไกลๆ โดยพลัน
มุมปากของหานลี่กระดกขึ้นเล็กน้อย แผ่นหลังพลันส่งเสียงฟ้าร้องก้อง กลายเป็นประกายอัสนีเส้นหนึ่งแล้วหายไปจากที่เดิม
วิหคยักษ์สีดำเหล่านั้นเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวในใจ การกระทำที่จะกระโจนเข้าใส่พลันหยุดชะงักลงอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าเพียงแค่ช้าไปในชั่วพริบตาเดียว แสงสีเขียวพลันสว่างวาบ เงาคนติดปีกที่เหมือนกับเงาลวงตาร่างหนึ่งก็ปรากฏออกมาที่เบื้องล่างของวิหคยักษ์สีดำตัวหนึ่งอย่างน่าประหลาด
วิหคตัวนี้ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใดๆ ก็เห็นเพียงเงาลวงตาที่อยู่เบื้องล่างดูเหมือนจะขยับแขนข้างหนึ่ง ตามด้วยแสงสีทองเจิดจ้าพร่ามัวก็หายวับไปแล้ว
วิหคดำตกตะลึง ครู่ต่อมาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นบนร่าง ร่างทั้งร่างถูกแบ่งเป็นสองส่วน ร่างศพทั้งสองส่วนระคนไปด้วยฝนโลหิต ร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ
เงาคนพุ่งปราดมาจากทิศตะวันตก แล้วหายไปอย่างน่าประหลาดอีกครั้ง ก่อนที่จะปรากฏในบริเวณใกล้เคียงของวิหคอีกตัวหนึ่ง พลันโบกมือคราหนึ่งเช่นเดิม แล้วปล่อยลำแสงกระบี่สีทองออกมาสายหนึ่ง
วิหคตัวนี้ราวกับทำมาจากเต้าหู้ เมื่อถูกฟันขาดเป็นสองท่อนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าเล็บ ขนเหล็กทั่วทั้งร่างที่เดิมทีควรจะแข็งดุจเหล็กกล้าก็ไม่อาจต้านท้านได้แม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เงาร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหวกลางอากาศสี่ห้าทีราวกับภูตพราย ในที่สุดก็ปรากฎกายออกมา พลันหยุดกลางอากาศอย่างมั่นคงด้วยสภาพที่มองเห็นชัดเจน
วิหคประหลาดสี่ตัวที่แปลงกายจากชาววิญญาณทมิฬ ล้วนถูกฆ่าตายเรียบไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
หานลี่ยังคงไม่มีเจตนาที่จะยั้งมือ พลันจ้องเขม็งไปที่ชาววิญญาณทมิฬอีกสองคนที่หนีไกลออกไปหลายสิบจั้ง พลางสะบัดปีกด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ กลายเป็นรุ้งยาวสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งทะลวงอากาศออกไป
เสียงแหวกอากาศแหลมยาวพลันระเบิดออก!
เมื่อสายรุ้งพุ่งออกไปไกลสิบจั้งเศษ ก็เริ่มมีสภาพเลือนรางเล็กน้อย กลายเป็นเส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวสายหนึ่ง
เส้นไหมพลันบิดรูปร่างอย่างน่าประหลาดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งหายเข้าไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ด้านหลังของชาววิญญาณทมิฬคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีอย่างสุดชีวิตพลันเกิดระลอกคลื่นอากาศขึ้น เส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวก็ปรากฏออกมา
ภายในชั่วพริบตา เส้นไหมนี้ก็ทะลวงผ่านร่างของชาววิญญาณทมิฬ แล้วพันรอบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เปล่งแสงสีทองสว่างวาบแล้วหายไป
ชาววิญญาณทมิฬถูกแบ่งเป็นเจ็ดแปดส่วนในชั่วพริบตา เส้นไหมเรียวบางพลันบิดงอคราหนึ่ง แล้วหายไปในอากาศอีกครั้ง
ครู่ต่อมา ศีรษะของชาววิญญาณทมิฬอีกคนหนึ่งเปล่งแสงเขียวขาวเจิดจ้า เส้นไหมเรียวบางพลันโผล่พรวดออกมาอย่างน่าประหลาด ภายใต้ความเลือนราง หานลี่ก็ปรากฏกายออกมาในสภาพสมบูรณ์ พลางเหวี่ยงมือข้างหนึ่งโดยไม่กล่าววาจา กระบี่จิ๋วสีทองเล่มหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในมือ ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงกระบี่หยาบหนาฟันลงมา
ภายใต้แสงสีทองระยิบระยับ กระบี่แสงก็มาถึงบริเวณศีรษะของคนที่อยู่เบื้องล่างภายในชั่วพริบตา
ชาววิญญาณทมิฬตกใจกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภายใต้การตัดสินใจอย่างฉับพลัน จึงกางปีกสองข้างบนแผ่นหลัง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งตบเบาๆ ไปที่ศีรษะในเวลาเดียวกัน
ชั่วพริบตาที่ปีกสองข้างเปล่งดวงแสงสีดำวูบหนึ่ง ขนนกทั้งหมดก็กลายเป็นลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วน พวยพุ่งไปในอากาศอย่างหนาแน่นและถี่ยิบ ขณะเดียวกันก็มีโล่ไม้สีดำใบหนึ่งปรากฏที่เหนือศีรษะ กลายเป็นเมฆดำออกมาต้อนรับขับสู้ลำแสงกระบี่ที่ฟันลงมาโดยตรง
ไม่รู้ว่าโล่ไม้นั้นเป็นสมบัติชนิดใด แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านทานความแหลมคมของกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาได้เลย!
ลำแสงสีทองพลันสว่างวาบ ฟันเมฆดำเป็นสองส่วนและถือโอกาสผ่าร่างของชาววิญญาณทมิฬเป็นสองท่อนในคราเดียว
ส่วนลูกธนูสีดำเหล่านั้น เมื่อพุ่งมาถึงตรงหน้าหานลี่ ก็ถูกแสงอรุโณทัยสีเทาผืนหนึ่งสะกัดหนทางเอาไว้
เมื่อแสงสีเทากวาดออกไป ลูกธนูจำนวนมากเช่นนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่สามารถทำร้ายหานลี่ได้แม้แต่ปลายผม
ส่วนหานลี่ที่กำลังมองดูร่างศพที่ร่วงลงมายังเบื้องล่างนั้น หางคิ้วกระตุกคราหนึ่ง ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ พลันใช้มือข้างหนึ่งคว้าไปในอากาศ
“สวบ!” ขนนกสีดำยาวฉื่อกว่าก้านหนึ่งพุ่งออกจากร่างศพที่ถูกหั่นร่างหนึ่ง ก่อนที่จะถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ
หานลี่ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ขนนกนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกายระยิบระยับ
เห็นเพียงขนนกนี้มีสีดำเปล่งประกาย ปรากฏดวงแสงสีทองเป็นเส้นๆ เมื่อลองสะบัดดูเล็กน้อย ก็มีอักขระสีดำโผล่ออกมา กลายเป็นเพลิงสีดำอย่างฉับพลัน ส่งกลิ่นร้อนแผดเผาโชยออกมา
หานลี่เผยสีหน้าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในมือพลันเปล่งแสงสีดำวูบหนึ่ง ขนนกถูกเก็บไปแล้ว
สำหรับร่างศพ ย่อมถูกลูกไฟที่ตามมาทีหลังของเขาทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
ขณะที่รุ้งสีเขียวสายหนึ่งหมุนวนที่กลางอากาศต่ำ ก็ดูดเอาขนนกสีดำจากร่างศพทั้งหมดขึ้นมา ถูกหานลี่ชิงมาเป็นของตัวเองอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ขณะที่แสงสีเขียวพลันสว่างวาบ รุ้งสีเขียวมาปรากฏที่ข้างกายของพวกไป๋ปี้ หานลี่ก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง
“เดินทางต่อ!” หานลี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับเหตุการณ์ทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พวกเหลยหลันสามคนมีสีหน้าค่อนข้างซีดเซียว แต่ก็ยังพยักหน้าถี่ๆ โดยไม่รู้ตัว
…
ครึ่งวันต่อมา พวกหานลี่มาปรากฏตัวบนน่านฟ้าของสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าไม่ไกลเป็นป่าทึบเตี้ยๆ ผืนหนึ่ง ต้นไม้ภายในป่ากว่าครึ่งสูงไม่เกินสามสี่จั้ง ใบไม้เป็นสีเหลืองอ่อน แผ่กลิ่นเหม็นคาวชนิดหนึ่ง
ทุกคนหยุดอยู่ที่รอบนอกของป่าทึบผืนนี้ หานลี่ยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน กำลังจ้องมองป่าทึบด้วยสีหน้าลังเลไม่พูดจา
ไม่รู้ว่าพวกไป๋ปี้มีเจตนาหรือไม่ได้เจตนา ทั้งหมดต่างยืนห่างจากหานลี่ไปด้านหลังหลายจั้งด้วยท่าทีไม่กล้าตีเสมอกับหานลี่ สายตาที่มองมาทางหานลี่ปรากฏถึงความเคารพและยำเกรง
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่หานลี่สังหารบุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณทมิฬทั้งเจ็ดคนอย่างง่ายดายต่อหน้าชายหญิงทั้งสามคนนี้ ในที่สุดพวกเหลยหลันทั้งสามก็เข้าใจถึงพลังที่แท้จริงของหานลี่บ้างแล้วว่าแข็งแกร่งเพียงใด
ที่น่ากลัวก็คือ เอ๋าชิงจากเผ่าชีเยวี่ยกับเฟ่ยเยี่ยจากเผ่าหนานหล่งในคำร่ำลือ ไม่แน่ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวเช่นนี้
ดังนั้น ตลอดการเดินทางต่อจากนี้ ยามที่พวกเหลยหลันและไป๋ปี่เผชิญหน้ากับหานลี่ เวลาพูดคุยก็ใช้น้ำเสียงที่ดูเคารพนอบน้อมโดยไม่รู้ตัว ราวกับอยู่ต่อหน้าอาวุโสภายในเผ่า นอกจากนี้ก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก
มีหานลี่เป็นเพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ เห็นได้ชัดว่าการทดสอบครั้งนี้จะไม่มีปัญหาใหญ่โตอย่างแน่นอน
“หากข้าดูไม่ผิด ผลพวกนี้พึ่งพาอาศัยต้นใบเน่าที่ก่อตัวจากกลิ่นเหม็นคลุ้งภายในความมืดมิด ที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งในจุดที่กลิ่นเหม็นมารวมกันมากที่สุด หากพวกเราดวงดี ก็อาจจะบังเอิญเจอที่นี่ก็เป็นได้ แม้ว่าจะคาดหวังไม่มาก แต่ดูเหมือนผลเพลิงอเวจีมีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏที่นี่ พวกเจ้าคิดว่าจะเสียเวลาค้นหาที่นี่สักหน่อย หรือว่าจะมุ่งหน้าไปที่เส้นทางหมื่นเถาวัลย์โดยตรง” ในที่สุดหานลี่ก็ปริปากพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“พี่หาน ป่าใบเน่าแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก แม้ว่าจิตสัมผัสจะถูกยับยั้งไว้ ทว่าเพียงแค่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็สามารถค้นทั่วได้รอบหนึ่งแล้ว” ทั้งสามคนหันมามองกันอย่างลังเลทีหนึ่ง ไป๋ปี้จึงค่อยตอบด้วยความเคารพนอบน้อม
“อ๋อ ข้าเข้าใจความหมายของพวกเจ้าแล้ว หากใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ เช่นนั้นก็หยุดพักที่นี่สักประเดี๋ยวเถอะ” หานลี่เองก็รู้สึกไม่มีปัญห้า จึงพยักหน้าตามใจนึก
ได้ยินคำพูดของหานลี่ พวกเหลยหลันก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย
หากสามารถหาผลเพลิงอเวจีได้ในที่แห่งนี้ ย่อมฝ่าอันตรายไปยังชั้นสามได้อย่างสบายแน่นอน
หลังจากที่สามคนนี้หารือกันเล็กน้อย ฉินเสี่ยวก็โคลงแขนเสื้อคราหนึ่ง พลันปล่อยหุ่นเชิดเลื้อยคลานสิบกว่าตัวออกมาอีกครั้ง กระตุ้นให้ทยานไปยังทิศทางหนึ่งภายในป่าทึบ ก่อนที่จะจมหายไปในป่าในท้ายที่สุด
เหลยหลันกับไป๋ปี้ สองคนนี้ดูเหมือนจะมีการเตรียมการของตัวเองสำหรับเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว
เหลยหลันชูมือเรียกตลับหยกสีขาวออกมาตลับหนึ่ง ปากพลางร่ายคาถา ฝาตลับพลันทยานขึ้น มดบินร่างยาวฉื่อกว่าหลายสิบตัวก็บินออกมา เปล่งแสงสีเงินอ่อนระยิบระยับ มุ่งหน้าไปยังอีกทางหนึ่งพร้อมส่งเสียงดังหึ่งๆ
ส่วนไป๋ปี้กลับสั่นปีกสองข้าง บนร่างมีงูตัวเล็กสีทองสิบกว่าตัวพุ่งออกมา ความกว้างเท่านิ้วหัวแม่โป้ง พลันเคลื่อนตัวอย่างพลิ้วไหว พากันจมหายไปในพื้นดินอย่างไม่เห็นร่องรอย
ต่อมา ทั้งสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ต่างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับกระตุ้นหุ่นเชิด อสูรวิญญาณ และแมลงวิญญาณเหล่านั้น แล้วเริ่มค้นหาป่าไม้เตี้ยทีละส่วน
หานลี่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาที่จะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย
หลายชั่วยามต่อมา พวกเหลยหลันค้นหาป่าลับไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อะไรติดมือเลยแม้แต่น้อย
ทว่าการใช้จิตสัมผัสเป็นเวลายาวนานโดยไม่หยุดพักเช่นนี้ สีหน้าแต่ละคนก็ดูซีดลงเล็กน้อย
หานลี่เอามือไพล่หลัง พลันขมวดคิ้วจางๆ แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่งบนฟากฟ้า ใบหน้าก็ปรากฏความตกตะลึงระคนประหลาดใจออกมาปราดหนึ่ง
เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นที่รุนแรงบางอย่างจากทิศทางนั้น ทว่าเพียงแค่แวบเดียวก็หายไปแล้ว จึงทำให้เขาคิดว่าตนสัมผัสอะไรพลาดไปหรือไม่
ภายใต้ดวงตาที่เปล่งประกาย ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าควรตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหน่อยหรือไม่ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอุทานมาจากปากของเหลยหลัน ท่าทางดีอกดีใจอย่างสุดขีด
“ทำไมรึ หาผลเพลิงอเวจีเจอแล้วจริงๆ หรือ!” หานลี่เองก็ไม่สนใจเรื่องเมื่อครู่นี้ พลันหันหน้าเอ่ยถาม
เขารู้สึกเกินคาดอยู่หลายส่วน
“ไม่ผิด ข้าหาป่าเพลิงอเวจีเจอแล้วจริงๆ ทั้งยังมีหกต้นงอกขึ้นในพื้นที่เดียวกัน บนนั้นล้วนออกผลหมด อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นผลที่สุกแล้ว” เหลยหลันพูดอย่างยากที่จะปิดบังความลิงโลดบนใบหน้างามๆ ของนาง
“ศิษย์น้องเหลย เจ้ามองไม่ผิดนะ เป็นผลเพลิงอเวจีจริงๆ ใช่ไหม?” ไป๋ปี้ได้ยินที่กล่าวก็ไม่สนใจที่จะควบคุมงูวิญญาณของตนเอง พลันถามด้วยใจเต้นแรง
“เจ้าพูดไม่ผิด ในเหวพสุธามีผลไม่น้อยที่เหมือนผลอเวจีราวกับแกะ น้องเหลย เจ้าต้องดูให้ละเอียดแล้ว” น้ำเสียงของฉินเสี่ยวค่อนข้างสั่นเล็กน้อย
สตรีผู้นี้ก็ไม่สนใจหุ่นเชิดของตัวเองเช่นกัน
“ไม่มีทางพลาด แม้ว่าข้าจะเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก แต่ไม่ว่าจะลำต้นหรือผลของมันต่างก็เหมือนกับในคัมภีร์โบราณไม่มีผิดเพี้ยน” เหลยหลันส่ายหน้า พลันพูดด้วยความมั่นใจเต็มที่
“ดีมาก ก่อนอื่นก็ไปดูสักหน่อยว่าเป็นของจริงหรือปลอม หากเป็นของจริงก็ไม่มีปัญหา พวกเราก็ไม่ต้องไปชั้นสามแล้ว” หานลี่ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด พลันกล่าวอย่างเรียบเฉย
เดิมทีชั้นสองก็มีความเป็นไปได้ที่ผลเพลิงอเวจีจะดำรงอยู่ เพียงแต่โอกาสไม่ค่อยสูงมากก็เท่านั้น ตอนนี้เพียงชั่วครู่ก็ถูกพวกเขาหาเจอแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้
“ใช่แล้ว ข้าจะนำทางไปเอง” เหลยหลันตอบรับด้วยความปลื้มปิติ พลันยืนขึ้นมาอย่างพลิ้วไหว
พวกไป๋ปี้สองคนก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน แม้ว่าคิดจะฝืนทำเป็นไม่สงบนิ่ง แต่ความตื่นเต้นดีใจก็เผยออกมาจากดวงตาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้วยการนำทางของเหลยหลัน ทุกคนเหาะทยานกันอย่างสุดกำลัง ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อ ก็มาปรากฏที่กลางอากาศเหนือพื้นดินเปียกชื้นผืนหนึ่งภายในส่วนลึกของป่าทึบซึ่งถูกหมอกสีเทาจางๆ ปกคลุมอยู่
“อยู่ตรงนี้แหละ บริเวณใกล้ๆ มีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ต้นผลเพลิงอเวจีพวกนั้นอยู่ที่ริมสระน้ำ” เหลยหลันชี้ไปยังเบื้องล่าง พลางพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย