A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1569 ล่าถอย
หานลี่มองไปยังเงาสีม่วงที่อยู่ไกลออกไป แต่ไม่ได้ขยับกายไล่ตาม
แม้นว่าจะอาศัยของเขตอาคมกระบี่ บีบให้ระดับผสานอินทรีย์ผู้นี้ล่าถอยไป แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะมีความสามารถเหนือกว่าอีกฝ่ายจนสามารถสังหารชายชราได้ และยิ่งไปกว่านั้นจากความเร็วที่น่าตกตะลึงของอีกฝ่าย เขาในยามนั้นก็ไม่มีทางไล่ตามทัน
หานลี่เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า สาเหตุที่อีกฝ่ายล่าถอยไปนั้น ประการหนึ่งเป็นเพราะโดนปราณแท้ของกระบี่ ทำให้โลหิตไหลออกมาไม่หยุดและไม่อาจห้ามเลือดได้จนทำให้ทำอะไรไม่ถูก อีกประการหนึ่งคืออานุภาพของแมลงกลืนทองและพลังที่ตนสำแดงออกมาท้ายสุด ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตกอยู่ในอันตราย ความหวังที่จะโจมตีเขาจนพ่ายแพ้ยังคงรางเลือน ถึงได้ยอมหนีไปก่อนชั่วคราว
ความจริงแล้วชายชราแค่อาศัยพลังปราณและถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ไม่ว่าการที่ปราณแท้ของกระบี่ทำให้โลหิตไหลออกมาไม่หยุดหรือว่าการควบคุมแมลงกลืนทอง ก็ไม่อาจประคองเอาไว้ได้นานนัก
ถึงยามนั้นกวางจะตายในมือใคร[1]ก็พูดยาก หานลี่ไม่อยากต่อกรกับฝ่ายจนมัจฉาตายตาข่ายขาด[2]โดยไม่มีเหตุมีผล
และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าที่นี่จะอยู่ห่างจากเมืองแสงมรกตมาก แต่ทัพเสริมของเผ่าแมลงมีเขาก็สามารถไล่ตามมาทันได้ตลอดเวลา
นี่คือสาเหตุที่เขาใช้เขตอาคมกระบี่และใช้ปราณแท้ของกระบี่ออกมารวดเดียวอย่างไม่เสียดาย เทียบกับพลังคุกคามที่ชายชรามอบให้เขาแล้ว เขาให้ความสำคัญกับทหารไล่ล่าเผ่าแมลงมีเขามากกว่าหลายส่วน
เมื่อใช้เนตรวิญญาณมองไป ชายชราก็กลายเป็นเงาสีม่วงหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เก็บเคล็ดวิชาและสมบัติในมือกลับมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไปเช่นกัน
แต่เขาพลันเปลี่ยนทิศทางหนี พุ่งไปยังด้านข้าง
ชั่วครู่เส้นไหมสีเขียวก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า
เพราะว่าการต่อสู้ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเกิดความวุ่นวาย มันจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
แต่หลังจากผ่านไปแค่หนึ่งเค่อ ท้องฟ้าพลันมีลำแสงสว่างวาบ สายรุ้งสองสายที่มาจากเมืองแสงมรกตพลันปรากฏขึ้น
แค่กะพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาอยู่เหนือผืนป่า และวนโคจรไปมา
ลำแสงหลีกหนีหม่นลง ในสายรุ้งมีเงาร่างคนสองสายปรากฏขึ้น
คนหนึ่งคือชายชราแซ่ถูที่จากไปก่อนหน้า ยามนี้ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว อีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางสวมชุดสีเงินที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์อีกคนหนึ่ง
“จากไปแล้วดังคาด จากเคล็ดวิชาหลีกหนีของคนผู้นี้ น่าจะหนีออกไปเกินล้านลี้แล้ว” ชายชรากวาดสายตาไปด้านล่าง แล้วเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่คนบ้า จะรออยู่ที่นี่ทำไม ระยะห่างขนาดนั้น ต่อให้ใช้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬ ก็ไร้ประโยชน์ และยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ยังใช้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬไปแล้วครึ่งหนึ่ง จะใช้ได้อีกครั้งก็ต้องรออีกสามวันให้หลัง ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาเล็กๆ คนหนึ่ง จะทำร้ายพี่ถูได้อย่างไร” ชายวัยกลางคนมองหลุมยักษ์ที่ด้านล่าง แล้วเอ่ยถามพลางขบคิดเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำถามของชายวัยกลางคน ใบหน้าของชายชราพลันเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อกวาดสายตาไปที่หัวไหล่ของตนเองแล้ว ชั่วพริบตานั้นสีหน้าก็โหดเ**้ยมขึ้นหลายส่วน
“เพราะข้าประมาทเกินไป จึงตกเข้าไปอยู่ในเขตอาคมกระบี่ของคนผู้นั้นโดยไม่ทันระวัง และอานุภาพของเขตอาคมกระบี่นั้นก็ไม่ธรรมดา ประกอบกับคนผู้นี้รู้จักเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจหลายอย่าง สมบัติประจำกายก็ไม่ธรรมดา ถึงได้จะต้องถอยออกมา ใช่แล้ว อีกฝ่ายมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยหลายสิบตัว”
“อะไรนะ แมลงกลืนทอง!” เมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้า ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางไม่ใส่ใจ พลันหน้าเปลี่ยนสี
“หากไม่เป็นเช่นนั้น ตาเฒ่าคงไม่กลับไปด้วยความร้อนใจเช่นนี้” ชายชราเอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“หากยี่สิบกว่าตัว ต่อให้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้มาพบเข้า ก็ยังต้องหวาดกลัวสองสามส่วน ทว่าขอแค่ไม่ถึงร้อยตัว ใช้สมบัติระดับสุดยอดประเภทไม้หินก็สามารถกักแมลงเหล่านี้เอาไว้ได้ชั่วคราว” ชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามหน ในที่สุดก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นเยือกเย็น
“หึๆ หากเป็นแมลงกลืนทองโตเต็มวัยน้อยตัว ข้าจะกล้าไปหาเจ้าแล้วกลับมาที่นี่อีกครั้งหรือ คงหนีเตลิดไปตั้งนานแล้ว” ชายชราหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“หากมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยมากนับพันหมื่นตัว เกรงว่าหากระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ถูกกักเอาไว้ ก็อาจเพลี่ยงพล้ำ ได้ยินว่าพันกว่าปีก่อน ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีเคยมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยปรากฏขึ้นฝูงหนึ่ง จำนวนเคยถึงสองสามหมื่นตัว ผลคือเผ่าเล็กๆ สามสี่เผ่าในบริเวณนั้นล้วนถูกฝูงแมลงกำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย หากไม่ใช่เพราะสุดท้ายถูกเผ่าที่ยิ่งใหญ่ใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬอย่าง ‘ค้อนทะลวงสวรรค์’ แยกมิติเวลาออก ส่งแมลงวิญญาณเหล่านี้ไปมิติอื่นนอกแดนวิญญาณ ไม่แน่ว่าคงมีเผ่าอีกจำนวนมากที่ประสบหายนะ” ชายวัยกลางคนมีท่าทีครุ่นคิดไปพลาง เอ่ยอย่างเนิบช้าไปพลาง
“แต่จะว่าไปแล้ว การเลี้ยงดูแมลงกลืนทองนั้นจำต้องเสียจิตสัมผัสไปจำนวนมาก ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามกี่ชั่วอายุคน ถึงจะโชคดีทำสำเร็จได้ มันเป็นหนึ่งในแมลงวิญญาณไม่กี่ชนิดที่เลี้ยงดูยากที่สุด คนผู้นั้นควบคุมได้ยี่สิบกว่าตัว ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ใด เขาเป็นคนของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์หรือ?” ชายวัยกลางคนนึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี
“ไม่ใช่ ยุทธภัณฑ์ที่ข้าพกอยู่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ท่าทางก็ดูธรรมดามาก ไม่รู้ว่ามาจากเผ่าใด” ชายชราย้อนนึกถึง สุดท้ายก็สั่นศีรษะ
“เช่นนั้นก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว หากในตัวเขามีกล่องหยกอยู่จริง พวกเราก็เอาคืนมาได้ยาก” ชายวัยกลางขมวดคิ้ว
“สหายหนิง ทางเจ้าได้มากี่กล่อง” ชายชราแววตาเปล่งประกายพลันเอ่ยถาม
“ได้มาสองกล่อง คนเผ่าหมื่นโบราณผู้นั้นเจ้าเล่ห์มาก สุดท้ายยังจะทำลายกล่องแล้วหนีไป แต่ไม่คิดว่าเคล็ดวิชาหลอมโลหิตตัดสัมพันธ์ของข้านั้นเชี่ยวชาญการลอบโจมตีมากที่สุด เมื่อลงมือก็ควบคุมเขาได้ แล้วถึงได้แย่งมา” ชายวัยกลางพูดไปพลาง มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีกล่องหยกสองกล่องที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น ด้านบนมียันต์ต้องห้ามแปะอยู่
“ชนต่างเผ่าหัวโตผู้นั้น แบ่งให้หานลี่และพวกอีกคนล่ะกล่อง ส่วนตัวเองเก็บเอาไว้มากกว่าสองเผ่า”
ชายชราพยักหน้า สะบัดแขนเสื้อเช่นกัน และหยิบกล่องหยกออกมาใบหนึ่ง กลับเป็นกล่องหยกใบที่ชายผิวสีเขียวได้ไป
“เช่นนั้นละก็ ในมือของพวกเราก็มีอยู่สามกล่อง ข่าวจากหงเมี่ยบอกว่าในมือของชนเผ่าหมื่นโบราณน่าจะมีกี่กล่อง?” ไม่รู้ว่าชายชราลืมไปแล้วจริงๆ หรือว่าอยากให้มั่นใจอีกครั้ง จึงจ้องเขม็งสหายร่วมวิถีพลางเอ่ยถาม
“ห้าหกกล่องกระมัง! ข่าวของเขาไม่ค่อยแม่นยำนัก” ชายวัยกลางลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“ห้าหกกล่อง ช่างเป็นจำนวนที่ยุ่งยากเสียจริง เช่นนั้นในตัวของคนผู้นั้นก็น่าจะมีอยู่อย่างน้อยกล่องหนึ่ง” ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นยังมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย ดูแล้วหงเมี่ยคงเพลี่ยงพล้ำด้วยมือของเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ไม่อาจปล่อยคนผู้นี้ไปได้” แววตาชายวัยกลางฉายแววเย็นชา น้ำเสียงโหดเ**้ยม
“แต่คนผู้นี้หายตัวไปแล้ว พวกเราจะไล่ตามเขาอย่างไร” ชายชราเอ่ยถามอย่างฉงนสนเท่ห์
“อาศัยเพียงพวกเราย่อมไม่ได้ แต่พี่ถูอย่าลืมล่ะ เมืองกว่าครึ่งของที่นี่อยู่ในมือของเผ่าเรา พวกเราจะใช้ยันต์หมื่นลี้ส่งข่าวไปยังเมืองในละแวกนี้ ให้พวกเขาช่วยปิดผนึกช่องทางเอาไว้ และส่งคนจำนวนมากออกค้นหาคนผู้นี้ ผู้ที่ส่งออกมาไม่จำเป็นต้องเป็นคนผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งเท่าไหร่นัก ขอแค่แหวกหญ้าให้งูตื่น ให้คนผู้นี้เผยร่องรอยออกมาก็พอแล้ว จากนั้นพวกเราก็ใช้เขตอาคมส่งตัวรีบรุดไป” ชายวัยกลางคนขบคิดอย่างรอบคอบ แล้วเอ่ยเสนอแนะรอบเดียว
“อืม วิธีนี้ใช้ได้” แม้ว่าชายชราแซ่ถูจะรู้สึกว่าความหวังไม่มากนัก แต่ตนเองก็คิดวิธีที่ดีกว่าไม่ออก จึงพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นชายชราพลันสะบัดแขนเสื้อ ในมือมีแผ่นหินสีเขียวปรากฏขึ้น
ชายชราใช้นิ้วเขียนตัวหนังสืออะไรสักอย่างลงบนแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ด้านบนมีตัวอักษรสีทองอ่อนปรากฏขึ้นเป็นแถว
ครู่ต่อมาชายชราก็เขียนจบ มือหนึ่งปรบไปที่แผ่นหิน
ชั่วขณะนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ตัวอักษรเหล่านั้นทยอยกันหายวับไป
“พวกเรากลับไปที่เรือสงครามก่อนเถิด ชาวเผ่าหมื่นโบราณผู้นั้นวางเขตอาคมระเบิดตัวเองเอาไว้ที่เมือง แต่ถูกยุทธภัณฑ์ตรวจสอบพบเข้า และเรียกคนไปทำลาย แต่กลับพบปัญหาอยู่ไม่น้อย ต้องให้พวกเราสองคนไปช่วยสักหน่อย” ชายวัยกลางคนหัวเราะน้อยๆ ออกมาขณะเอ่ย
“ก็ทำได้เพียงเท่านี้!” ชายชราย่อมไม่มีข้อคิดเห็นอื่น
ดังนั้นทั้งสองคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี ตรงไปยังทางที่มา ชั่วครู่ก็บินหายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
หานลี่บินมารวดเดียวล้านลี้ เมื่อมั่นใจว่าคนของเผ่าแมลงมีเขาไม่อาจไล่ตามเขามาได้อีก ถึงได้ผ่อนความเร็วลำแสงหลีกหนีลง กลับมาอยู่ในความเร็วธรรมดาอีกครั้ง
แต่บินมาเนิ่นนานเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นหานลี่เองก็ยังรู้สึกเสียแรงไปไม่น้อย
ทันใดนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ในมือมีผลึกสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นสองก้อน
ผลึกสองก้อนนี้คือผลึกวิญญาณธาตุได้ระดับสุดยอด
แม้ว่าผลึกวิญญาณนี้จะหายาก แต่ตอนนี้อยู่ในวิกฤตอันตราย หานลี่จึงใช้มือกำผลึกเอาไว้อย่างไม่เสียดาย และเริ่มดูดซับพลังวิญญาณจากในนั้น
โชคดีที่รอบๆ ล้วนเป็นสถานที่รกร้าง หานลีจึงหาภูเขามาลูกหนึ่งแล้วร่อนลงไป นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ และเริ่มตั้งจิตฟื้นฟูพลังลมปราณ
แม้ว่าเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์จะมีอิทธิฤทธิ์น่าอัศจรรย์ แต่พลังปราณที่เสียไปก็ไม่ธรรมดาเลยสักนิด
โดยเฉพาะการสับครั้งสุดท้ายของปราณแท้กระบี่ เกือบจะทำให้เขาสูญเสียปราณแท้ไป
ในเวลาต่อมา บนภูเขาที่หานลี่นั่งสมาธิอยู่ไม่ได้มีลำแสงหลีกหนีใดพุ่งผ่านไปเลย
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลมปราณในร่างของหานลี่ฟื้นฟูกลับมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว
เมื่อหานลี่ลืมตาขึ้นด้วยความยินดีนั้น ก็ไม่มีเจตนาจะรั้งรออยู่ที่นี่อีก เขาเก็บศิลาวิญญาณในมือ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่หลังจากที่สายรุ้งบินออกมาได้ร้อยกว่าจั้ง ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็รางเลือน ราวกับไม่มีอยู่จริง
ตัวอยู่ในลำแสงหลีกหนี หานลี่หยิบคัมภีร์ออกมาม้วนหนึ่ง
นั่นก็คือแผนที่น่านน้ำในบริเวณรอบที่เขาได้มาจากชิงเสี่ยวก่อนส่งตัวจากหมู่เกาะปะการังเพลิงมาที่เมืองแสงมรกต
แม้จะกล่าวว่าน่านน้ำปะการังเพลิงของนางไม่ได้ติดต่อกับแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในแผ่นที่กลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
หานลี่แผ่จิตสัมผัสเข้าไปในคัมภีร์ เริ่มค้นหาเส้นทางที่เหมาะสม
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสถานการณ์การกระจายตัวของเผ่าแมลงมีเขาในละแวกนี้ แต่เมืองรอบๆ นั้นไม่มีทางไปแน่ จึงคิดจะอ้อมไปยังเมืองอื่น ตรงไปยังเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์นั่นก็คือ ‘เมืองเกราะทอง’
ว่ากันว่าเป็นเพราะตำแหน่งมันสำคัญมากเกินไป ดังนั้นไม่เพียงจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ ในเวลาเดียวกันที่นี่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตนี้ มีกองทัพหัวกะทิของสิบสามเผ่าประจำการระยะยาวอยู่ ในเวลาเดียวกันชนชั้นสูงจำนวนมากก็อาศัยอยู่ที่นี่
หากตำแหน่งในแผ่นที่ไม่ผิดพลาด เผ่าแมลงมีเขาไม่กวาดล้างเมืองอื่นๆ ในบริเวณรอบก่อน ก็ไม่มีทางโจมตีเมืองนี้ได้ในทันทีแน่
หลังจากครุ่นคิดเช่นนั้น หานลี่พลันมองไปยังแสงแดดเจิดจ้าบนท้องฟ้า หลังจากเปรียบเทียบทิศทางอีกครั้งแล้ว ก็กระตุ้นลำแสงหลีกหนี พุ่งตรงไปยังจุดที่ไกลออกไป
——
[1] กวางตายในมือใคร หมายถึง ผู้ที่ชนะในศึก
[2] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปทั้งสองฝ่าย