A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1509 ศิลาทิวาราตรี
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1509 ศิลาทิวาราตรี
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าตอนนี้คงมีแค่สัญลักษณ์ของข้าที่ยังอยู่ในร่างของเจ้าเด็กนั่นแล้ว” หญิงงามผมขาวสีหน้าค่อนข้างเคียวคล้ำ
การเดินทางมายังแม่น้ำอเวจีในครั้งนี้ หากไม่ได้น้ำนมเทวะมาครอบครอง และแม้แต่ศาสตรามารก็ยังไม่สามารถนำมาได้ เช่นนั้นก็จะเป็นการเสี่ยงภัยใหญ่โดยที่ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ
ที่น่าแปลกคือ ถึงแม้ว่าลิ่วจู๋จะสงบนิ่งผิดปกติก็ตาม แต่หลังจากที่ชายชุดโลหิตตกตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธ ก็กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ในดวงตาของเขาเปล่งแสงบริสุทธิ์ไม่หยุดนิ่ง คล้ายกับกำลังพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง
หญิงงามผมขาวกลับไม่สนใจที่จะพูดอะไรอีก พลันนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ราชาภูตทั้งแปดตนที่อยู่เบื้องหลังต่างก็กลายเป็นปราณทมิฬเข้มข้นพร้อมกัน พริบตาก็ห่อหุ้มร่างของหญิงผู้นี้ไว้ภายใน เพื่อช่วยเพิ่มพลังยุทธ์ให้นางทะลวงการปิดบังสัญลักษณ์ของหานลี่
เห็นเพียงปราณทมิฬที่ตลบฟุ้งไม่หยุด ภายในนั้นมีเสียงคร่ำครวญของภูตผีดังออกมาเป็นพักๆ
ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกขนพองสยองเกล้า
เห็นได้ชัดว่าหญิงงามผมขาวใช้พลังทั้งหมดแล้ว!
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย ชั่วพริบตาก็ผ่านมาค่อนชั่วยามแล้ว
ภายในหมอกภูตยังคงไม่มีข่าวคร่าวที่หญิงงามผมขาวทำสำเร็จส่งออกมา
ลิ่วจู๋กับชายชุดโลหิตต่างก็มีความอดทน รออย่างเงียบๆ กลางอากาศอยู่ตลอด ไม่มีใครเอ่ยปากเร่งเร้าใดๆ
หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดเสียงเกรี้ยวโกรธของหญิงงามผมขาวก็ดังออกมา “สัญลักษณ์ของข้าก็ถูกทำลายเช่นกัน เจ้าเด็กนี่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้ด้วยตัวเองแน่ หรือว่ามู่ชิงจะทำเรื่องงามหน้าไว้!”
ไอหมอกสีดำกระจายหายไปจากรอบด้าน พลันปรากฏร่างของหญิงงามที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“สำหรับสหายมู่ เรื่องนี้ก็ยังสรุปไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนนางจะให้ความสำคัญกับสมบัติในสุสานมารมากกว่าน้ำนมเทวะอยู่หลายส่วน” ชายชุดโลหิตเอามือลูบๆ คาง พลางกล่าวเหมือนคาดคิดไว้แล้ว
แม้ว่าแต่ละคนที่อยู่ตรงนี้จะเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกหยวนเหยาสองคนจะรู้เคล็ดวิชาลับรวบรวมปราณทมิฬ และใช้เคล็ดวิชานี้ขจัดสัญลักษณ์ภายในร่างของหานลี่ไปทีละอัน
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เคล็ดวิชาสายภูตที่หญิงสาวทั้งสองคนนั้นมีความเฉพาะทางอย่างแท้จริง
“ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของใคร หากข้ารู้แล้ว ก็จะไม่ยอมเลิกราโดยดีเป็นอันขาด ทว่าพี่ตี้เซวี่ย ดูเหมือนศาสตรามารชิ้นนั้นจะมีประโยชน์กับเจ้ามากสินะ เจ้าระงับอารมณ์ไว้เช่นนี้ หรือว่าจะมีทางหนีทีไล่อย่างอื่น” ดูเหมือนหญิงงามจะนึกอะไรบางอย่างออก พลันจ้องมองสีหน้าท่าทีสงบนิ่งของชายชุดโลหิต
ล่วจู๋ก็หันมามองชายชุดโลหิตเช่นกัน พลันเผยอารมณ์คล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา
ชายชุดโลหิตหัวเราะแห้งสองสามครา หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง จึงค่อยกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ที่จริงแล้วผู้เฒ่าใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ บางอย่างบนร่างของเจ้าเด็กแซ่หาน แต่หากจะค้นหาตำแหน่งเขาได้อย่างถูกต้อง ยังต้องทำด้วยความเหนื่อยยาก แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกับสัญลักษณ์ก่อนหน้านี้ ทว่าการคาดคะเนทิศทางคร่าวๆ ของเขานั้นไม่เป็นปัญหา เจ้าเด็กนี่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก หลังจากที่เก็บวิญญาณรับใช้ของข้าไปหนึ่งชุดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะอดกลั้นไม่ยอมลองเรียกออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเคล็ดวิชาลับของข้าไปแล้ว ไหนเลยจะก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้นมาได้”
ได้ยินชายชุดโลหิตกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของหญิงงามผมขาวกลับปรากฏสีหน้าประหลาดออกมาปราดหนึ่ง พลันย่นคิ้ว “สหายคงไม่ได้พูดล้อเล่นหรอกนะ! จิตสัมผัสของเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ได้อ่อนแอ เจ้าใช้ลูกไม้กับวิญญาณรับใช้ เขาจะมองไม่ออกเลยเชียวหรือ”
“ฮ่าๆ สหายหลานไม่รู้อะไรแล้ว ตัววิญญาณรับใช้ของข้านั้นไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ประเด็นสำคัญคือมหายุทธ์สัญญาโลหิตชักนำฝัน วิชาที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษที่ใส่เข้าไปในวิญญาณรับใช้ เพียงแค่เขาใช้จิตสัมผัสเข้าไปในวิญญาณรับใช้เพื่อใช้งานด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากกลลวงของเคล็ดวิชาลับนี้เป็นอันขาด และหากคิดจะใช้ครั้งที่สอง หรือครั้งที่สามอีก สุดท้ายก็จะตกหลุมพรางโดยที่ไม่รู้ตัว แต่น่าเสียดาย ตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงตอนนี้ เจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่เคยใช้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นทางฝั่งข้าจะต้องรับรู้และควบคุมเขาได้โดยปริยายแล้ว”ดูเหมือนชายชุดโลหิตรู้สึกว่าใกล้จะได้เข้าไปในสุสานมารแล้ว จะปิดบังตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย จึงอธิบายทางหนีทีไล่คร่าวๆ ของตนเองออกมาโดยตรง
หญิงงามผมขาวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ดวงตาที่ซับซ้อนของลิ่วจู๋เปล่งประกายหลายหน ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน
“ในเมื่อเจ้าเด็กแซ่หานไม่ติดกับเจ้า เจ้าจะเสาะหาตำแหน่งของเขาในตอนนี้อย่างไร” หญิงงามซักไซ้อีกประโยค
“เรื่องนี้ง่ายมาก ข้าได้นำศิลาทิวาราตรีผสมเข้าไปในวิญญาณรับใช้ที่ข้ามอบให้เขา” ชายชุดโลหิตยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัวคราหนึ่ง
“ศิลาพลับพลึง! ศิลาประหลาดชนิดหนึ่งที่เมื่อถึงเวลาเที่ยงสองชั่วยามก็จะกลายเป็นธาตุตะวัน และตอบสนองหากันได้ แสดงว่าในมือของสหายจะต้องมีอีกก้อนหนึ่งอย่างแน่นอน และมีแค่แม่น้ำอเวจี สถานที่ที่มีปราณทมิฬหนาแน่นสุดๆ เช่นนี้เท่านั้น การตอบสนองของวัตถุดิบชนิดนี้จึงจะได้ผล หากมาอยู่ในสภาพแวดล้อมทั่วไป แม้แต่พวกเราก็ไม่สามารถสังเกตเห็นการตอบสนองระหว่างพวกมันได้ และบังเอิญจริงๆ ที่สหายหาของไม่มีค่าชนิดนี้เจอ ตามที่ข้ารู้ ศิลาชนิดนี้ไม่เกิดขึ้นในทวีปของพวกเรา แม้ว่าบนทวีปที่เหลืออีกสองทวีปก็มีจำนวนน้อยสุดๆ และยังมีประโยชน์ใช้สอยน้อยมากสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา” คราวนี้ลิ่วจู๋อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม
“ของสิ่งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนไปตามหามาเอง แต่ได้มาจากคนบนทวีปอื่นคนหนึ่งที่สังหารไปตอนที่ฝึกฝนเมื่อหลายปีก่อน และเป็นเพราะมันมีขนาดเล็ก จึงผสมเข้าไปในวิญญาณรับใช้เหล่านั้นได้ทั้งหมด แม้ว่าจะใช้ตอนนี้ ทั้งสองฝั่งก็ตอบสนองกันแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ต่อให้เจ้าเด็กแซ่หานใช้อาคมต้องห้ามอะไรมาผนึกวิญญาณรับใช้พวกนั้น ก็ไม่สามารถตัดขาดการเชื่อมต่อชนิดนี้ได้ อีกอย่างตัวเขานั้นไม่ได้มีศิลาทิวาราตรี ยิ่งทำให้ไม่สามารถมองออกถึงความลี้ลับนี้ได้” ชายชุดโลหิตพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“ฮ่าๆ เป็นเช่นนี้ก็ดีเลยทีเดียว พวกเราไล่ตามไปยังทิศทางสุดท้ายที่สัญลักษณ์หายไปกันก่อนเถอะ ตอนนี้ก็จวนจะถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว ถึงเวลานั้นถ้ามีการตอบสนองสักสองสามทีก็น่าจะเข้าใกล้เจ้าเด็กนี่แล้ว ทว่าในระหว่างทางก็ยังต้องระวังเจ้าเด็กเผ่าแมงเม่าที่มีสมบัติวิญญาณผู้นั้น ดูเหมือนว่าสมบัติวิญญาณในมือของคนผู้นั้นจะเป็นกรรไกรห้ามังกร สมบัติชิ้นนี้เป็นถึงอันดับต้นๆ ในบรรดาสมบัติวิญญาณ ทางที่ดีพวกเราอย่าได้ปะทะกับศัตรูจะดีกว่า ส่วนอสูรวชิระเอวเจีสองตนนั้นคงไม่มีทางออกห่างจากรังของมันไกลมาก ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว”
“จะว่าไปแล้ว ข้าสองคนก็ไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าสหายลิ่วจู๋จะมีวิธีที่สามารถต้านทานสมบัติวิเศษอย่างกรรไกรห้ามังกรและยังไล่หุ่นเชิดตัวนั้นให้ล่าถอยไปได้”
“สหายหลานชมเกินไปแล้ว! หุ่นเชิดตัวนั้นไม่ได้ถูกข้าขับไล่ แต่พลังยุทธ์ของเขาไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนกรรไกรห้ามังกรเป็นเวลานานเกินไป จึงถอยออกไปเอง ไม่เช่นนั้นหากเวลานานขึ้นอีกหน่อย ข้าน้อยก็คงต้องร่วงตายด้วยสมบัติชิ้นนี้แล้ว” ลิ่วจู๋กลับสายหน้า ภายในดวงตาปรากฏความหวาดกลัวออกมาแวบหนึ่ง
หญิงงามกับชายชุดโลหิตสมตากันทีหนึ่ง พลันนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่หานลี่ออกจากพระราชวังใหญ่ในวันนั้น ก็มีสีหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย
อิทธิฤทธิ์ของกรรไกรห้ามังกรที่สำแดงออกมาในภายหลังนั้น เป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ หากหุ่นเชิดตัวนั้นปลดปล่อยอานุภาพของสมบัติชิ้นนี้ออกมาทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม ไม่แน่ว่าพวกเขาสองคนคงร่วงตายตรงนั้นไปตั้งนานแล้ว
“แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้จนเกินไป แม้ว่าในตอนสุดท้ายหุ่นเชิดตัวนั้นจะสำแดงอานุภาพของกรรไกรห้ามังกรออกมาทั้งหมด แต่ก็การเบิกทดรองจิตสัมผัสของตนเอง จะหวนกลับมาอีกหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด เพียงแค่พวกเราระมัดระวัง ไม่แตกกลุ่มกันให้เขาจัดการทีละคนก็ได้แล้ว” ท่าทางของลิ่วจู๋กลับมาสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินวาจานี้ของลิ่วจู๋ หญิงงามกับชายชุดโลหิตต่างก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ในเวลาต่อมา ทั้งสามคนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก หลังจากหารือกันเล็กน้อย ก็พากันขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปไกล
…
ส่วนลึกของแม่น้ำอเวจี เบื้องหน้าถ้ำหินที่ชีพจรภูเขาสีขาวมีแสงโลหิตสว่างขึ้นวาบหนึ่ง หุ่นเชิดเกราะโลหิตตัวหนึ่งก็ปรากฏกายอย่างซวนเซออกมาจากในอากาศ เพิ่งคิดจะยกขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จู่ๆ ร่างก็เปล่งแสงวิญญาณอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาสองสามที ก่อนที่จะล้มลงบนพื้นดังตุบ
ตามด้วยเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นบนร่างของหุ่นเชิดทีหนึ่ง รุ้งสีเงินสายหนึ่งพลันพวยพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ก็จมหายเข้าไปในถ้ำอย่างไร้ร่องรอย
“ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นสภาพจนมุมเช่นนี้! หรือว่าอานุภาพของกรรไกรห้ามังกรของผู้เฒ่าไม่มากพอ?” ไม่นานนัก ภายในถ้ำก็มีเสียงของชายชราดังขึ้น น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม
ในโลกนี้มีแค่ไม่กี่เรื่องจริงๆ ที่ทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาได้
“อานุภาพของกรรไกรห้ามังกรไม่ด้อยจริงๆ เป็นชนรุ่นหลังที่ไม่เอาไหนเองขอรับ จู่ๆ พอถึงตอนสุดท้ายจิตสัมผัสก็ไม่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นก็เกือบจะรวบพวกเขาทั้งหมดได้ในทีเดียวแล้ว” สองตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตเปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง จึงค่อยลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ทว่าน้ำเสียงยังคงเคารพนอบนอมเช่นเดิม
“จิตสัมผัสไม่เพียงพอ! เจ้าใช้กรรไกรห้ามังกรไปสองครั้งและใช้นานเกินไปหน่อยใช่หรือไม่” เสียงของชายชราฟังแล้วราวกับไม่รู้สึกอะไร ราวกับแค่กำลังอธิบายเรื่องหนึ่งที่เล็กน้อยไม่มีค่าพอที่จะเอ่ย
“ชนรุ่นหลังละโมบเกินไป ตั้งแต่เริ่มไม่ได้ใช้อานุภาพของกรรไกรห้ามังกรออกมาทั้งหมด แต่คิดจะหลอกล่อคนนอกพวกนั้นออกมาทั้งหมดแล้วสังหารพร้อมกันทีเดียว แต่คาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง ในบรรดาคนพวกนั้น คนทรยศเผ่าเราคนหนึ่งได้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งบังเอิญสามารถต้านท้านกรรไกรห้ามังกรได้ในชั่วพริบตา แต่แผนที่ชนรุ่นหลังเตรียมการไว้ก่อนหน้าก็ถูกคนอื่นทำลายอย่างเหนือความคาดหมายเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรือล่มเมื่อจอด” หุ่นเชิดเกราะโลหิตตอบกลับด้วยความใจฝ่อผิดปกติ
“อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เสียงของชายชราที่อยู่ในถ้ำกล่าวอืมคำเดียว จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาอีก
“อาวุโสเจียง ชนรุ่นหลังยังมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องขอรับ!” จู่ๆ ดวงตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตก็เปล่งแสงโลหิตเจิดจ้า เสียงพูดดังขึ้นมาหลายส่วน
“ขอร้อง? ข้าจำได้ว่าทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าเสร็จสิ้นไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องมาคาดหวังเลยว่าข้าจะลงมือเพื่อเผ่าแมงเม่าของพวกเจ้า” เสียงของชายชราดูเยือกเย็นลง
“ชนรุ่นหลังจะกล้าเพ้อฝันเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ข้าน้อยแค่อยากขอร้องให้อาวุโสเจียงใช้เศษเสี้ยวความคิดของข้าน้อยมาเป็นตัวชักนำ ใช้เคล็ดวิชาทะลวงดินแดนนำพาให้ร่างจริงของชนรุ่นหลังมาที่แม่น้ำอเวจี คนพวกนั้นแย่งชิงน้ำนมเทวะไปแล้ว หากไม่แย่งสมบัตินี้กลับคืนมา ฆ่าคนพวกนี้ โทษของชนรุ่นหลังก็ยากที่จะเบาลง” คิดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดเกราะโลหิตจะกล่าวเช่นนี้
“ให้ร่างจริงของเจ้ามาที่นี่ สมองเจ้าคงไม่ได้เลอะเลือนสินะ เผ่าแมงเม่าของพวกเจ้าไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่แม่น้ำอเวจีได้นานมาก อย่างมากก็ปีกว่า อย่างน้อยก็หลายเดือน พวกเจ้าก็จะถูกปราณทมิฬกัดเซาะพลังยุทธ์จนลดลงไปมาก อีกทั้งฟังจากคำพูดของเจ้า พลังยุทธ์ของคนพวกนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ อย่างมากให้ร่างจริงของเจ้ามาก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเขาในเวลาที่พวกเขาร่วมมือกัน หรือว่ายังคิดที่จะยืมกรรไกรห้ามังกรของผู้เฒ่าอีกครั้ง?” ในที่สุดเสียงของชายชราก็ดูประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
“สำหรับกรรไกรห้ามังกร ชนรุ่นหลังย่อมคิดที่จะยืมอีกครั้งอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจำเป็นต้องใช้มันจริงๆ ร่างจริงของชนรุ่นหลังจะลงมาที่ดินแดนแห่งนี้พร้อมกับรังเทวะรังหนึ่งขอรับ” หุ่นเชิดเกราะโลหิตกัดฟันแล้วกล่าว
“รังเทวะ! หึๆ ข้าคงไม่ได้ฟังผิดหรอกนะ! เพื่อตัวตนระดับแมงเม่าทองคำไม่กี่คน คิดไม่ถึงว่าจะใช้ของสิ่งนี้ อีกอย่างเจ้าจะมีอำนาจใช้ของสิ่งนี้ได้อย่างไร หากข้าจำไม่ผิด ของเหล่านี้อยู่ในกำมือของเจ้าพวกตาแก่หงำเหงือกไม่กี่คนในเผ่าของพวกเจ้ามาโดยตลอด หากเผ่าของพวกเจ้าไม่ถึงช่วงคอขาดบาดตาย ก็ไม่มีทางยอมใช้เครื่องมือสังหารใหญ่นี้เป็นอันขาด” คราวนี้น้ำเสียงของชายชราดูสนใจเป็นอย่างมากจริงๆ