A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1492 เหยื่อล่อ
ลิ่วจู๋มองสถานการณ์นี้ไปพลาง ทันใดนั้นก็ใช้จิตสัมผัสกวาดไปตรงที่มู่ชิงอำพรางกายอยู่ ผลคือสายตาพลันเปล่งประกายวาวโรจน์!
“เยี่ยม! เขตอาคมใบเทียนฮัวของสหายมู่ช่างมหัศจรรย์ดังคาด ขอแค่อสูรอเวจีอัสนีไม่คิดจะตามหาที่นี่ ก็ไม่อาจพบพวกเราได้” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็ร้องเรียกคนอื่น ร่างกายบินเข้าไปหาม่านลำแสงสีเขียว
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคน หุ่นเชิดสีม่วงโลหิต และหญิงงามผมขาวทยอยกันไล่ตามไป
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คนผู้หนึ่งหายวับไปจากกลางอากาศ
ที่เดิมจึงเหลือเพียงหานลี่เพียงคนเดียว
แต่ครู่ต่อมาหลังจากที่ไข่มุกกลมสีดำตรงหว่างคิ้วของเขาเปล่งประกายแล้ว ก็บินไปอยู่เหนือม่านลำแสงสีดำอย่างเชื่องช้า ลอยอยู่กลางอากาศด้วยท่าทีทระนงองอาจ แล้วลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
ลิ่วจู๋และพวกเหล่าราชันย์ปีศาจที่อยู่ในเขตอาคมอำพรางด้านล่าง ต่างก็หยิบมีดสั้นสีแดงที่เหมือนกันออกมา
ความยาวไม่ถึงสามฉื่อ ใบมีดหมุนเป็นเกลียว รูปทรงเป็นเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางเสียงร้องเรียกทุกคนทยอยกันบรรจุพลังปีศาจใส่เข้าไปในมีดโลหิตในมือ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สั่นเทาไม่หยุด ราวกับอสรพิษโลหิตเป็นตัวๆ กำลังสะบัดหัวสะบัดหางอยู่ในมือของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
มีดโลหิตเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา เหล่าราชันย์ปีศาจล้วนมีท่าทีพร้อมรบ
ผู้ใดก็ไม่ทันได้สังเกตุว่าหานลี่ที่ดูเหมือนกำลังแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ หดฝ่ามือทั้งสองเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ
ครานั้นลำแสงในมือพลันเปล่งประกาย ยันต์สีเงินแผ่นหนึ่งปรากฎขึ้นในมือ อีกมือหนึ่งกลับมีไข่มุกกลมสีเขียวเจ็ดแปดเม็ดกลิ้งลงมาอย่างเงียบเชียบ
คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป และยังประคองจิตสำนึกของตนเองเอาไว้ได้
ทว่าเขาในครานี้กำลังตำหนิอยู่ในใจไปพลาง ครุ่นคิดตัดสินใจไม่ได้ไปพลาง
ตอนแรกที่เขาถูกมู่ชิงและพวกร่ายอาคมใส่ร่าง ถูกลำแสงสีดำพุ่งเข้าในร่างนั้น ก็คิดว่าตนเองคงหนีจากหายนะครั้งนี้ได้ยากจริงๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลำแสงสีดำจะแค่ทำให้จิตสำนึกเลือนลางไปเพียงชั่วครู่ รอจนไข่มุกกลมสีดำฝังลงไปตรงหว่างคิ้วแล้ว เนตรทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ตรงหน้าผากพลันถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติ ดูดเส้นไหมสีดำที่ปล่อยออกมาจากไข่มุกกลมสีดำไปจนเกลี้ยง
ทำให้เขาได้สติกลับมาดังเดิมทันที
หานลี่เองก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ แต่รอจนลิ่วจู๋เอ่ยว่าไข่มุกกลมคือสิ่งที่หลอมมาจากดวงตาที่สามของอสูรร้าย ก็ถึงได้เข้าใจขึ้นมา
เนตรทำลายล้างของเขาสามารถดูดซับและกำจัดสมบัติที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกันได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แม้ว่าลิ่วจู๋จะมีประสบการณ์จึงสามารถจัดการได้อย่างคล่องแคล่ว และลงมืออย่างไร้ความปรานี แต่ก็คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะมีเนตรทำลาย้ลางของตนเอง
ภายใต้ความคิดที่เคลื่อนไหวไปมาของหานลี่ ทันใดนั้นก็ตัดสินใจได้ทันที ดูว่าจะใช้โอกาสจากท่าทางถูกลงอาคมเอาไว้ หาโอกาสดีๆ ได้หรือไม่
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ลิ่วจู๋และพวกจะให้เขาไปล่อ’อสูรอเวจีอัสนี’ อะไรนั่น
แม้ว่าหานลี่จะเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก แต่แม้แต่ลิ่วจู๋ก็ยังมีท่าทีหวาดกลัว ย่อมเห็นได้ชัดถึงความโหดเ**้ยมของอสูรตนนี้
จากเจตนาเดิมของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่อยากผู้รับเคราะห์แทนผู้อื่น แต่ครานี้เหล่าราชันย์ปีศาจกำลังจับจ้องจนตาเป็นมัน ขอแค่มีสิ่งแปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้น เกรงว่าคงทำให้ลิ่วจู๋และพวกสัมผัสได้ในทันที
แน่นอนว่าหากพวกเขามีแค่วิธีการควบคุมจิตสัมผัสด้วยเนตรอสูรร้าย ถึงครานั้นมีวิธีการควบคุมอื่น ก็จะยิ่งซวยไปกันใหญ่
แม้ว่าเคล็ดวิชามารพรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้จะสามารถผนึกจิตวิญญาณเอาไว้ได้ แต่ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังอับอายและคับแค้นใจ จุดจบอย่างการที่วิญญาณแตกสลายก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับขบคิดไปมาไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่กำลังซัดสาดในร่าง
และไม่รู้ว่ายันต์สีโลหิตที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยปลุกเสกให้เขามีอิทธิฤทธิ์ใด คาดไม่ถึงว่าจะทำให้โลหิตในร่างของเขาร้อนรุ่ม ชั่วพริบตาพลังปราณในร่างก็เพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง นี้ช่างทำให้หานลี่ตกตะลึงนัก!
แม้ว่าเคล็ดวิชาเพิ่มพลังยุทธ์ชั่วคราวเช่นนี้มักจะมีผลข้างเคียง แต่ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นสักหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
และนอกจากนี้…
ยันต์สีเงินที่หานลี่คว้าอยู่ในฝ่ามือเปล่งแสงสว่างวาบ ธงสีขาวโพลนยาวสองสามชุ่นด้ามหนึ่งก็ปรากฎขึ้น
นั่นก็คือ ‘ธงเฉียนคุน! ’
ธงด้ามนี้ดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋และยิ่งไปกว่านั้นจากท่าทางอาลัยอาวรณ์ของหญิงงามผมขาว ก็เห็นได้ว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก
ไม่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่อาจนำมาหลอมได้ หรือว่าหญิงงามผมขาวจงใจไม่หลอม ด้านบนไม่มีร่องรอยของจิตสัมผัสที่หลงเหลืออยู่เลยสักนิด เมื่อหานลี่กวาดจิตสัมผัสไปที่ธงด้ามเล็กด้ามนั้นก็พบว่าเจ้าสิ่งนี้ควบคุมได้ง่ายมาก น่าจะสามารถกระตุ้นอานุภาพของมันได้อย่างง่ายดาย
ในเมื่อลิ่วจู๋ให้หญิงงามผมขาวมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เขา เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องสามารถต้านทานอสูรอเวจีอัสนีได้สองสามส่วน มิเช่นนั้นคงไม่มีทางอะไรที่มากความแน่
มีสมบัติชิ้นนี้ประกอบกับกลยุทธ์ที่เขาเตรียมเอาไว้สองสามกระบวนท่า ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องหนีเอาชีวิตรอด ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหนีออกจากปากของอสูรอเวจีอัสนีแล้ว อสูรอเวจีอัสนีตัวนี้น่าจะมีความสามารถด้านการเคลื่อนที่ไม่เร็วนัก เพียงพอจะทำให้เขามีโอกาสหนีออกไปได้ไกลสักระยะหนึ่งถึงจะถูก
มิเช่นนั้นลิ่วจู๋และพวกจะทำอะไรให้มากความไปทำไมกัน
และหากมีการเปลี่ยนแปลง ถูกเหล่าราชันย์ปีศาจรู้ว่าแสร้งทำ แม้ว่าจะไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีโอกาสหนีรอด แต่ขณะที่ยังมีผนึกอยู่ในร่างกาย แล้วจะหนีไปไหนได้ ไม่สู้ลองเสี่ยงดูสักตั้ง แกล้งทำเป็นเชื่อฟังต่อไป
ขอแค่หนีออกจากการไล่ตามของอสูรอเวจีอัสนีได้ และะแยกออกจากเหล่าราชันย์ปีศาจเหล่านี้ เขาก็สามารถสะกดผนึกได้ชั่วคราว เปลี่ยนจากสดใสเป็นมืดมัว จากนั้นก็ถือโอกาสหนีไปแย่งชิงหยวนเหยาและเหยียนลี่มา ก็จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ในท้ายที่สุดแล้ว
ใบหน้าของหานลี่ไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจ
และในตอนนั้นเอง ลิ่วจู๋และเพื่อนที่อยู่ด้านล่างก็ลงมือ
หลังจากเสียงตะโกนต่ำๆ ดังขึ้น มีดสีโลหิตสองสามเล่มก็สั่นเทา พ่นลำแสงสีโลหิตหนาๆ ออกมาสองสามกลุ่ม สับลงไปที่ม่านลำแสงสีดำอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่ามีดโลหิตเหล่านี้เป็นสมบัติที่เหล่าราชันย์ปีศาจเตรียมมาต่อกรกับเขตอาคมนี้โดยเฉพาะ
เมื่อลำแสงสีโลหิตสัมผัสกับม่านลำแสง ชั่วขณะนั้นก็เหมือนกับทุบก้อนหินสองสามก้อนลงไปในแม่น้ำ
ม่านลำแสงทั้งหมดสั่นเทา และสับลงมาที่ลำแสงสีโลหิตไม่หยุด ม่านลำแสงเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา!
ฉับพลันนั้นเสียงคำรามต่ำๆ ของอสูรก็ดังออกมาจากม่านลำแสง จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น เริ่มเข้ามาประชิดขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าสิ่งนั้นมาแล้ว รีบหยุดมือเร็วเข้า!” ลิ่วจู๋มีสีหน้าเคร่งขรึม ลำแสงสีโลหิตในมือหยุดลง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างร้อนรน
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตและพวกของหญิงงามใจหายวาบ สะบัดข้อมือ หยุดการโจมตี
แทบจะในเวลาเดียวกัน มีดสีโลหิตในมือของมู่ชิงพลันสลายหายไป สองมือพลันร่ายอาคม กลายเป็นต้นไม้ยักษ์ที่กายท่อนล่างมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ กระตุ้นเขตอาคมใต้ฝ่าเท้า
พลังที่ไร้รูปร่างทำให้กลิ่นอายทั้งหมดของทุกคนถูกอำพรางเอาไว้
มองจากไกลๆ ทีนี่ล้วนว่างเปล่า ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเหมือนกับที่ตอนที่ลิ่วจู๋และพวกมาครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น!
และหานลี่ในครานี้หว่างคิ้วมีลำแสงสีดำสว่างวาบ เนตรทำลายล้างที่ผ่านการหลอมได้รับคำสั่งจาลิ่วจู๋
สองมือที่แข็งทื่อของหานลี่พลันร่ายไปมา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนผิวกาย ห่อหุ้มเรือนร่างเอาไว้ จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ธงสีขามด้ามเล็กด้ามนั้นบินออกมา
ธงด้ามนี้ไม่ต้องร่ายอาคมใดๆ ก็กลายเป็นไอสีดำขาวกลุ่มหนึ่งวนล้อมรอบหานลี่ไปมา
ไอสีดำขาวที่ตัดสลับไปมาในไอวิญญาณ มีลวดลายขนาดน้อยใหญ่ปรากฎขึ้นลางๆ ท่าทางอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง!
ในเวลาเดียวกันแผ่นหลังพลันมีลำแสงสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ปีกทั้งสองสยายออก กลายเป็นสีสันแวววาว สั่นเทาเบาๆ ไม่หยุด
หานลี่มีท่าทางเตรียมการพร้อมแล้ว
ผิวของม่านลำแสงสีดำที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นถูกประจุไฟฟ้าสีเงินขนาดเท่าถังน้ำฉีกออก
ประจุไฟฟ้าสีเงินนี้หมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศ ด้านในมีอะไรแฝงอยู่สักอย่าง
ไม่รอให้หานลี่ได้พิเคราะห์อย่างละเอียด ในจิตสัมผัสก็ได้ยินเสียงที่ร้อนรนของลิ่วจู๋ทันที คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาหนีเตลิดจนหัวซุกหัวซุนอย่างไม่สนใจของมีค่า
หานลี่ได้รับคำสั่งนี้ ปีกที่แผ่นหลังก็สยายออกอย่างไม่ต้องคิด สายลมพัดโชยมา คนหายวับไปจากที่เดิมตามสายลม
และประจุไฟฟ้าสีเงินในครานี้ถึงได้หม่นแสงลง เผยอสูรประหลาดสีดำขนาดเท่าลูกม้าตัวหนึ่ง
อสูรตัวนี้มีร่างกายที่ไม่ถือว่าใหญ่โตนัก รูปร่างภายนอกคล้ายหมาป่า แต่แผ่นหลังของมันกลับมีเกล็ด บนหัวมีเขาสีเงินออกมาข้างหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเป็นสีเหลืองทอง มีประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ ไหลวนโคจรอยู่
นั่นก็คือ ‘อสูรอเวจีอัสนี’ ที่ลิ่วจู๋และพวกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
อสูรตัวนี้มีรูปร่างที่ไม่ค่อยน่ากลัวนัก แต่เมื่อปรากฎกายขึ้น ดวงตาทั้งสองก็ถูกดึงดูดไปยังหานลี่ที่อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้งทันที ไม่ น่าจะหมายถึงถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายบนร่างของหานลี่ดึงดูดมากกว่า
สายของอสูรอเวจีอัสนีที่แต่เดิมเคร่งขรึม มองไปบนประจุไฟฟ้าสีทองบนร่างของหานลี่อีกครั้ง สายตาก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงมาก
อสูรตัวนี้กวาดสายตาทั้งสองไปรอบๆ และไม่พบความผิดปกติอะไร ปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา แขนขาทั้งสี่เคลื่อนไหว กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกไปทันที
และไม่รู้ว่าอสูรตัวนี้ใช้เคล็ดวิชาหลีกหนีอะไร แขนขาทั้งสี่จึงมีประจุไฟฟ้าสีเงินทะลักออกมา เสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่หยุด แค่ออกวิ่งคาดไม่ถึงว่าจะอยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง แค่กระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ใกล้จะไล่ตามหานลี่ทันแล้ว
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หันกลับมา แต่แน่นอนว่าย่อมรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของอสูรตนนี้
ทันใดนั้นหัวใจพลันบีบรัด อดที่จะก่นด่าในใจไม่ได้
ความเร็วของอสูรตนนี้ไม่เร็วนัก เกรงว่าจะอยู่แค่ในสายตาของลิ่วจู๋และพวกเท่านั้น สำหรับตนเองแล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีพลังคุกคามถึงชีวิตได้
ทันใดนั้นก็ไม่มีใครกล้าปิดบังอะไรอีก ปีกขนนกสีขาวหิมะแต่เดิมพลันกลายเป็นลำแสงวิญญาณห้าสี แล้วกลายเป็นสีเขียว ปีกทั้งสองกระพรือออกในเวลาเดียวกัน
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะกลายเป็นผลึกเส้นไหมห้าสีสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบหายไปจากบริเวณรอบ
เมื่อกระพริบวาบอีกครั้งก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ คนก็อยู่ห่างไกลออกไป
จากความเร็วไม่ช้าไปกว่าอสูรอเวจีอัสนีด้านหลังเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ไล่ตามกันไป ชั่วพริบตาก็มาถึงสุดขอบฟ้า หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไปอย่างไร้เงา
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ลำแสงสีเขียวก็เปล่งประกายสว่างวาบ ลิ่วจู๋และพวกของหญิงงามพลันปรากฎตัวออกมา
“รีบลงมือเร็วเข้า เจ้าเด็กน้อยหานไม่อาจยื้อเวลาให้พวกเราได้นานนัก รีบทำลายเขตอาคม!” ลิ่วจู๋เอ่ยคำสั่งด้วยใจที่ร้อนรน
ใบมีดสีโลหิตในมือของทุกคนเปล่งประกาย ลำแสงสีโลหิตสองสามสายสับลงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้เมื่อลำแสงโลหิตพ่นออกไป ก็กลายเป็นอสรพิษโลหิตเป็นตัวๆ แยกเขี้ยวตะปบเล็บกระโจนออกมา
เห็นได้ชัดว่าอานุภาพมากกว่าครั้งที่แล้ว
เมื่อเงาแมลงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นที่เหนือศีรษะของลิ่วจู๋ ก็อ้าปากออกพ่นเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมา
หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตพลันขยายร่างใหญ่ขึ้นสองสามเท่าท่ามกลางเสียงร้องกระตุ้นของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต
กายท่อนล่างที่กลายเป็นรากของมู่ชิงจมหายเข้าไปใต้ดิน ทันใดนั้นก็คืนสภาพหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็เหมือนกับคนธรรมดาทุกระเบียบนิ้ว
จากนั้นนางก็ทำให้ใบมีดโลหิตในมือเลือนราง โบกสะบัดไปมากลางอากาศอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีโลหิตสองสามสายกรูทะลักออกมา แต่เมื่อผนึกประสานกัน ก็กลายเป็นใบมีดลำแสงขนาดยักษ์สายหนึ่ง สับลงมา