A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1561 ศัตรูตัวฉกาจ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1561 ศัตรูตัวฉกาจ
ชาวเพลิงจันทราเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นพลันกระตุ้นสมบัติสองชิ้นทำการโจมตีไปพลาง ปากบริกรรมคาถาไปพลาง ดูเหมือนว่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจอะไรออกมา
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงราบเรียบของหานลี่พลันดังขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อนายท่านตกอยู่ในเขตอาคมกระบี่ของข้า หากจะไป ก็ต้องให้ผู้แซ่หานเป็นผู้ส่งเจ้าไปด้วยตนเอง!”
เมื่อเอ่ยจบ ฉับพลันนั้นดอกบัวตรงข้ามพลันสลายออก กลายเป็นเงาลำแสงสีเขียวเต็มท้องฟ้า มีดยักษ์สีเงินและเงามังกรวารีสีทองกระโจนเข้ามา ชั่วครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับดินโคลนจนลงไปในมหาสมุทร
แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น
ชาวเพลิงจันทรารู้สึกจิตใจหนักอึ้ง เดิมทีร่างกายที่คิดจะรีบออกไปพลันหยุดชะงัก
และในตอนนั้นเองเงาลำแสงสีเขียวตรงหน้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นราวกับคลื่นยักษ์ม้วนเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
ชาวเพลิงจันทราตกใจจนสะดุ้งโหยง ปล่อยอาคมที่แต่เดิมพร้อมจะปล่อยออกไปอย่างไม่ลังเล
เห็นเพียงร่างของเขามีลำแสงสีแดงหมุนติ้วๆ มีดำแสงสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น กระตุ้นเล็กน้อย ก็เริงระบำวนล้อมรอบไปทั้งสี่ทิศ
เสียง ฟิ้วๆ แหวกอากาศดังขึ้น!
ชั่วพริบตามีดแหลมที่เริงระบำจนกลายเป็นพายุหมุนสีแดงพลันปรากฏห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ชาวเพลิงจันทราถึงได้ผ่อนคลายลง
ครู่ต่อมา ม่านลำแสงสีเขียวพลันม้วนวนเข้ามาอย่างเงียบเชียบราวกับภาพลวงตา
แต่หลังจากที่เขาเพ่งมองไปก็พลันรู้สึกตื่นเต้น
เห็นเพียงลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ทิวทัศน์รอบด้านรางเลือน คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในทุ่งหญ้าสีเขียวมรกต
รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวชอุ่มสูงสองสามชุ่น และมีดอกไม้เปล่าแซมอยู่หลากสีสัน ไกลออกไปมีเสียงวิหคเพรียกดังแว่วมา ช่างเป็นทัศนียภาพวิหคเพรียกกลิ่นมวลดอกไม้หอมที่น่าหลงใหล ทำให้ผู้คนอดที่จะสบายอารมณ์และผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว
“เคล็ดวิชาลวงตา!”
ชาวเพลิงจันทราเองก็ไม่ธรรมดา แววตาหลงใหลฉายแวบผ่านก็ร้องอุทานออกมาอย่างได้สติ
เขามองไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
เห็นเพียงสูงขึ้นไปมีสีฟ้าเข้ม นอกจากก้อนเมฆสองสามก้อนที่อยู่ไกลออกไปแล้วคาดไม่ถึงว่ามองปราดเดียวจะมองไม่เห็นสุดขอบของทุ่งหญ้า ส่วนชาวเพลิงจันทราก็สัมผัสได้ว่าจุดที่สองฝ่าเท้าเหยียบย่ำอยู่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ในเวลาเดียวกัน ในจมูกก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายต้นไม้ใบหญ้าที่เข้มข้น คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองหาข้อบกพร่องได้เลยสักกระผีก ร่างทั้งร่างดูเหมือนอยู่ในทุ่งหญ้าที่ไร้ขอบเขต!
“ทลาย”
ชาวเพลิงจันทรามีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ปากก็ตะโกนออกมากัดปลายลิ้นของตนเองในเวลาเดียวกันสองมือก็ชูขึ้น
มองเห็นมีดลำแสงสีแดงข้างกายในพายุหมุนหยุดชะงัก จากนั้นก็พุ่งออกมาสี่ทิศแปดด้านราวกับห่าฝน
ร่องรอยสีขาวเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มีดสีแดงเหล่านั้นแหลมคมเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะดูราวกับว่าจะสับท้องฟ้าออกตรงๆ
ทุกอย่างรอบด้านเต็มไปด้วยมีดสีโลหิตที่สับลงมา ม่านลำแสงจางๆ ปรากฏขึ้น จากนั้นทัศนียภาพพลันรางเลือนทุ่งหญ้าท้องฟ้าบิดเบี้ยวหายวับไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ชาวเพลิงจันทราพลันรู้สึกดีอกดีใจ ทลายเคล็ดวิชาลวงตาที่ดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายโดยแท้
แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเพิ่งจะเผยออกมา ทัศนียภาพรอบด้านที่บิดเบี้ยวกลับระเบิดลำแสงสีเขียวเจิดจ้าออกมา
ชนต่างเผ่าอดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้ แต่ทันใดนั้นผิวกายพลันมีลำแสงสีแดงสว่างวาบ รอบกายมีมีดลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอีกครั้งปกคลุมไว้รอบด้าน
ทว่าชาวเพลิงจันทรารู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีเส้นลำแสงมืดหม่น หลังจากเพ่งพินิจมองสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหยเก
เห็นเพียงทัศนียภาพรอบด้านเปลี่ยนไป รอบกายล้วนเป็นต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้าขนาดยี่สิบสามสิบจั้ง ทุกต้นล้วนลำต้นเหยียดตรง ใบไม้ปกคลุมหนาแน่นแทบจะปกคลุมทั้งท้องฟ้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
เขาตกอยู่ในป่ารกอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจสลัดเคล็ดวิชาลวงตาออกได้และจมปลักอยู่ในนั้นอีกครั้ง
สถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่าย่อมทำให้ชาวเพลิงจันทราทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว
แต่ครั้งนี้ไม่รอให้เขากระตุ้นความสามารถอันใด ใต้ฝ่าเท้ากลับสั่นคลอนอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินไหว จากนั้นต้นไม้รอบด้านพลันล้มระเนระนาดลงราวกับอ่อนแอต้านลมไม่ไหว ชั่วขณะนั้นเงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทอดตัวลงมา
ชาวเพลิงจันทราพลันตกตะลึงไม่ทันได้ขบคิดมีดแหลมคมที่ผิวกายพลันสับออกไปกลางอากาศทันที
ชั่วพริบตาต้นไม้เหล่านั้นไม่ทันได้เข้าประชิดชาวเพลิงจันทรา ก็ถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางลำแสงสีแดง!
ชาวเพลิงจันทรารู้สึกผ่อนคลายลงยามที่กำลังที่จะกระตุ้นมีดลำแสงให้ออกไปรอบทิศ เพื่อทลายเคล็ดวิชาลวงตาอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเสียง “ปังๆ” พลันดังขึ้น เงาสีดำกลางอากาศที่ถูกมีดลำแสงสับลงมากลับแข็งแกร่งกว่าที่คิด
มีดลำแสงสีแดงสับลงมาก็ทยอยกันเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วหายวับไป
ส่วนเงาสีดำพลันพลิ้วไหวสร้างภาพลวงตาใหญ่ขึ้นสองสามเท่า จากนั้นก็กดลงมา
นั่นคือยอดเขาสีดำขนาดร้อยจั้งเศษ
“เอ๋” ชาวเพลิงจันทราพลันตกตะลึง ทำได้เพียงแหงนหน้าอ้าปากพ่นหมอกสีแดงออกมา
ด้านในมีอะไรสักอย่างอยู่รางๆ!
แต่เมื่อหมอกสีแดงและภูเขาน้อยสัมผัสกัน แค่เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบก็เผยสมบัติรูปทรงเหมือนกระดานไม้สีแดงสดปรากฏขึ้น ผิวของมันมีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายระยิบระยับ
แม้ว่าไม้กระดานนี้จะมีอานุภาพไม่น้อย แต่จะรับอานุภาพอันมหาศาลของภูเขาเทวะดูดปราณได้อย่างไร
ภูเขาสีดำทับไม้กระดานจนลำแสงสีแดงแตกกระจายในพริบตา และเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุดก็มาถึงเหนือศีรษะของชนต่างเผ่า
“แย่แล้ว!”
ชาวเพลิงจันทราทำได้เพียงเปล่งเสียงออกมาร่างทั้งร่างถูกภูเขาสีดำกดทับเอาไว้
ในเวลาเดียวกันทัศนียภาพพลันบิดเบี้ยว กลายเป็นดวงลำแสงละเอียด ภาพลวงตาทั้งหมดหายวับไป ชาวเพลิงจันทราปรากฏกายขึ้นกลางหุบเขาที่เดิมอีกครั้ง
แต่ใต้ฝ่าเท้าของเขากลับว่างเปล่าถูกยอดเขาสีดำกดทับเอาไว้
ครู่ต่อมาเสียงอึกทึกดังสนั่นพลันดังขึ้นจากพื้นดิน!
ภูเขาสีดำกดลงที่พื้นด้านล่างจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดสองสามชุ่น
ชาวเพลิงจันทรากลายเป็นน้ำจิ้มเนื้ออยู่ในหลุม
แม้ว่าเขาและหานลี่จะอยู่ในระดับหลอมสุญตาเช่นเดียวกัน แต่กายเนื้อกลับอ่อนแอกว่าที่คิด
น่าเวทนาชาวเพลิงจันทราระดับหลอมสุญตาผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถแค่ที่แสดงออกมาเมื่อครู่
แต่น่าเสียดายที่เขาสำแดงเคล็ดวิชาลับแปลงกายออกมาในตอนแรก ก็ถูกหานลี่ใช้ไข่มุกอัสนีและยันต์เกราะเอกแปลงเป็นหุ่นเชิดเงาเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ปราณแท้ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในเคล็ดวิชาลวงตาเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ของหานลี่ ถูกภูเขาเทวะดูดปราณที่ยากจะแยกแยะว่าของจริงหรือปลอบลอบโจมตี ทำให้สูญเสียกายเนื้อไปอย่างง่ายดาย และไม่อาจพลิกตัวกลับมาได้อีก
ทว่ายามนี้ศพใต้ภูเขาสีดำพลันเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า ไข่มุกกลมขนาดเท่าไข่ไก่พุ่งออกมา จมหายไปในพื้นดินด้านล่าง
ฉับพลันนั้นตีนยอดเขาสีดำพลันมีหมอกลำแสงสว่างจ้า ลำแสงสีเทาพุ่งออกมา ชั่วพริบตาก็ม้วนไข่มุกกลมสีแดงออกมาจากดิน ทำให้มันไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้เลยสักกระผีก
จากนั้นลำแสงสีเทาพลันเปล่งประกาย ไข่มุกกลมถูกโยนออกไปบนพื้นอย่างแรง
ในเวลาเดียวกันยอดเขาเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้น มือหนึ่งกวักเรียกไข่มุกกลมกลางลำแสงสีเทาเบาๆ
เสียง สวบ ดังขึ้น ชั่วพริบตานั้นพลังมหาศาลพลันดูดไข่มุกกลมเข้ามาอยู่ในมือ
เงาร่างคนนั่นก็คือหานลี่เอง
เขาก้มหน้าลงมองที่อยู่ในมือสองแวบ
เห็นเพียงไข่มุกกลมเม็ดนี้มีลำแสงสีแดงสว่างวาบ ด้านในโปร่งแสง คาดไม่ถึงว่าจะมีคนตัวเล็กขนาดสองสามชุ่นซ่อนอยู่
ดูจากหน้าตาแล้วเหมือนกับชาวเพลิงจันทราทุกกระเบียดนิ้ว แค่ส่วนหัวมีเขาเล็กๆ ที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นงอกออกมา
“เจ้าเกี่ยวข้องกับเผ่าหนอนมีเขาดังคาด! ข้าน้อยก็ประหลาดใจอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าสหายคือคนของเผ่าหนอนมีเขาหรือว่าคนเผ่าเพลิงจันทรา” หานลี่ดูเหมือนจะใช้สองนิ้วบีบไข่มุกลมอย่างส่งเดช ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มเย็นเยียบออกมา
คนตัวเล็กในไข่มุกกลม กลับหลับตาทั้งสองข้างลงไม่ได้กล่าวอะไร
“ในเมื่อเจ้าวางแผนฉกกล่องในมือของผู้แซ่หาน ก็น่าจะรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสิ่งนี้สินะ หากเจ้ารู้ตัวยอมบอกสิ่งที่ข้าอยากรู้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะ…”
“เจ้าจะปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าหรือ?”
ไม่รอให้หานลี่เอ่ยจบ คนตัวเล็กในไข่มุกกลมพลันลืมตาขึ้น ตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ไม่ได้ ทำได้เพียงลดความเจ็บปวดจากวิชาค้นจิตวิญญาณเท่านั้น!” หานลี่ขมวดคิ้ว ตอบกลับอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด หากอยากใช้เคล็ดวิชาค้นจิตวิญญาณกับข้า ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเสียแรงเลย จิตสัมผัสของเขาถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์ลงอาคมเอาไว้ ต่อให้เผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับสามสำแดงเคล็ดวิชาค้นวิญญาณกับข้า จิตสัมผัสของข้าก็จะแค่ระเบิดออกเท่านั้น” มนุษย์ตัวน้อยเผยรอยยิ้มเยาะออกมา
หานลี่ได้ฟังคำตอบพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลงจ้องเขม็งไปยังมนุษย์ตัวน้อยในไข่มุกกลม สองมือถูกกันไปมา!
ได้ยินเพียงเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น! ท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีทองที่เปล่งประกาย ชั่วพริบตานั้นไข่มุกกลมพลันปริแตก มนุษย์ตัวน้อยด้านในกลายเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน
แม้ว่าหานลี่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงหรือไม่ แต่เขาไม่มีเวลาจะมาซักไซ้ต่อ
เพื่อป้องกันไม่ให้จิตสัมผัสของอีกฝ่ายถูกลงสัญลักษณ์อะไรอีก เขาจึงไม่อาจปล่อยให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของอีกฝ่ายหนีไปได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าได้สิ่งที่ต้องการ ก็ลงมืออย่างโหดเ**้ยมอย่างไม่ลังเล
หานลี่ไม่รู้ว่าในชั่วพริบตาที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวเพลิงจันทราถูกทำลาย เขายักษ์สีเงินที่ลอยอยู่เหนือเมืองแสงมรกต กลางวิหารสีทองแห่งหนึ่ง จะมีคนร้องอุทานว่า “เอ๋” ออกมา
“พี่ถู เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” อีกคนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“อาคมที่ข้าร่ายไว้ในจิตสัมผัสของหงอิ๋นหายไป ดูเหมือนว่าเขาจะเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว” ชายชราเคราสั้นผู้สวมชุดคลุมสีเงินคนหนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวโพลนเอ่ยขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น บนหัวของเขามีเขาสั้นสีแดงสดงอกออกมา มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ แผ่นป้ายไม้สีเขียวปรากฏขึ้นในมือ
ใจกลางแผ่นป้ายไม้มีผลึกหินสีแดงเม็ดหนึ่ง มันแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ
“อันใด ฐานะของเขาถูกเปิดเผย และถูกล้อมโจมตีหรือ?” อีกคนเอ่ยซักถาม สวมชุดคลุมสีเงินเช่นกัน เป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุเพียงสี่สิบปีเศษ ซักถามด้วยฉงนสงสัย
“อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ถึงอย่างไรเสียพลังยุทธ์ของหงเมี่ยก็ไม่ได้อ่อนแอ และจากข่าวที่เขาส่งมา ในเมืองแสงมรกตก็ไม่ได้มีเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอาศัยอยู่ หากถูกล้อมโจมตี ก็น่าจะไม่เพลี่ยงพล้ำไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ หรือว่าก่อนที่พวกเราจะมามีเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับนั้นเข้ามาในเมืองอย่างกะทันหัน หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าคนที่มาถึงก่อนจะตรวจตราทั้งวัน ก็อาจจะสัมผัสไม่ได้” ชายชราลูบเคราตนเองแล้วพยักหน้าขณะเอ่ย
“หากเป็นเช่นนั้นละก็ เพื่อเป็นการป้องกัน พวกเราไปดูด้วยตัวเองสักรอบเถิด ช่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย การลงมือชิงสมบัติครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่าจะขอรบกวนพวกเราให้ลงมือกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับนั้น” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วมีท่าทีไม่คิดเช่นนั้น