A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1477 เผชิญการต่อสู้ที่ดุเดือด
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1477 เผชิญการต่อสู้ที่ดุเดือด
มู่ชิงที่ยืนอยู่บนดอกไม้สีทอง แทบจะหันหน้าไปในเวลาเดียวกัน ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน
กลิ่นเหม็นคละคลุ้งโชยมาจากที่ราบโครงกระดูกที่ไกลแสนไกล ทันใดนั้นก็มีเสียงซ่าๆ ดังขึ้น ฉับพลันนั้นก็เห็นไอทมิฬสีเทาขาวกลุ่มหนึ่งหมุนวนลอยมาเป็นเกลียว
ไอสีเทานี้มองปราดเดียวไม่เห็นปลายทาง แต่ทุกแห่งที่ไอสีเทากวาดผ่านไป กระดูกสีขาวบนพื้นทยอยกันลุกฮือ กลายเป็นโครงกระดูกรูปทรงประหลาด
โครงกระดูกเหล่านี้มีรูปร่างสูงใหญ่ไม่เท่ากัน ดวงตาเปล่งแสงสีแดงโชติช่วง มองมาทางลิ่วจู๋และเหล่าปีศาจจากเหวพสุธา
ชั่วพริบตาไอสีเทาก็เข้ามาประชิดกับเหล่าปีศาจจากเหวพสุธา
เกิดความวุ่นวายขึ้นในเหล่าปีศาจระดับต่ำของเหวพสุธา
หานลี่หน้าเหยเกไปเล็กน้อย อดที่จะมองไปยังมู่ชิงที่อยู่เบื้องหน้าแวบหนึ่งไม่ได้
สตรีผู้นี้มีสีหน้าราบเรียบ ไม่อนาทรร้อนใจเลยสักนิด ดูเหมือนว่าจะคาดเดาทุกอย่างไว้นานแล้ว
หานลี่กำลังรู้สึกตระหนกตกใจอย่างสุดขีด ฉับพลันนั้นก็มีเสียงคำรามต่ำๆ ดังมาจากจุดที่อยู่หลังสุดของกองทัพ สายรุ้งสีโลหิตสองสายพุ่งออกมาจากเหล่าหุ่นเชิดตรงไปยังไอสีเทาที่โผเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม
หลังจากเสียง “ปังๆ” ดังขึ้น สายรุ้งสีโลหิตก็กลายเป็นพายุเหม็นคาวสีโลหิตสองกลุ่มปะทะเข้ากับไอสีเทากลางทาง
เสียง “ตูมๆๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พายุโลหิตและไอสีเทาระเบิดออก กลายเป็นเสาพายุขนาดยักษ์สองเสาพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไอสีเทาและพายุโลหิตตัดสลับกันไป ระเบิดเสียงพายุอัสนีออกมา ม้วนเอาโครงกระดูกที่เพิ่งฟื้นคืนชีพรอบๆ เข้าไปข้างใน แล้วทยอยกันร่างแตกออกเป็นชิ้นๆ
ทว่ากองทัพโครงกระดูกที่เหลือพลันมีไอสีเทาพัวพันร่าง คาดไม่ถึงว่าพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ตรงไปยังกองทัพของเหวพสุธาแล้วอยู่กลางอากาศต่ำๆ
ครานี้กว่าครึ่งของท้องฟ้าล้วนถูกปกคลุมเอาไว้อย่างหนาแน่น
จำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน
หานลี่พลันรู้สึกขวัญผวา!
ในตอนนั้นเองหญิงงามผมขาวที่อยู่หน้าสุดพลันหัวเราะเหอๆ ด้วยเสียงประหลาดๆ ออกมา ร่างกายหมุนติ้วๆ เงาภูตผมยุ่งเหยิงปรากฎขึ้นที่แผ่นหลัง และยิ่งไปกว่านั้นยังขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามร้อยจั้งภายในพริบตา
ฉับพลันนั้นเงาภูตพลันอ้าปากออก กรีดร้องพ่นไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา ม้วนเอาโครงกระดูกที่อยู่กลางอากาศทั้งหมดไป
ฉากที่น่าสะพรึงพลันปรากฎขึ้น
โครงกระดูกกลางอากาศที่ถูกไอสีเขียวม้วนเข้าไป พลันแผ่ไอสีเทาออกมาจากร่าง จากนั้นก็ทยอยกันสลายตัวออกร่วงลงมาจากท้องฟ้า
หลังจากที่เงาภูตพ่นไอสีเขียวออกมาจากปากแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ชั่วพริบตาก็ผสานกับพายุสีโลหิตสองกลุ่ม กวาดโครงกระดูกทั่วท้องฟ้าไปจนเกลี้ยง ไม่ปล่อยให้มู่ชิงและลิ่วจู๋ได้ลงมืออีก!
หานลี่เห็นสถานการณ์นี้ก็อดที่จะสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งอย่างใจหายวาบไม่ได้
หลังจากพายุสีโลหิตหายวับไป ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนก็กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสองสายพุ่งกลับมาอีกครั้ง และเมื่อไอสีเขียวสลายหายไป เงาภูตยักษ์ที่อยู่ตรงแผ่นหลังของสตรีผู้งดงามผมขาวก็สลายหายไป
“แค่ปีศาจกระดูกทมิฬเท่านั้น นับว่าเป็นสิ่งที่รับมือง่ายที่สุดในแดนแม่น้ำอเวจี สิ่งที่จะพบหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่จัดการง่ายเช่นนี้แล้ว” มู่ชิงมองไปยังกระดูกสีขาวผืนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป แล้วเอ่ยงึมงำขึ้น
ดูเหมือนนางจะบ่นพึมพำกับตนเอง และดูเหมือนจะเตือนสติอะไรด้วย
หานลี่และจิตวิญญาณสีทองที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน จึงอดที่จะประสานสายตากันคราหนึ่งไม่ได้
แต่แค่หานลี่เผยสีหน้ามีแผนการณ์ออกมา ส่วนใบหน้าที่มีขนปุกปุยของจิตวิญญาณสีทองกลับไร้ซึ่งความรู้สึก
ภายใต้คำสั่งของลิ่วจู๋ กองทัพเหวพสุธาพลันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
……
สองวันต่อมาเหนือบึงหนองสีโลหิต ค้างคาวประหลาดตัวสีแดงโลหิตเป็นฝูงๆ กำลังโจมตีปีศาจจากเหวพสุธาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อค้างคาวเหล่านี้ถูกปีศาจเหวพสุธาฉีกทึ้งหรือสังหาร ร่างก็ชำรุดก็จะผสานเข้าด้วยกัน แล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม มีเพียงต้องสังหารทิ้งหลายครั้ง หรือว่าใช้เคล็ดวิชาธาตุเพลิงเผาถึงจะสังหารพวกมันได้จริงๆ และเมื่อพวกมันกระโจนมาถึงร่างปีศาจเหวพสุธา ก็จะดูดโลหิตบริสุทธิ์ไป แค่สองสามคำ ก็ทำให้ร่างที่ถูกโจมตีกลายเป็นซากศพแห้งกรอบ
และค้างคาวเหล่านี้ใหญ่หน่อยก็มีขนาดสองสามจั้ง เล็กน้อยก็มีขนาดสองสามฉื่อ ค้างคาวตัวที่ใหญ่ที่สุดสิบกว่าตัว มีตัวเป็นค้างคาวใบหน้ามนุษย์ ปากพ่นลำแสงสีโลหิตออกมา ไม่ว่าปีศาจตนใดเมื่อถูกโจมตีด้วยลำแสงโลหิต ก็จะกลายเป็นผุยผงทันที
ความแข็งแกร่งของอานุภาพของมัน แม้แต่ปีศาจระดับสูงยังไม่อาจรับการโจมตีได้ซึ่งๆ หน้า
ดังนั้นครั้งนี้ไม่เพียงปีศาจทุกตนที่ลงมือ แม้แต่สี่ราชันย์ปีศาจก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ไล่สังหารค้างคาวหน้ามนุษย์เหล่านั้น
หานลี่มีประจุไฟฟ้าสีทองปกคลุมร่างอยู่ เมื่อประจุไฟฟ้าสีทองสัมผัสกับค้างคาวสีโลหิต ลำแสงสีทองก็กลายเป็นไอโลหิตทันที ทันใดนั้นก็หายวับไป
ครานั้นเขาจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดมู่ชิงและเหล่าสตรีผู้งดงามถึงได้อิจฉาตาร้อนที่เขามีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าภูตของแดนแม่น้ำอเวจีจำนวนไม่น้อยมีไอมารปะปนอยู่ในร่างมากบ้างน้อยบ้าง หากใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายรับมือพวกมันนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เฉียบแหลมมาก
แม้ว่าค้างคาวสีโลหิตจะมีจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อสี่ราชันย์ปีศาจรวมทั้งปีศาจ หุ่นเชิด ภูตทมิฬทุกตนร่วมกันโจมตีกลับไป จำนวนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เหลืออยู่หร็อมแหร็ม
ค้างคาวหน้าคนที่เหลืออยู่สองสามตัวเห็นท่าไม่ดี หลังจากเปล่งเสียง “กึกๆ” ออกมา ก็พ่นหมอกสีโลหิตออกมาจากผิวหนัง ชั่วครู่ก็หันหลังหนีเตลิดไป
ความเร็วของมันแค่กระพริบวาบสองสามครั้งก็มาอยู่ที่ขอบฟ้า เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งก็หายวับไปอย่างไม่เห็นเงา
……
เจ็ดวันต่อมาท่ามกลางหมอกประหลาดสีฟ้า เงาภูตสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนแปลงร่างเป็นสิ่งที่มีรูปร่างแตกต่างกันบินล้อมปีศาจเหวพสุธาเอาไว้
แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เข้ามาประชิดตัว แต่ปากที่เปล่งเสียงคร่ำครวญประหลาดๆ ออกมานั้น บ้างก็แหลมสูงบ้างก็นุ่มนวล ทำให้ปีศาจระดับต่ำได้ยินแล้วร่างกายสั่นเทา ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง ท่าทางเหมือนจะล้มตึงลงกับพื้นได้ตลอดเวลา
ครานี้ระฆังยักษ์สีดำใบหนึ่งในกองทัพพลันบินขึ้นไปกลางอากาศ เสียงระฆังราวกับเสียงมังกรคำรามดังขึ้น เงาภูตกว่าครึ่งสลายหายไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็ทำได้เพียงเปล่งเสียงร้องโอดครวญแล้วถอยร่นออกไป ทยอยกันจมหายเข้าไปในม่านหมอกแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
……
หนึ่งเดือนต่อมากลางอากาศเหนือแม่น้ำประหลาดสีดำ มนุษย์ยักษ์ที่ผิวหนังเต็มไปด้วยเนื้อเน่าสีเขียว แต่กลับมีสามหัวคนหนึ่ง ยืนอยู่บนผิวน้ำ สองมือโบกสะบัดโครงกระดูกอสูรยักษ์ตัวหนึ่งไปมา กำลังต่อสู้กับหุ่นเชิดโลหิตสีม่วงโลหิตที่ขนาดไม่ต่างอะไรกับมันอยู่ตนหนึ่ง
ใกล้กับพวกมันพวกภูตที่กำลังลอยตัวอยู่ในแม่น้ำกำลังตะลุมบอนต่อสู้กับฝูงปีศาจเหวพสุธาอยู่
จำนวนของปีศาจเหวพสุธาในครานี้มีไม่ถึงหมื่นตน และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นปีศาจระดับสูง แม้แต่ทหารภูตแปดพันตนและหุ่นเชิดนับหมื่นตัวก็ยังเพลี้ยงพล้ำไปไม่น้อย
วันหนึ่งในหนึ่งเดือนต่อมา…
หานลี่ยกมือขึ้นลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างจ้า ภูตหัววัวร่างมนุษย์ตนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าถูกสับออกเป็นสองส่วนในชั่วพริบตา ทันใดนั้นแผ่นหลังพลันหมอกลำแสงสีเทากวาดมา ลูกธนูกระดูกสีขาวสองสามดอกพุ่งออกมาจากทิศทางหนึ่ง ในเวลาเดียวกันอีกมือหนึ่งก็พลิกฝ่าส่งออกไปกลางอากาศ เปลวเพลิงห้าสีหมุนวนทำให้ภูตอัปลักษณ์เขี้ยวยาวสองตนที่ปรากฎขึ้นที่ด้านหลังกลายเป็นกรวยน้ำแข็ง
และในตอนนั้นเองเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น พายุแรงกดมหาศาลกลุ่มหนึ่งพลันกดลงมาจากกลางอากาศ
หานลี่หน้าเหยเก ร่างกายลางเลือนไป คิดไม่ถึงว่าจะหายไปจากที่เดิม
กระบองเขี้ยวหมาป่ายาวสิบจั้งเศษด้ามหนึ่งทุบลงไปยังจุดเดิมที่เขายืนอยู่ พื้นดินรอบๆ เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ พังทลายลงจนเป็นหลุมยักษ์ลึกสองสามฉื่อ
ส่วนเจ้าของกระบองเขี้ยวหมาป่านั้นคือซากยักษ์ตาเดียวเรือนกายมีขนสีเขียวปกคลุม กลับมองไปรอบๆ อย่างงงงวย
ฉับพลันนั้นเหนือซากยักษ์พลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของหานลี่ปรากฎขึ้น มือหนึ่งกดลงไปกลางอากาศด้านล่าง
ภูเขาน้อยสีดำปรากฎขึ้นมีลำแสงสีดำหมุนวนรอบภูเขา ชั่วครู่ก็กลายเป็นภูเขายักษ์ขนาดพันจั้ง
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ยอดเขาสีดำไม่เพียงกดซากยักษ์เอาไว้ ภูตอื่นๆ ในรัศมีร้อยจั้งก็กลายเป็นชิ้นๆ
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วถึงได้ลอยตัวอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง แล้วมองพิจารณารอบๆ
ทั้งสี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นไอภูต ไอหมอกหมุนวน หากเกินพันจั้งแม้ว่าจะใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลย
แต่จึงทำได้เพียงตัดสินจากลำแสงวิญญาณที่ระเบิดออกเป็นบางครั้งคราวและเสียงดังสนั่นที่ดังมาอย่างต่อเนื่องว่าปีศาจเหวพสุธาจำนวนไม่น้อยคงกำลังต้านทานกับการโจมตีจากกองทัพภูตอย่างหนักหน่วง แต่แค่ไม่รู้ว่าสี่ราชันย์ปีศาจแยกกันไปที่ใด และถูกภูตเ**้ยมแห่งแม่น้ำอเวจีเหล่านั้นล้อมเอาไว้หรือยัง
มุมปากของหานลี่พลันกระตุก เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
หนึ่งเดือนก่อนสิบกว่าวันแรกที่พวกเขาเข้ามา แม้ว่าจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดซัดขเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็นับว่าเป็นการเดินทางที่ราบรื่นและค่อยๆ เคลื่อนตัวไปไกลได้เรื่อยๆ แต่ครึ่งเดือนให้หลังระหว่างทางที่ข้ามผ่านเขตอันตรายสิบกว่าแห่งกลับไม่มีภูตปรากฎตัวขึ้นอีกเลย
ในบรรดาสถานที่เหล่านี้สองสามแห่ง ภูตเ**้ยมที่อาศัยอยู่ล้วนมีความสามารถพิเศษ แม้กระทั่งสี่ราชันย์ปีศาจเองยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่สามส่วน จึงได้ตั้งใจหลอมทหารภูตแปดพันตนและหุ่นเชิดนับหมื่นตัวขึ้น ส่วนปีศาจระดับต่ำเหล่านั้นต่างเหลือเพียงไม่กี่ตนตั้งแต่สงครามที่ดุเดือดช่วงแรกแล้ว
เมื่อเผชิญกบัสถานการณ์ที่คาดไว้แล้ว หลังจากที่ลิ่วจู๋และพวกปรึกษากันเสร็จแล้ว แม้ว่าจะรู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่ก็ไม่มีทางคิดจะกลับไป
พวกเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อด้วยความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้น
ผลคือวันนี้กองทัพกำลังเดินมาถึงจุดที่มู่ชิงกล่าวเอาไว้ หลังจากไม่มีภูตเ**้ยมอาศัยอยู่ที่ที่ราบสูง ฉับพลันนั้นทั้งสี่ด้านแปดทิศก็มีกองทัพภูตจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักเข้ามา จำนวนมากมายจนปกคลุมเต็มท้องฟ้า
กำลังของพวกมันสามสิบกว่าตัวล้วนเหนือกว่าผู้นำภูตเ**้ยมระดับหลอมสูญ หมอกทมิฬหนาๆ ที่ปล่อยออกมาพลันล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พุ่งเข้ามาแยกกองทัพทั้งกองทัพออกอย่างคาดไม่ถึง ทำให้หานลี่และพวกต้องสู้ตามลำพัง!
ตอนแรกหานลี่ จิตวิญญาณสีทองและปีศาจเหวพสุธาที่อยู่ใกล้ๆ กันยังช่วยกันโจมตีภูตเหล่านั้น
แต่ไม่รู้ว่าหมอกทมิฬนี้เป็นอิทธิฤทธิ์ชนิดใดของพวกภูต ระหว่างการต่อสู้หากถอยห่างกันเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกม่านหมอกทำให้หลงทางทันที
แม้ว่าหานลี่จะมีจิตสัมผัสไม่อ่อนแอ ประกอบกับความสามารถของเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง หลังจากเข่นฆ่าไปครึ่งค่อนวันก็ขาดการติดต่อกับคนอื่นๆ
เขาจึงทำได้เพียงเงี่ยหูฟังการต่อสู้จากจุดที่ไกลออกไป ส่วนฝูงภูตที่อยู่รอบๆ ต่างก็กระโจนเข้ามาหาเขาฝูงแล้งฝูงเล่าอย่างไม่กลัวเกรงความตาย
โชคดีที่แม้ว่าภูตเหล่านี้จะมีจำนวนมาก แต่มากสุดก็อยู่แค่ระดับก่อกำเนิด เทพแปลงเท่านั้น จึงไม่อาจสร้างภัยคุกคามอะไรได้จริงๆ
หลังจากสังหารไปรอบหนึ่งเมื่อครู่ เขาถึงได้สังหารภูตที่อยู่ในบริเวณรอบไปจนเกลี้ยงชั่วคราว และมีโอกาสได้พักหายใจ
ทว่าจากประสบการณ์ก่อนหน้าอีกเดี๋ยว ก็จะมีฝูงภูตฝูงใหม่เข้ามาพัวพัน ให้เขาสังหารอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
หานลี่มีสีหน้าไม่สบายใจอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปด้านล่าง ยอดเขายักษ์ด้านหลังสั่นสะเทือนแล้วหายวับไป
ตัวเขามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งตรงไปยังจุดที่มีเสียงเข่นฆ่าน้อยที่สุด
หานลี่ต้องหนีออกจากเขตหมอกนี้ เพื่อหาวิธีป้องกันตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หากไม่ได้จริง! เขาก็ไม่สนความกลัวที่มีต่อลิ่วจู๋ หญิงงามผมขาวและพวก มีเพียงต้องปล่อยอสูรวิญญาณครวญออกมาฝ่าวงล้อมออกไป
มิเช่นนั้นหากสังหารอย่างไม่จบสิ้นเช่นนี้ ก็อาจจะติดอยู่ในภูตเหล่านี้จนตาย