A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1484 ภูตหญิง
หานลี่เห็นเช่นนั้นรูม่านตาพลันหดเล็กลง แต่พลันร่ายอาคมกระตุ้นอยู่ในใจ
ไม่เห็นว่าเขามีท่าทีเคลื่อนไหวอีก ม่านลำแสงสีเทาทั่วทั้งขอบฟ้าและเปลวเพลิงห้าสีสลายออก กลายเป็นเส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนและผลึกลำแสงห้าสีพุ่งลงมา ทะลุผ่านทุกอย่างด้านล่างในรัศมีสองสามลี้
เงาสีดำเหล่านั้นถูกโจมตีแล้วทยอยกันสลายหายไป
แต่เงาสีขาวตนอื่นๆ กลับแยกร่างออกอีกครั้งในชั่วพริบตาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น!
ครานั้นเห็นเพียงเส้นไหมสีเทาและผลึกลำแสงที่อยู่ไกลออกไปพุ่งแหวกอากาศออกไปกระจายตัวอยู่เต็มท้องฟ้า แต่เงาสีขาวที่อยู่ใต้นั้นกลับตายแล้วเกิดใหม่ เกิดแล้วตาย ราวกับว่าไม่อาจสังหารให้หมดไปได้อย่างไรอย่างนั้น
ครานี้ไม่ใช่แค่หยวนเหยาละพวกสตรีทั้งสองจะตะลึงจนตาค้าง หานลี่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน
แต่ในตอนนั้นฉับนั้นจิตสัมผัสของเขาพลันจับอะไรได้ ร่างกายลางเลือน หันกายไปร้อยแปดสิบองศา ใบหน้ามองไปทางด้านหลัง
ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปยังกลางอากาศที่ว่างเปล่าใกล้กันนั้น!
แววตาฉายแววโหดเ**้ยม หว่างคิ้วมีรอยโลหิตสายหนึ่งปรากฎขึ้น จากนั้นลูกตาสีดำดวงหนึ่งพลันปรากฎออกมา
นั่นก็คือเนตรวิญญาณทลายของหานลี่!
จากการบ่มเพาะมาหลายปี ครานี้ลูกตาดวงนี้เป็นสีดำเข้มยิ่งกว่าเดิม แค่มองมาก็ให้ความรู้สึกประหลาดเหมือนจะถูกสูบวิญญาณแล้ว
ส่วนลึกในรูม่านตาของนัยน์ตาดวงนี้เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ พ่นลำแสงขนาดเท่าหัวแม่มือออก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
กลางอากาศที่ว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว ลำแสงสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งปรากฎขึ้น ทันใดนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป!
ในเวลาเดียวกันเงาสีขาวสายหนึ่งก็เซถลาพร้อมปรากฎตัวขึ้น ร่างกายพลิ้วไหวแล้วมาปรากฎตัวห่างออกไปสิบจั้งเศษ
ร่างของเงาสีขาวเงานี้ไม่ลางเลือนเหมือนก่อนอีก กลายเป็นชัดเจนมาก เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
คาดไม่ถึงว่าเป็นสตรีที่มีเสื้อคลุมสีขาวชัดหนึ่งห่อหุ้มเรือนกายเอาไว้
ชุดคลุมเปล่งแสงเจิดจ้าเป็นพิเศษ ดูเหมือนไม่เปื้อนเปรอะเลยสักนิด ระเบิดเมื่อครู่ไม่อาจทำอะไรนางได้เลยัสกนิด
ส่วนร่างกายของนางนั้นดูแล้วสะโอดสะองมาก สัดส่วนสมบูรณ์อวบอัด และยิ่งไปกว่านั้นยังมีปอยผมสีดำขลับโผล่ออกมาจากชุดคลุม
ถึงแม้จะเป็นเพราะก้มศีรษะลงต่ำ จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ แต่ก็ดูเหมือนยิ่งงามประจำแคว้น
หานลี่มองสตรีผู้นี้ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย เผยสีหน้าระวังภัยออกมา
จิตสัมผัสที่กวาดออกไปเมื่อครู่ กลับถูกชุดคลุมประหลาดกั้นเอาไว้ ไม่อาจคำนวณพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้
ทว่าจากการประมือกันเมื่อครู่ อีกฝ่ายน่าจะไม่ใช่ปีศาจระดับสูงธรรมดาๆ
คราที่สตรีชุดคลุมสีขาวถูกหานลี่ใช้เนตรทลายบีบจนออกมาจากลางอากาศ ในที่สุดเงาสีขาวจำนวนมากที่อยู่อีกด้านก็หยุดแยกตัวแล้วหายวับไป
หานลี่พลิกฝ่ามือกวักเรียกโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
หมอกลำแสงสีเทาและเปลวเพลิงห้าสีที่อยู่กลางอากาศหายวับไปเช่นกัน
และฝ่ามือที่แยกสีดำขาวชัดเจนภายในแขนเสื้อของเขาคู่นั้น ก็มีลำแสงประหลาดๆ ไหลโคจรอยู่ที่ผิวหนัง
“ฮิๆ” เสียงหัวเราะประหลาดๆ ดังออกมาจากปากของสตรีชุดขาว จากนั้นพลันยกมือข้างหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีกลิ่นอายของดินปืนขึ้น ตะปบมาทางหานลี่
แขนและแขนเสื้อเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไปในชั่วพริบตาที่ยืดออกมา!
สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้หานลี่อดที่จะตะลึงค้างไม่ได้
แต่ไม่รอให้เขาได้มีปฏิกิริยายาตอบสนองว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องหน้าห่างออกไปแค่คืบก็มีเงาสีขาวสว่างวาบ แขนสีขาวที่หายไปข้างนั้นยืดออกมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น แขนเสื้อสะบัดกรงเล็บกระดูกสีขาวข้างหนึ่งมาประชิดคอหอยของหานลี่ราวกับเคลื่อนย้ายมา แล้วตะปบเข้าไปอย่างรุนแรง
ปลายนิ้วยาวสองสามชุ่นทั้งห้ามีลำแสงเย็นยะเยือกกระพริบวาบ!
“เหวอ!”
แม้ว่าหานลี่จะเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังสะดุ้งเฮือก กรงเล็บกระดูกมาปรากฎอย่างประหลาดเช่นนี้ แม้ว่าร่างกายจะรวดเร็วแค่ไหน มีอิทธิฤทธิ์อะไร ก็ไม่ทันได้สำแดงออกมาแม้แต่น้อย
“ตูม” เสียงเหมือนของหนักๆ ปะทะกันดังขึ้น แขนกระดูกจับคอหอยของหานลี่เอาไว้แน่น
แต่พริบตาที่กรงเล็บกระดูกสัมผัสกับผิวหนัง คอของหานลี่ก็มีลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นโดยอัตโนมัติ เกล็ดสีทองเป็นแผ่นๆ ปรากฎขึ้น
มือกระดูกที่ดูแหลมคมตะปบลงไป คาดไม่ถึงว่าจะดีดออกมาท่ามกลางลำแสงสีทอง
ร่างของหานลี่สั่นเทิ้ม ถอยร่นไปสองก้าวอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ลำแสงสีทองบนคอยังเปล่งแสงรุ่งโรจน์ แม้แต่ขนสักเส้นก็ไม่ได้สัมผัส
หานลี่มีสีหน้าซีดขาวและเขียวคล้ำ สะบัดแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว สายรุ้งสีทองสายหนึ่งม้วนวนออกไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ม้วนแขนสีขาวเอาไว้ข้างใน
กระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีทองกลืนกินแขนข้างนั้นเอาไว้จนมิด!
หลังจากเสียง “กึกๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระบี่ลำแสงกลับเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา
กระบี่ลำแสงสีทองสับลงไปบนแขนเสื้อก็แค่มีลำแสงสีขาวนวลชั้นหนึ่งซัดออกมา
คาดไม่ถึงว่าแขนข้างนั้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด!
หานลี่หน้าเหยเกไปเล็กน้อย อ้าปากออกอย่างไม่ต้องคิด พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา
แต่การกระทำนี้กลับสายไปเสียแล้ว!
สตรีชุดขาวทที่ตกตะลึงจากการที่การตะปบครั้งนั้นไม่สำเร็จได้สติกลับคืนมา ไหล่ทั้งสองสั่นเทิ้ม
แขนสีขาวเบื้องหน้าหานลี่หดเล็กลง แล้วหายวับไปอย่างแปลกประหลาด
ลูกบอลเพลิงพลันโจมตีไปยังความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกันไหล่ของสตรีชุดขาวที่แต่เดิมนั้นว่างเปล่า ก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ แขนฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
หานลี่มองสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วสะบัดแขนข้างหนึ่งออกไป ไข่มุกกลมสีเขียวสี่ห้าเม็ดกลิ้งมาอยู่ในมือ
ส่วนฝ่ามืออีกข้างพลันมีลำแสงสว่างจ้า กำไลเก็บอสูรวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือถูกฝ่ามือคว้าเอาไว้
ภูตเบื้องหน้าแปลกประหลาดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาวในด้านห้วงมิติเวลา เขาจึงไม่อยากเสี่ยงอันตรายอะไรอีก การประมือครั้งต่อไปจึงคิดจะเรียกอสูรวิญญาณครวญออกมา และอาศัยไข่มุกอัสนี ใช้อัสนีจัดการอีกฝ่าย
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาเสียเวลาพัวพันอะไรนัก
ดูเหมือนว่าจะมองออกวว่าการลงมือครั้งต่อไปของหานลี่ต้องไม่ธรรมดา สตรีชุดขาวจึงไม่ได้รีบร้อนปล่อยมือออกมาอีกครั้ง กลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ชุดคลุมบนศีรษะค่อยๆ ตกลงมา เผยหน้าตาที่แท้จริงของนางออกมา
“เหวอ!” เมื่อเหยียนลี่และหยวนเหยาที่ถูกการประมือของหานลี่และสตรีชุดขาวทำให้ตกตะลึงจนตาค้างด้านข้างเห็นใบหน้าของสตรีชุดขาวอย่างชัดเจน ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี
หลังจากที่หานลี่เพ่งพินิจมองแล้ว ก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
เห็นเพียงใบหน้าครึ่งหน้าที่ดูน่ากลัวอย่างสุดๆ ปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
ใบหน้าครึ่งหนึ่งมีผิวสีเขียวมรกต ซูบผอมเป็นอย่างยิ่ง ครึ่งหนึ่งกลับมีริมฝีปากสีแดงไรฟันสีขาว สวยสะคราญเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งสองเป็นสีเขียว ไร้ซึ่งความรู้สึก กำลังจ้องเขม็งมายังหานลี่
หากเห็นใบหน้านี้ในตอนแรกก็ยังพอว่า แต่ร่างของสตรีผู้นี้ช่างเย้ายวนใจนัก ร่างกายอรชนอ้อนแอ้น คราแรกให้ความรู้สึกงดงามเป็นอย่างยิ่ง ครานี้เห็นท่าทางที่น่าหวาดผวาเช่นนี้ กลับตาลปัตรเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนอดที่จะรู้สึกตะลึงงันไม่ได้
เรือนร่างของสตรีภูตชุดขาวเปล่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญต่ำๆ ออกมา หมอกสีขาวเป็นกลุ่มๆ ปรากฎขึ้นรอบๆ
เงาภูตต่างๆ ขนาดเท่าล้อรถในม่านหมอกปรากฎขึ้นลางๆ บ้างก็แยกเขี้ยวตะปบเล็บ บ้างก็ร้องคำรามไม่หยุด ล้วนมีท่าทีดุดันเป็นพิเศษ
หานลี่พลันตื่นตกใจ ฝ่ามือที่คว้ากำไลเก็บอสูรวิญญาณเอาไส้เปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า คิดจะเรียกอสูรวิญญาณครวญออกมา
แต่ชั่วพริบตานั้นเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังออกมาจากส่วนลึกของม่านหมอก
เสียงนั้นดังสนั่นจนทำให้หูของหานลี่อื้ออึง แม้แต่ภูตหมอกพวกเดียวกันก็ยังหมุนวน
หยวนเหยาและเหยียนลี่สตรีทั้งสองได้ยินเสียงนี้ ก็ใจเต้นระรัว
ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่ใช่เสียงที่ออกจากสี่ราชันย์ปีศาจ ก็คงเป็นภูตร้ายกาจอะไรสักอย่างที่อาศัยอยู่แถวนี้ถึงจะถูก
หานลี่มีสีหน้าตึงเครียด ใจหายวาบ!
แต่ฉากที่ทำให้หานลี่และพวกทั้งสามนิ่งค้างพลันปรากฎขึ้น
ภูตหญิงชุดขาวได้ยินเสียงคำรามนี้ แววตาพลันฉายแววสีเขียวสว่างวาบ เสียงกรีดร้องบนร่างหยุดลง ลังเลเล็กน้อย หมอกสีขาวรอบกายม้วนมาที่ัร่างของนาง ร่างทั้งร่างและพายุสีขาวกลุ่มนั้นพุ่งหนีไปยังทิศทางที่เสียงคำรามดังมา
อีกฝ่ายยอมถอยไปเองโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าหานลี่เองก็ไม่มีทางไปไล่ตามภูตหญิงตนนั้น แต่เขาพลันมองไปทางที่เสียงคำรามดังมา สีหน้ากลับบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่แน่นอน
“พี่หาน พวกเรา…” เหยียนลี่อดไม่ไหวคิดจะเอ่ยถามอะไร แต่ประโยคที่ราบเรียบของหานลี่ก็ทำให้สตรีผู้นี้ปิดปากฉับในทันที
“พวกเรารีบไปกันเถิด ลิ่วจู่และพวกอาจจะอยู่ใกล้ๆ นี้ มิเช่นนั้นภูตหญิงตนนั้นไม่มีทางตรงไปยังพวกของตนทันทีแน่” หานลี่โบกมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หยวนเหยาและสตรีทั้งสองรู้ว่าคำพูดนี้มีเหตุผล ภายใต้ความหวาดผวาแน่นอนว่าจึงไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ ทั้งสามและทหารภูตส่วนหนึ่งจึงพุ่งออกไปนอกม่านหมอกทันที
ครั้งนี้เบื้องหน้าไม่มีภูตใดๆ มาขวางไว้อีก ในเวลาเดียวกันในที่สุดม่านหมอกก็ค่อยๆ เบาบางลง
หลังจากผ่านไปสามชั่วยามเบื้องหน้าของทั้งสามก็มีแสงสว่างจ้า ในที่สุดก็หนีออกจากหมอกลวงตาได้
ทั้งสามอดที่จะรู้สึกยินดีไม่ได้ ทันใดนั้นก็คิดจะบินหนีไปให้ไกล แต่ในตอนนั้นเองพลันมีเสียงของบุรุษที่ไม่คุ้นเคยดังออกมาจากจุดที่สูงขึ้นไป
“เอ๋! ยังมีคนออกมาจากเขตอาคมที่ข้าวางเอาไว้ได้อีก ข้าดูเบาพวกเจ้าไปหน่อยจริงๆ!”
หานลี่หยวนเหยาและพวกได้ยินคำนี้ หัวใจพลันเต้นระรัว ยกมือขึ้นเผยสีหน้าตกตะลึงจนตาค้างออกมา
เห็นเพียงใกล้ๆ กับหมอกภูตสูงขึ้นไปพันจั้งเศษ คาดไม่ถึงว่าจะมีกลุ่มคนสองกลุ่มยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ตรงนั้น
หนึ่งในพวกนั้นคือหญิงงามผมขาวและมู่ชิง ปีศาจระดับสูงที่ยืนอยู่ด้านพวกเขาสิบกว่าตน ราชันย์ภูตเกราะทมิฬแปดตน ไกลออกไปหน่อยมีทหารภูตนับพันนับหมื่นยืนเรียงแถวราวกับวางเขตอาคมอยู่ พายุทมิฬพัดมาเป็นระลอกๆ ไอทมิฬพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
และคนที่ยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อกับพวกเขา จำนวนนั้นมากกว่าพวกของมู่ชิงสองสามเท่า เป็นกองทัพกองทัพหนึ่ง
คนเหล่านี้มีประมาณเจ็ดแปดพันตน ทุกตนสูงสองจั้ง สวมชุดเกราะสงครามสีแดงโลหิต ใบหน้าถูกหน้ากากโลหิตปกปิดเอาไว้จนมิด ในมือมีดาบ ทวน กระบี่ ง้าว ธนูแกร่งอยู่อย่างครบครัน ทุกตนลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกหัวกะทิที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็คือ ท่ามกลางกองทัพสีโลหิตนี้ยังมีรถสงครามสีเขียวอ่อนนับร้อยคัน รถสงครามเหล่านี้มีรูปทรงวิจิตรงดงาม ผิวเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับไม่หยุด ด้านบนต่างมีนักรบเกราะอยู่สิบกว่าตน มือถือขวานยาวเอาไว้ ส่วนสิ่งที่ลากรถกลับเป็นอสูรประหลาดสีดำที่ตัวเป็นสิงโตหัวเป็นมังกรวารีสองตัว บนร่างสวนชุดเกราะอยู่เช่นกัน แขนข้างทั้งสี่สั้นหนา กรงเล็บทั้งสีเปล่งแสงเย็นเยียบสว่างวาบ
กองทัพที่อยู่หน้าสุดคือขุนพลสามตนที่นั่งอยู่บนอสูรประหลาดแตกต่างกันไป ผู้ที่พูดเมื่อครู่ก็คือผู้ที่สวมชุดเกราะสีม่วง ที่แผ่นหลังสะพายค้อนยักษ์สีทองสองด้ามเอาไว้
แววตาของมู่ชิงและสตรีผมขาวเองก็กวาดมายังทางหานลี่และพวกทั้งสามเช่นกัน
สตรีผู้งดงามหนึ่งในนั้นมีสีหน้าไม่แยแส ดูไม่ออกว่ามีความประหลาดใจ แต่มู่ชิงกลับเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา
หานลี่ใจเต้นตึกตัก อดที่จะร้องอุทานว่าแย่แล้วออกมาในใจไม่ได้!