A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1514 แท่นหยก
ชั่วพริบตาที่สายฟ้าสีดำจู่โจมถูกร่างหานลี่ หานลี่รู้สึกเพียงสภาพแวดล้อมรอบด้านดูเลือนรางเล็กน้อย ก่อนที่จะถูกส่งตัวออกไปในสภาพหัวหมุนติ้ว
โชคดีที่เขาคุ้นเคยกับการส่งตัวเป็นอย่างมาก ขณะที่ร่างของเขาปรากฏออกมาจากการส่งตัว ก็ฝืนอดทนต่ออาการวิงเวียนในทันที ครั้นร่ายคาถาทีหนึ่ง ก็คืนสภาพสู่ร่างมนุษย์แล้วสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง
ม่านแสงสีทองสลัวแผ่ขยายออกแล้วคุ้มกันหานลี่กับเหยียนลี่ที่ยังไม่ได้สติภายในพริบตา
ในตอนนี้เขาจึงค่อยมองดูรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เห็นเพียงบริเวณที่พวกเขาอยู่นั้นเป็นแท่นสูงที่สร้างมาจากหยกประณีต
รอบๆ แท่นสูงมีเสาหินสีเขียวตั้งตระหง่านอยู่สิบกว่าต้น แต่ละต้นสลักและฉลุอย่างประณีต พื้นผิวมีอักขระโคจรเปล่งประกายอยู่รางๆ
คาดไม่ถึงว่าแท่นสูงนี้จะเป็นเขตอาคมขนาดเล็ก
ขณะที่เสาหินเหล่านี้เปล่งประกาย ก็สร้างม่านแสงสีขาวสลัวๆ ที่หนาแข็งผิดปกติออกมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมแท่นสูงไว้เบื้องล่างทั้งแท่น แต่ภายนอกม่านแสงกลับเป็นหมอกดำหนาแน่น ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน
โชคดีที่หมอกเหล่านี้ถูกสกัดไว้ภายนอกทั้งหมด เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปข้างบนก็เป็นสถานการณ์เช่นเดียวกัน
หานลี่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“พี่หาน ที่นี่คือ…” ในที่สุดเหยียนลี่ก็ฟื้นขึ้นมาจากอาการวิงเวียนหมดสติ นางมองดูทัศนียภาพที่แปลกประหลาดรอบด้านหนหนึ่ง สีหน้าก็ซีดขาวเล็กน้อย
“ดูเหมือนพวกเราจะถูกหมอกภูตนั้นดูดเข้ามายังสถานที่อื่น” หานลี่กลับแสดงท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
“หรือว่าที่นี่จะไม่ใช่แม่น้ำอเวจี” เหยียนลี่ได้ยินวาจานี้ก็รู้สึกดีใจอย่างห้ามไม่อยู่
“เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่หลอก แต่จากความรู้สึกที่โดนส่งตัวก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ระยะทางที่ยาวพิเศษและไม่ใช่การส่งตัวข้ามดินแดน น่าจะยังอยู่ในแม่น้ำอเวจี” หานลี่ส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างละเอียดรอบคอบ
ได้ยินคำนี้ ใบหน้าของเหยียนลี่ก็รู้สึกหมดหวังอย่างหนัก แต่ฉับพลันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าเปลี่ยนแล้วร้องอุทานออกมา
“แย่แล้ว ศิษย์น้องหยวนยังอยู่ข้างนอกหมอกดำ ไม่ได้ถูกส่งตัวมาที่นี่ คงไม่ได้พลัดพรากกับพวกเราแล้วหรอกนะ”
“สหายไม่จำเป็นต้องกังวล ด้วยสติปัญญาของแม่นางหยวน แม้ว่าจะอยู่คนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร กลับเป็นพวกเราที่ต้องทำความเข้าใจว่าที่ที่เราอยู่คือสถานที่ใดก่อน เพียงแค่ไม่ออกมานอกแม่น้ำอเวจี ค่อยตามหาสหายหยวนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หานลี่กล่าวเสียงขรึม
หานลี่พูดเช่นนี้ สีหน้ากลัดกลุ้มทุกข์ใจบนใบหน้าของเหยียนลี่ก็ลดลงเล็กน้อย
“ตั้งแต่เข้าสู่โลกบำเพ็ญเพียรจนถึงตอนนี้ ข้ากับศิษย์น้องก็แยกห่างกันน้อยครั้งมาก เมื่อครู่จู่ๆ ไม่ได้เห็นศิษย์น้องหยวนแล้ว มีตรงไหนที่เสียกิริยา ก็หวังว่าพี่หานจะไม่หัวเราะเยาะ”
“ไม่มีอะไรหรอก สหายเหยียนกับแม่นางหยวนมีความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ลึกซึ้ง นี่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่แม้ว่าจะเป็นห่วงสหายหยวน ก็ต้องแก้ปัญหาของตัวเอง” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่งแล้วตอบกลับ เมื่อใช้สายตากวาดมองรอบหนึ่ง ก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มาถึงบริเวณใกล้เคียงของเสาหินต้นหนึ่ง
เขาหรี่ตามองอักขระตั้งแต่บนลงล่างอย่างละเอียด พลันหันไปมองนอกม่านแสง
ดวงตาเปล่งแสงสีน้ำเงินวิบวับ อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณกระจ่างถูกสำแดงออกมาในชั่วพริบตา
แม้ว่าหมอกดำนี้จะหนาแน่นผิดปกติ แต่ก็ยังถูกอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณของเขาเจาะผ่านไปได้ จึงมองเห็นสถานการณ์ภายในหมอกดำได้อย่างชัดเจน
“เอ๋!” หานลี่สีหน้าเปลี่ยน พลันอุทานออกมาเบาๆ
“พี่หานพบอะไรรึ?” เหยียนลี่เดินเข้ามาแล้วถามด้วยความกังวล
“ที่นี่นอกจากแท่นสูงที่พวกเราอยู่แล้ว บริเวณใกล้เคียงดูเหมือนจะมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่เหมือนกันอยู่หกแห่ง ล้มรอบเป็นวงกลม อีกทั้งดูเหมือนที่นี่จะเป็นภายในท้องเขาแห่งหนึ่ง” หานลี่สูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วกล่าวอย่างช้าๆ
“ท้องเขา! หากพวกเรายังไม่ออกจากแม่น้ำอเวจี แล้วใครเป็นคนสร้างสิ่งเหล่านี้ในสถานที่เช่นนี้” เหยียนลี่ขมวดคิ้วมุ่น พลางพูดพึมพำ
“เรื่องนี้ที่จริงก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ที่ข้าอยากรู้ก็คือ คนผู้นี้ควบคุมหมอกภูต ดูดพวกเรามาที่นี่อย่างไม่มีสาเหตุได้อย่างไร บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับอสูรหลัวโหวก็เป็นได้” หานลี่จับต้นชนปลายไม่ถูกแม้แต่น้อย พลันพูดอย่างไม่แน่ใจ
“อาศัยการเดาส่งเดช ไม่มีทางสรุปอะไรได้แน่นอน แต่พวกเราไม่ควรรอเฉยอยู่ที่นี่ต่อไปสินะ” เหยียนลี่ทอดถอนใจแล้วถาม
“แน่นอนว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเจ้าของสถานที่นี่เมตตาหรือโหดร้าย หากบอกว่าที่นี่คือการป้องกัน ก็บอกได้เหมือนกันว่าคือการกักขัง หากทางออกจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ เมื่อครู่เห็นอักขระบนเสาเหล่านั้นแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะล้ำลึกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยระดับความรู้เรื่องเขตอาคมของข้า ส่วนใหญ่ก็ยังดูไม่ออกเลย คงต้องอาศัยพลังดิบๆ ทำลายที่นี่แล้ว” หานลี่เอามือลูบๆ คาง พลางพูดยืนยัน
“อาคมต้องห้ามนี้ลึกล้ำจริงๆ เมื่อก่อนนี้น้องสาวเคยศึกษาศาสตร์ของเขตอาคมมาบ้าง ข้าขอลองดูหน่อยเถอะ” เหยียนลี่ลังเลเล็กน้อย พลันกล่าวด้วยความมั่นใจตัวเอง
“อ๋อ หากแม่นางเหยียนสามารถปลดอาคมต้องห้ามนี้ได้จริงๆ ก็ดีเลย” หานลี่ได้ยินแล้วตกตะลึง พลันยิ้มแล้วยิ้มอีก ขยับตัวหลบไปข้างๆ
เหยียนลี่เดินมาข้างหน้าเสาอย่างไม่เกรงใจ พลันจ้องมองอย่างละเอียด ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายอยู่นั้น ร่างทั้งร่างก็ถูกอักขระบนเสาดูดเข้าไป
หานลี่เอามือไพล่หลัง พลางมองดูแต่ละแห่งที่อยู่ภายนอกม่านแสงอย่างละเอียด ดวงตาเปล่งประกายเป็นพักๆ คล้ายกับคาดคิดไว้แล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เหยียนลี่ถอนหายใจคราหนึ่ง หลบสายตาออกด้วยสีหน้าซีดขาว แล้วยิ้มฝืนๆ ให้หานลี่ “ทำให้พี่หานหัวเราะเยาะแล้ว อาคมต้องห้ามนี้ล้ำลึกกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มาก น้องสาวไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้”
“ไม่เป็นไร ในเมื่อไม่ได้ ให้กระบี่บินของข้าลองดูเถอะ” หานลี่กลับไม่ใส่ใจ คล้ายกับคาดการณ์ไว้แล้วหลายส่วน เมื่อเขาสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงเพรียกดังกระจ่างใสขึ้น กระบี่เล็กสี่ทองยาวชุ่นกว่าเล่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา
กระบี่บินนี้บินวนอยู่เหนือศีรษะรอบหนึ่ง ก็กวัดแกว่งแล้วกลายเป็นกระบี่ยาวสามฉื่อ เปล่งแสงสีทองวาววับ แผ่ปราณหนาวยะเยือก
“ไป”
หานลี่ใช้นิ้วแตะไปที่ม่านแสงสีขาวเบื้องหน้า พลันร้องออกมาทีหนึ่ง
เห็นเพียงเหนือศีรษะมีแสงสีทองเปล่งประกายสว่างวาบ กระบี่บินก็กลายเป็นรุ้งประหลาดสายหนึ่งพวยพุ่งออกมาฟาดฟันลงบนม่านแสงอย่างไม่ปรานี
“ปัง!” ขณะที่แสงสีทองกับแสงสีขาวเปล่งประกายวูบวาบ รุ้งประหลาดสีทองก็ปรากฏรูปลักษณ์เดิมออกมา แล้วถูกดีดกลับอย่างไม่เกรงใจ
หานลี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ใช้นิ้วหนึ่งจิ้มไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้กระบี่บินกลับมาหยุดนิ่งกลางอากาศอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะคาดเดาไว้ว่าม่านแสงนี้ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะแข็งแรงทนทานถึงขั้นนี้ แทบจะทำให้กระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาไร้ผลเลยทีเดียว
เหยียนลี่ที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พลันอ้าปากอย่างไม่ยั้งคิด พ่นพัดใบตองสีดำออกมาด้ามหนึ่ง แล้วโบกไปที่ม่านแสงอย่างรุนแรง
เพลิงสีดำทมึนโหมซัดสาดออกไปอย่างฉับพลัน แต่ก็ปรากฏฉากเช่นเดียวกัน
เมื่อเปลวเพลิงสัมผัสกับม่านแสง ก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบแล้วถูกดีดออกในทันที ไม่สามารถทำอะไรม่านแสงได้เลยแม้แต่น้อย
เหยียนลี่สูดไอเย็นเข้าไปทีหนึ่ง
“อาคมต้องห้ามนี้ทำไมถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้ ยากที่จะทำลายเพียงนี้เชียวหรือ?”
หานลี่ลังเลเล็กน้อย ครั้นชูมือหนึ่งขึ้น ก็เผยฝ่ามือสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึกออกมา
นิ้วทั้งห้าแยกออก พลันแปะลงบนม่านแสง
แทบจะภายในเวลาชั่วพริบตา ม่านสีเทาก็โถมทะลักออกมาจากมือของหานลี่อย่างบ้าคลั่ง
แสงที่ตอนแรกดูเหมือนจะแข็งแรงทนทาน หลังจากที่ม่านแสงสีเทากวาดออก ก็ส่งเสียงเพรียกดังหึ่งๆ
ระลอกคลื่นบนพื้นผิวของม่านแสงเกิดการกระเพื่อมขึ้น
มุมปากของหานลี่กระดกขึ้น เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ ตราบใดที่เป็นอาคมต้องห้ามที่ประกอบด้วยพลังเบญจธาตุ แสงเทวะดูดปราณไม่มีทางใช้ไม่ได้ผล
เมื่อในใจคิดเช่นนี้ หานลี่ก็โคจรพลังยุทธ์ทั่วทั้งร่าง ม่านแสงที่โถมทะลักออกจากฝ่ามือเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ระลอกคลื่นบนม่านแสงสีขาวก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเช่นกัน
ม่านแสงทั้งม่านเกิดการบิดเบี้ยวและเปลี่ยนแปลงรูปร่างขึ้นโดยมีศูนย์กลางเป็นฝ่ามือของหานลี่
เหยียนลี่ที่อยู่ข้างๆ ได้เห็นภาพนี้ ดวงตาอันงดงามก็เบิกกว้างขึ้นหลายส่วน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีของความปิติยินดี
แม้ว่าก่อนหน้าหญิงผู้นี้จะเคยเห็นหานลี่ใช้แสงเทวะดูดปราณไปแล้ว และรู้ว่ามีอานุภาพไม่น้อย แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าในด้านทำลายอาคมต้องห้าม แสงเทวะจะมีประสิทธิภาพที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้
ในเวลาต่อมา เกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นคราหนึ่ง ในที่สุดม่านแสงก็ถูกแสงเทวะดูดปราณทำให้บิดเบี้ยวแล้วแตกออกทีละชุ่น
หมอกดำที่อยู่ภายนอกโถมทะลักขึ้นมาบนแท่นหยกในทันที
หานลี่กระโดดสุดตัวแล้วกลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวทยานขึ้นสู่เบื้องบนอย่างฉับพลัน ส่วนเหยียนลี่ก็แกว่งขนนกยาวสีเขียวที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว กลายเป็นดวงแสงสีเขียววงหนึ่งคุ้มกันร่างของตนไว้ภายใน แล้วเหาะทยานตามหลังหานลี่ไปติดๆ
ก่อนหน้านี้หานลี่ได้สังเกตสถานการณ์ในบริเวณใกล้เคียงแล้ว ดังนั้นหลังจากที่กลายเป็นวิหคยักษ์ จึงพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งภายในหมอกดำอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลังจากพุ่งฉวัดเฉวียนสองสามหน เบื้องหน้าก็สว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏผนังกีดขวางสีเขียวเหลืองสองสี่ออกมาหนึ่งชั้น
ทว่าหานลี่กลับมองออกในทีเดียว ผนังกีดขวางนี้เป็นแค่อาคมต้องห้ามกำบังที่เรียบง่ายชนิดหนึ่ง ดังนั้นร่างแปลงวิหคยักษ์จึงใช้กรงเล็บหนึ่งตะปบลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“แคว่ก!” ผนังกีดขวางถูกฉีกขาดอย่างง่ายดาย
ร่างของหานลี่พุ่งปราดหนหนึ่ง ตัวเขาก็มาถึงบนพื้นหินอีกฝั่งของผนังกีดขวาง จากนั้นแสงสีเขียวก็ดับลง กลายเป็นร่างมนุษย์ยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง
เหยียนลี่ไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว รีบตามลงไปบนพื้นดินติดๆ
หานลี่รีบหันกลับมามอง
เห็นเพียงผนังกีดขวางสีเขียวเหลืองที่ถูกฉีกขาดในตอนแรก ชั่วพริบตาก็กลับมาปิดสนิทเหมือนตอนแรก ทำให้หมอกดำที่คิดจะถือโอกาสเข้ามาถูกขวางไว้ภายนอกอีกครั้ง
ตอนนี้หานลี่จึงค่อยรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง เหยียนลี่ก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ “เอ๋ พี่หาน ที่นี่มาทางเข้าด้วย! เราสองคนเข้าไปดูข้างในหรือไม่!”
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกใจหายวาบ รีบหันมองไปยังทิศทางที่เหยียนลี่กล่าว
เห็นเพียงสถานที่ที่ห่างจากพวกเขาไปหลายสิบจั้ง บนผนังหินสีเขียวด้านหนึ่ง มีเส้นทางเปล่งแสงผลึกสีขาวนวลอยู่ตรงนั้น
หานลี่เลิกคิ้วขึ้นคราหนึ่ง พลันมองซ้ายและขวาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จึงค่อยรู้สึกบางอย่างขึ้นมาได้!
คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอยู่บนแท่นที่นูนออกจากหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง ส่วนแท่นหยกเหล่านั้นกลับเป็นเบื้องล่างของหน้าผาสูงชัน
ขณะที่มองไปยังปากถ้ำนั้น หานลี่ไม่ได้เดินเข้าไปในทันที เพียงแค่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วดีดนิ้วในแขนเสื้อออกไปด้านนอกทีหนึ่ง
เกิดเสียงดังพรวดพราดสองหน ดอกไม้สีทองสองดอกพลันพวยพุ่งออกมา หลังจากบินวนได้รอบหนึ่ง ก็กลายเป็นแมลงเกราะสีทองขนาดเท่ากำปั้นสองตัว พวยพุ่งเข้าไปในปากถ้ำแห่งนั้น
หานลี่นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น พลันหลับตาไม่พูดจา
เหยียนลี่เห็นดังนี้ รู้ว่าหานลี่กำลังใช้แมลงตรวจสอบสถานการณ์ภายในถ้ำอยู่จริงๆ ก็รออยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร จู่ๆ สีหน้าของหานลี่ก็ซีดขาว ลืมตาแล้วเด้งตัวขึ้นอย่างฉับพลัน
“แย่แล้ว ในถ้ำมีคน อีกทั้งพลังยุทธ์ยังลึกซึ้งไม่อาจะหยั่งถึงได้ แมลงวิญญาณของข้าถูกคนผู้นี้จับและฆ่าตายอย่างง่ายดาย”
หานลี่เพิ่งจะกล่าวคำนี้จบ เสียงของชายชราที่ดูแก่หง่อมเป็นอย่างยิ่งก็ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
“ก็ว่าทำไมเขตอาคมเจ็ดทวารกักขังทมิฬของข้าถึงได้เกิดปัญหาขึ้น ที่แท้ก็มีแขกมาเยือนถิ่นนี่เอง ในเมื่อทั้งสองคนมาแล้ว ถ้าไม่รังเกียจก็เข้าถ้ำมาพักสักหน่อยเถิด!”