A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1460 หลบหนี
ได้ยินคำพูดเย็นชาของหานลี่ พวกเหลยหลันสามคนย่อมมองออกว่าหานลี่ไม่มีเจตนาล้อเล่นแน่นอน ด้วยความตื่นตะลึง จึงพากันทยานไปเด็ดผลเพลิงอเวจีพวกนั้นลงมาจากต้นอย่างไม่กล้าชักช้าร่ำไร แต่ละคนต่างก็หยิบตลับไม้ออกมาคนละตลับ เก็บผลเพลิงอเวจีที่สุกแล้วเข้าไป
ฉินเสี่ยวบรรจุหนึ่งในนั้นเสร็จ ก็ยื่นตลับไม้ให้หานลี่ด้วยสองมือ
หานลี่สั่นแขนเสื้อคราหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ แสงอรุโณทัยสีเขียวพลันพุ่งฉวัดเฉวียนออกมา ตลับไม้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนนี้ เหลยหลันกับไป๋ปี้สองคนต่างก็แยกกันเก็บผลเพลิงอเวจีเรียบร้อย และกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้ว
“ไปกันเถอะ! ระหว่างทางไม่มีการหยุดพักใดๆ จะต้องกลับขึ้นสู่พื้นดินภายในระยะเวลาสั้นที่สุด” หลังจากที่หานลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม บนร่างพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งทยานจากไปในท้องฟ้า
เขาไม่ยอมพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว
พวกไป๋ปี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหานลี่ถึงได้รีบร้อนออกจากเหวพสุธาเช่นนี้ แต่ก็พอเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มากว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมังกรโลหิตที่หนีไป แม้แต่หานลี่ที่ลึกยากจะหยั่งถึงก็ยังมีท่าทีเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ก็ไม่กล้าชักช้าเตะหน่วยแม้แต่น้อย พวกเหลยหลันจึงพากันเร่งลำแสงหลีกหนีไล่ตามไปติดๆ
ภายในชั่วพริบตา ทุกคนก็เหาะทะลวงอากาศไปไกลโพ้น
สองวันต่อมา ภายในวิหารใหญ่ที่สร้างจากไม้ที่ชั้นสามของเหวพสุธา ดอกไม้ยักษ์สีทองดอกนั้นยังคงอยู่เช่นเดิม หญิงสาวในเงาดำที่อยู่ด้านบนกำลังเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง พลางรู้สึกลังเลอะไรบางอย่าง
ภายในวิหารใหญ่ในตอนนี้ นอกจากหญิงรับใช้สวมอาภรณ์สีเขียวตลอดทั้งร่างสองคนที่อยู่ข้างๆ แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก
ทันใดนั้น นอกประตูวิหารก็มีลำแสงโลหิตสายหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา เมื่อลำแสงดับวูบ ปีศาจสีแดงร่างคนหัวมังกรตนหนึ่งก็คุกเข่าที่ด้านในวิหารใหญ่
ที่แท้ก็คือมังกรโลหิตที่เพิ่งประมือกับหานลี่ตัวนั้นนั่นเอง!
“คารวะนายท่าน!” มังกรโลหิตกล่าว
“เจ้านี่เอง ธุระเป็นอย่างไรบ้าง สังหารคนพวกนั้นตายแล้วหรือยัง นำจิตวิญญาณบริสุทธิ์กลับมาหรือไม่?” หญิงสาวใช้สายตากวาดมองบนร่างของมังกรโลหิตทีหนึ่ง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เรียนนายท่าน เซวี่ยตู๋ไร้ความสามารถ สังหารคนพวกนั้นไม่ได้” เซวี่ยตู๋ก้มหัวมังกรของมันลงเล็กน้อย พลางตอบกลับ
“อ๋อ พูดเช่นนี้แสดงว่าคนพวกนี้มีปัญหาแล้วจริงๆ” หญิงสาวไม่ได้โกรธ กลับรู้สึกสนใจขึ้นมาแทน
“ใช่ขอรับ นายท่าน คนที่เหลืออยู่ก็ไม่เท่าไหร่ แค่เผ่าวิญญาณเหาะเหินระดับแม่ทัพวิญญาณทั่วไปเท่านั้น แต่หนึ่งในนั้นคิดไม่ถึงว่าด้วยพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณ จะสามารถรับโลหิตอัสนีดาวเหนือของผู้น้อยได้ทั้งหมด อีกทั้งยังใช้กายเนื้อรับการโจมตีจากเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตแล้วสะท้อนออกได้ ก่อนหน้านี้นายท่านได้กำชับแล้วว่า หากดูท่าไม่ดีให้รีบกลับมารายงานเรื่องนี้ในทันที ดังนั้นเมื่อผู้น้อยโจมตีไม่สำเร็จ จึงกลับมารายงานขอรับ” เซวี่ยตู๋อธิบายทีละส่วนอย่างชัดเจน
“สามารถรับโลหิตอัสนีดาวเหนือได้ กายเนื้อยังสะท้อนเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตได้อีก?” เงาดำบนดอกไม้สีทองรู้แต่แรกแล้วว่าตนจะได้ยินข้อมูลที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง แต่ก็ยังถูกคำพูดของมังกรโลหิตทำให้ตกตะลึงเล็กน้อย
“ไม่ผิดขอรับ ไม่เพียงเท่านี้ เคล็ดวิชาหลีกหนีของคนผู้นี้ก็น่าตกตะลึงมาก ทั้งยังมีมหาอิทธิฤทธิ์อื่นๆ ติดตัวอีกหลายชนิด แม้ว่าผู้น้อยจะต่อสู้อย่างสุดกำลังกับคนผู้นี้ มีโอกาสเพลี้ยงพล้ำเป็นอย่างมาก” มังกรโลหิตลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีก
“เรื่องอื่นช่างมันก่อน อิทธิฤทธิ์ในโลกหล้ามีนับพันนับหมื่น ที่มีอิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอดติดตัวสองสามอย่าง สามารถรับโลหิตอัสนีดาวเหนือของเจ้าได้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก แต่ด้วยพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณก็สามารถใช้กายเนื้อสะท้อนเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตของเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว แสดงว่าความแข็งแกร่งทนทานบนกายเนื้อของคนผู้นี้มาถึงจุดสุดยอดแล้ว เป็นอาหารโลหิตสำหรับเซ่นไหว้ที่ดีที่สุด ดีมาก สุดท้ายพวกเราก็ต้องเตรียมอาหารโลหิตขั้นสุดยอดสามอย่างให้เสร็จสิ้น ตอนนี้เพิ่งจะหาเจอแค่หนึ่งอย่าง ข้ากำลังกลัดกลุ้มเรื่องนี้อยู่พอดี!” คิดไม่ถึงว่าน้ำเสียงของหญิงสาวปรากฏความดีอกดีใจออกมา
“ความหมายของนายท่านคือ…”
“ย่อมเป็นข้าที่ต้องลงมือเองอยู่แล้ว จับเป็นคนผู้นี้กลับมา แล้วนำมาเป็นอาหารโลหิตสำหรับการเซ่นไหว้ครั้งสุดท้าย” หญิงสาวพลันพูดด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว
“แต่นายท่าน คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่อรหันต์ตี้เซวี่ยต้องการหรอกหรือขอรับ?” มังกรโลหิตอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน เขารู้เรื่องนี้จากช่องอื่นอยู่ก่อนแล้ว
“เห็นชัดๆ ว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยต้องการจะสังหารชาววิญญาณเหาะเหินพวกนี้ ที่จริงแล้วน่าจะเล็งวิญญาณทมิฬของพวกเขาไว้ อย่างมากก็คงจะทำข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างกับแม่เฒ่าภูตทมิฬกระมัง ข้าแค่อยากได้กายเนื้อของคนผู้นี้ ไม่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของตี้เซวี่ย มีอะไรให้เป็นกังวล!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น คิดไม่ถึงว่าจะคาดเดาวัตถุประสงค์ของชายชุดโลหิตได้เจ็ดแปดส่วน
“นายท่านหลักแหลมยิ่งนัก!” มังกรโลหิตเข้าใจสาเหตุแล้ว
“จะมัวชักช้าเสียการไม่ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ เซวี่ยตู๋ เจ้าก็ส่งตัวไปที่ชั้นสองพร้อมกับข้า ไปไล่ตามคนผู้นี้ด้วยกันเถอะ” หญิงสาวกล่าวกำชับ
“น้อมรับคำสั่ง!” มังกรโลหิตขานรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม พลันยืนขึ้น
เงาดำบนดอกไม้ยักษ์สีทองพลิ้วไหวคราหนึ่ง ครู่ต่อมา หญิงสาวพร้อมกับแสงสีดำเลือนรางก็มายืนอยู่ข้างๆ ของมังกรโลหิตราวกับภูตพราย
มือหนึ่งตั้งท่าร่ายคาถา ในปากพลางเปล่งคำร่าย ทันใดนั้นม่านแสงสีดำขลับราวน้ำหมึกผืนหนึ่งก็พุ่งทยานออกมาจากร่างของหญิงสาว ก่อนที่จะม้วนลงมาแล้วห่อหุ้มทั้งสองคนไว้ภายใน
เพียงชั่วแวบเดียว สองคนก็หายไปในม่านแสงสีดำอย่างไร้ร่องรอย
…
อีกด้านหนึ่ง ภายใต้การเร่งเร้าอย่างสุดกำลังของหานลี่ พวกเหลยหลันใช้เวลาแค่หนึ่งวันกว่าก็หนีออกมาถึงเส้นทางเมื่อหลายวันก่อน ยังคงหนีอย่างเอาเป็นเอาตายไม่หยุดพักตลอดทาง
ยังดีที่อันตรายบางส่วนและอสูรปีศาจที่ปรากฏระหว่างทางถูกกวาดโล่งไปแล้วรอบหนึ่ง อีกทั้งคุ้นเคยเส้นทางกันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาและแบ่งสมาธิอะไรมาก
แต่เมื่อเช่นนี้ ด้วยการทุ่มกำลังข้ามน้ำข้ามเขาทั้งวันทั้งคืน แม้ว่าพลังวิญญาณภายในร่างของพวกไป๋ปี้และฉินเสียงจะสูญเสียไปไม่น้อย และทนไม่ไหวจริงๆ แต่เมื่อสามคนเห็นหานลี่ที่เหาะทยานอยู่ด้านหน้าสุด ใบหน้านิ่งขรึมดุจสายน้ำอยู่ตลอด ภายในจิตใจพลันเกิดความรู้สึกอ้างว้าง แต่ก็ไม่กล้าบ่นแม้แต่คำเดียว จึงต้องกัดฟันแล้วทนต่อไป
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลังจากที่บึงแห่งหนึ่งปรากฏตรงเบื้องหน้า ทางออกชั้นสองที่มีพายุสีดำพัดอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดก็มองเห็นอยู่รำไร
หานลี่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง แล้วพาทั้งสามคนเข้าไปในนั้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ครึ่งวันต่อมา พวกหานลี่ก็ปรากฏตัวออกมาจากทางเข้าหุบเขาที่ชั้นหนึ่งอีกครั้ง
หานลี่ในตอนนี้ กลับตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้พวกเหลยหลันตกตะลึงพรึงเพริดกันยกใหญ่
“ต่อจากนี้พวกเราจะแยกกันเดินทาง พวกเจ้าสองสามคนก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ใช้เส้นทางที่แตกต่างมุ่งหน้ากลับไปบนพื้นดินอย่างสุดกำลัง” พอออกมาจากหุบเขา หานลี่ก็ดูเงียบขรึมครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
“อะไรนะ แยกกัน? พี่หาน นี่หมายความว่าอย่างไร?” ไป๋ปี้ตกตะลึง เหลยหลันกับฉินเสี่ยวก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“เรื่องมาถึงตรงนี้ก็ไม่ปิดบังพวกเจ้าแล้ว พวกเราอาจจะถูกตัวตนระดับราชาปีศาจของเหวพสุธาแห่งนี้หมายตาอยู่ แม้ว่าข้าจะมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจเป็นคู่มือกับตัวตนระดับนี้ได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตามพวกเราทันเมื่อใด แต่ถ้าหากแยกกัน เป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะไล่ตามข้า โอกาสที่พวกเจ้าจะหนีกลับไปบนพื้นดินก็มาขึ้นมาหน่อย ส่วนข้าเมื่อไม่ดึงพวกเจ้ามาพัวพันและเหาะหนีอย่างสุดกำลัง ก็มีโอกาสหนีรอดได้เช่นกัน อยู่ที่ชั้นนี้ น่าจะมีของอยู่น้อยมาก แถมยังเป็นอันตรายต่อพวกเจ้าอีก” หานลี่ใบหน้าหมองคล้ำ แต่ก็ยังอธิบายให้เข้าใจ
“ตัวตนระดับราชาปีศาจ! เหตุใดตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ถึงได้หมายตาพวกเรา พี่หาน ท่านทำอะไรผิดมาหรือไม่” ฉินเสี่ยวกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ข้าจะไปรู้สาเหตุของเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ชีวิตก็เป็นของพวกเจ้า จะเชื่อไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว แต่ทางที่ดีควรแยกกันออกเดินทางจะดีกว่า ไม่แน่ว่า อีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายก็ตามมาทันแล้ว” หานลี่กล่าวด้วยดวงตาเปล่งประกาย
พวกเหลยหลันสามคนอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน
แต่ก็เหมือนกับที่หานลี่พูด ชีวิตเป็นของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าที่หานลี่พูดมาจะจริงหรือเท็จ แต่ในเมื่อพูดมาเช่นนี้แล้ว สามคนนี้ก็จำต้องมองว่าเรื่องนี้เป็นจริงแล้ว อีกทั้งเห็นก่อนหน้านี้หานลี่มีท่าทางระมัดระวังเช่นนี้ ดูไม่เหมือนข่าวลวงขู่ขวัญจริงๆ
ดังนั้นหลังจากที่หานลี่จึงพุ่งทะลวงอากาศนำไปก่อน ภายใต้ความจนใจของพวกเหลยหลัน จึงต้องหนีไปยังทิศทางอื่นตามที่พูด
ตามที่หานลี่บอก เพียงแค่สามารถกลับขึ้นไปบนพื้นดินได้ พวกเขาก็น่าจะปลอดภัยแล้ว
รุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งผ่านป่าเปลี่ยวผืนหนึ่งอย่างรวดเร็วปานลมกรด ความเร็วของมันราวกับสายฟ้าแลบ เพียงแค่พุ่งปราดไม่กี่หน ก็มาปรากฏที่อีกฟากของขอบฟ้าอย่างน่าประหลาด อีกทั้งตลอดการเคลื่อนไหวยังไร้สุ้มเสียง ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
แม้ว่าใต้พิภพจะมีปีศาจและแมลงปีศาจบางส่วนพบเห็นลำแสงหลีกหนีกลางอากาศ แต่พวกมันก็ไล่ตามไม่ทัน จึงได้แต่มองดูรุ้งสีเขียวหายไปอย่างร่องรอยในชั่วพริบตา
หานลี่ที่อยู่ในรุ้งสีเขียวกลับโคจรพลังวิญญาณทั้งร่างไม่หยุดนิ่ง พลางใช้มือสองข้างคว้าศิลาวิญญาณขั้นสุดยอดคอยเสริมพลังกายอย่างไม่ขาดสาย
วิญญาณเหลวหมื่นปีนั้น ตอนที่ลักลอบเข้ามาในแดนวิญญาณเมื่อปีนั้น ตอนที่อยู่ในจุดเชื่อมต่อมิติได้ใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
ตอนนี้แม้ว่าศิลาวิญญาณขั้นสุดยอดจะล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่เพื่อที่จะรักษาพลังวิญญาณภายในร่างให้เพียงพอ เขาจึงไม่สนใจคำว่าสิ้นเปลืองแล้ว
การที่หานลี่แยกทางกับอีกสามคนที่ชั้นหนึ่งนั้น เขาจำเป็นต้องทำเพื่อตัวเอง คำพูดที่กล่าวกับพวกเหลยหลันก่อนหน้านี้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นความจริง แต่ก็ปิดบังข้อหนึ่งไว้
เขารู้สึกได้ลางๆ ว่า พวกปีศาจที่พบก่อนหน้านั้นดูเหมือนจะมาหาตัวเขาเอง ไม่ได้สนใจพวกเหลยหลันสักเท่าไหร่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อแยกกันเดินทางจริงๆ พวกเหลยหลันก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
เขาคุ้มครองบุตรสวรรค์ทั้งสองของเผ่าวิหคสวรรค์จนหาผลเพลิงอเวจีพบ ทั้งยังส่งกลับไปยังชั้นหนึ่ง นับว่าทุ่มเททั้งกายและใจจนหมดสิ้นแล้ว เรื่องต่อจากนี้บุตรสวรรค์ทั้งสองต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว ส่วนเขาก็ต้องคิดเพื่อชีวิตน้อยๆ ของตัวเองแล้ว
ขณะที่เหาะทยานมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่พบความผิดปกติใดๆ ปรากฏในบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งระยะทางไปถึงทางเข้าพื้นดินก็ไม่ไกลนัก แต่หานลี่ก็ยังไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ลำแสงหลีกหนีไม่เพียงแต่ไม่หยุด เขากลับพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาหยดหนึ่ง ทำให้ภายในแสงสีเขียวปรากฏสีโลหิตเป็นเส้นๆ ขึ้นมาเลือนราง
ด้วยการกระทำเช่นนี้ ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
สำหรับหานลี่นั้น สูญเสียพลังปราณบางส่วนเพื่อให้สามารถหลีกหนีราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ ย่อมเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดอยู่แล้ว
ทว่าหลังจากที่รุ้งสีเขียวพุ่งทยานรวดเดียวในชั้นหนึ่งมาค่อนวัน จู่ๆ หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ พลันหันไปมองข้างหลัง
เห็นเพียงขอบฟ้าที่เบื้องหลัง ไม่รู้ว่ามีม่านแสงสีดำผืนหนึ่งปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังไล่กวดมาทางเขา
เพียงแค่แวบเดียว ก็ขยับใกล้เข้ามาเสี้ยวหนึ่งของระยะห่างแล้ว
หานลี่สีหน้าย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทันได้คิดอะไรมาก สองปีกบนแผ่นหลังพลันเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวขาวสายหนึ่งพวยพุ่งออกไป เพียงปราดเดียวก็ไกลออกไปร้อยจั้งเศษ
ตัวเขาในตอนนี้ไม่อำพรางใดๆ แล้ว พลันกระตุ้นอานุภาพของปีกวายุอัสนีออกมาทั้งหมด
เสียงอุทานเบาๆ ดังออกมาจากม่านแสงสีดำ ทว่าในหูของหานลี่กลับได้ยินชัดเจนผิดปกติ ราวกับมีคนส่งเสียงที่ข้างหู
หานลี่รู้สึกกลัดกลุ้ม พลันเร่งสองปีกบนแผ่นหลังอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เหลียวหลังไปมอง
เส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวแผดเสียงแหลมออกมาเบาๆ กลางอากาศที่ลำแสงหลีกหนีพาดผ่านเหลือเพียงรอยบางๆ สีขาวหนึ่งสาย ราวกับอากาศบริเวณใกล้เคียงถูกทะลวงเป็นช่องว่างก็มิปาน