A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1617 เพลิงเที่ยงแท้อีกาทอง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1617 เพลิงเที่ยงแท้อีกาทอง
วิหคมารที่เป็นหัวหน้าเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็กลอกตาทั้งสี่ไปมาพร้อมกัน หลังจากกวาดสายตาไปยังหานลี่ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงแล้ว ก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้ลางๆ
หลังจากที่มันลังเลเล็กน้อย ก็อ้าปากเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา หมายจะเรียกสมุนทั้งสี่กลับมา
แต่การลังเลเพียงเล็กน้อย มันกลับสายไปเสียแล้ว
หานลี่วางเขตอาคมกระบี่กว้างถึงร้อยจั้งเศษ วิหคมารทั้งสี่ก็มีความเร็วไม่เชื่องช้า แค่กระพือปีกทั้งสอง ก็กระโจนเข้ามาในเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์แล้ว
เห็นเพียงลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ม่านลำแสงชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มวิหคมารทั้งสี่เอาไว้ข้างใน
วิหคมารทั้งสี่พลันตกตะลึง ร่างกายทยอยกันหมุนวน กรงเล็บที่มีลำแสงเย็นเยียบทะลักออกมาตะปบไปทางม่านลำแสง
แต่เมื่อกรงเล็บสองสามกรงตะปบไปที่กำแพงลำแสง กลับมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น!
วิหคมารสี่ตัวพลันดีใจ แต่ทันใดนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้าง
เพราะว่าด้านหลังม่านลำแสงไม่ได้เป็นเหมือนที่พวกมันบินเข้ามาเมื่อครู่ แต่กลับมีดอกบัวสีเขียวลอยอยู่เต็มไปหมด
ดอกบัวเหล่านี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือ แต่ก็ต้านทานอยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมด
วิหคมารทั้งสี่มองสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นอ้าปากออก พ่นลำแสงสีขาวนวลออกมา
เห็นเพียงหลังจากที่เสาลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ก็โจมตีไปที่ดอกบัวสีเขียวหลายดอก
แต่หลังจากที่เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ดอกบัวสีเขียวเหล่านั้นไม่เพียงไม่สลายหายไป กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จนมีขนาดเท่ากำปั้น
เมื่อเห็นฉากนี้ วิหคมารเหล่านั้นพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง
เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์เองก็ถูกกระตุ้นพลานุภาพด้วยการโจมตีนี้
ไม่ใช่แค่ตรงหน้า ส่วนอื่นๆ ของม่านลำแสงก็สลายหายไปเช่นกัน แล้วมีดอกบัวสีเขียวปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนดอกบัวเหล่านั้นแค่หมุนวน ก็มีลำแสงประหลาดไหลวนโคจรอยู่
วิหคมารทั้งสี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพเบื้องหน้ารางเลือน เหนือหัวเป็นสีดำสนิท ตัวอยู่ท่ามกลางป่าพฤกษาสีเขียวขนาดยักษ์
ต้นไม้ทุกต้นมีขนาดร้อยจั้งเศษ มองปราดเดียวล้วนมองไม่เห็นส่วนยอด ใบไม้หนาแน่นจนแทบจะปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า
คิดไม่ถึงว่าวิหคมารทั้งสี่จะอยู่ในส่วนที่ต่ำที่สุดของพฤกษายักษ์เหล่านั้น
ยามนี้วิหคมารพลันตกตะลึงไม่น้อย
ต้องเข้าใจว่าพวกมันเป็นวิหคเหาะเหิน สิ่งที่กลัวที่สุดจึงเป็นการที่อยู่ในป่า หรือตกลงไปในแม่น้ำ หากได้รับข้อจำกัดทางกายภาพ ต่อให้มีอิทธิฤทธิ์แค่ไหนก็ถูกตัดทอนให้อ่อนกำลังลงกว่าครึ่ง
ทันใดนั้นวิหคมารทั้งสี่ก็กางปีกทั้งสองออกในเวลาเดียวกัน
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีขาวสี่กลุ่มก็บินออกมาจากร่างของพวกมัน จากนั้นเสียง “ปังๆ” ก็ดังขึ้น ชั่วครู่ก็ระเบิดออก กลายเป็นผีเสื้อเพลิงสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือนับร้อยตัว บินไปหาพฤกษายักษ์รอบด้าน
เปลวเพลิงสีขาวเหล่านี้เป็นอิทธิฤทธิ์ของวิหคมารเหล่านี้ เดิมคิดว่าเป็นพฤกษายักษ์เหล่านี้จะถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยงในทันทีราวกับถูกเร่งให้แห้งเ**่ยวเฉาตาย
แต่เมื่อผีเสื้อเพลิงกระโจนมาหาต้นไม้สีเขียวเหล่านี้ แค่รางเลือนไปเล็กน้อย ทยอยกันทะลุผ่านไปราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ ไม่มีผลเลยสักนิด
“เคล็ดวิชาลวงตา!”
วิหคมารเหล่านี้เองก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับสูญสุญตาขั้นต้น แม้ว่าสติปัญญาจะเทียบกับตัวที่เป็นหัวหน้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อย ชั่วครู่ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
หนึ่งในนั้นพลันร้อนใจ กระโจนเข้าไปหาพฤกษายักษ์ต้นหนึ่งโดยไม่ปริปากใดๆ
ทว่าสิ่งที่เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์สร้างขึ้น จะเทียบกับเคล็ดวิชาลวงตาธรรมดาๆ ได้อย่างไร มันเป็นทั้งจริงและเท็จ เป็นของจริงในจินตนาการ และเป็นจินตนาการในความเป็นจริง
หลังจากเสียงดังสนั่นดังขึ้น เมื่อวิหคมารปะทะกับพฤกษายักษ์ต้นนั้น ก็ถูกดีดกลับมาจนหมุนติ้ว
วิหคยักษ์เหล่านั้นดูเหมือนแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ไหนเลยจะทำลายได้แม้แต่น้อย
ส่วนวิหคมารตัวนั้นแม้ว่ากายเนื้อจะนับว่าแข็งแกร่งมาก แต่หลังจากที่สะบัดหัวจนร่างกายกลับมามั่นคงแล้ว ก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองข้างมีดวงดาราสีทองหมุนวน
วิหคมารที่เหลืออีกสามตัวเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างไม่ได้
……
ด้านนอกเขตอาคม วิหคมารสีขาวหิมะตัวนั้นเห็นลูกสมุนทั้งสี่ของตนถูกม่านลำแสงขวางเอาไว้แล้วสลายหายไปในทันที แน่นอนว่าย่อมทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว!
มันเปล่งเสียงร้องอันดัง สยายปีกทั้งสองออก หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลำแสงสีขาวเป็นวงๆ ก็ทะลักออกมาจากร่างของมัน
จากนั้นขนสีขาวบนร่างก็กลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงในพริบตา
ไม่เหมือนกับวิหคมารสีดำขาวสี่ตัวนั้น เปลวเพลิงสีขาวเหล่านี้มีอักขระสีเงินแฝงอยู่ลางๆ อุณหภูมิของบรรยากาศโดยรอบเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า อุณหภูมิร้อนฉ่าแผ่ออกไปอย่างยากจะเชื่อ
เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ที่แต่เดิมอำพรางกายอยู่ ถูกบีบให้เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ปรากฏม่านลำแสงสีเขียวขจีขึ้นอีกครั้ง
“พี่หานโปรดระวัง! นั่นคือเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำ อย่าให้มันเข้าประชิดตัวเด็ดขาด วิหคมารตัวนี้อาจจะมีเลือดเนื้อของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อีกาทอง!” เซียนเซียนที่เดิมทีเผยสีหน้ายินดีออกมาพร้อมหานลี่กักวิหารทั้งสี่เอาไว้ได้ แต่เมื่อเห็นวิหคมารหัวหน้าสำแดงเพลิงสีขาวประหลาดๆ ออกมา พลันร้องเตือนด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีทันที
“เพลิงเที่ยงแท้อีกาทอง!” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจพลันรู้สึกยินดี
ยามนี้วิหคมารตรงข้ามพลันกลายเป็นวิหคเพลิงขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง กระโจนเข้ามาหาหานลี่อย่างดุดัน
ไม่ทันได้บินเข้ามา เพลิงคลื่นก็หมุนวน หานลี่รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบด้านเป็นจุดสีแดงๆ เปลวเพลิงขนาดเท่าเมล็ดถั่วจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ
โดยมีหานลี่เป็นศูนย์กลาง ราวกับในรัศมียี่สิบสามสิบจั้งถูกแผดเผา
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กลับทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออกพ่นออกมา
พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา แค่กะพริบวาบ ก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินความยาวสองสามฉื่อ
เมื่อวิหคเพลิงนี้ปรากฏตัวขึ้น ผิวก็มีเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับ ลูกไฟสีแดงที่เพิ่งปรากฏขึ้นก็บินไปหาวิหคตัวนั้นราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ทยอยกันจมหายไปในร่างของวิหคเพลิงแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
อุณหภูมิที่เดิมร้อนระอุ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นวิหคเพลิงสีเงินก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่ง ร่างกายพลิ้วไหว พุ่งเข้าไปหาเปลวเพลิงสีขาวที่หมุนวนของวิหคมารด้านตรงข้าม
แม้ว่าวิหคมารจะกลายเป็นร่างของวิหคเพลิงเช่นกัน แต่ขนาดก็แทบจะใหญ่กว่าวิหคเพลิงสีเงินเจ็ดแปดเท่า แต่วิหคเพลิงสีเงินก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด
วิหคมารเห็นวิหคเพลิงสีเงินปรากฏตัว ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งหวาดกลัว และตกตะลึงระคนดีใจ แต่สิ่งที่มากกว่าคือความละโมบที่ไม่อาจปิดบังได้เลยสักกระผีก
เห็นเปลวเพลิงสีเงินพุ่งเข้ามาหาตน ดวงตาทั้งสี่ของวิหคเพลิงตัวนี้ก็เปล่งประกาย ดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย แต่ครู่ต่อมาสายตาก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา ผิวของเปลวเพลิงขยายออกไปสองสามฉื่อ จากนั้นก็กระโจนไปหาวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลอีก
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ทั้งสองก็ปะทะเข้าด้วยกันทันที
ชั่วขณะนั้นเพลิงสีขาวเปลวสีเงินก็ตัดสลับกันไปมา วิหคเพลิงทั้งสองตัวกำลังต่อสู้กัน
ไม่ว่าเพลิงสีขาวหรือเปลวสีเงิน เมื่อทั้งสองสัมผัสก็ระเบิดเป็นเสียงดัง “เปรี้ยงๆ” ออกมา ราวกับวารีและเพลิงที่เข้ากันไม่ได้ระเบิดออกไม่หยุด
จากร่างกายอันกระจิดริดของวิหคเพลิงสีเงิน ปะทะกับร่างอันใหญ่โตของวิหคมาร คาดไม่ถึงว่าจะไม่ตกเป็นรอง
เมื่อเปลวเพลิงทั้งสองโรมรันกัน คาดไม่ถึงว่าจะกลืนกินกันและกันไม่หยุด
ชั่วครู่เปลวเพลิงสีเงินก็กลืนกินเพลิงสีขาวที่สัมผัสไม่หยุด ชั่วครู่เพลิงสีขาวก็ห่อหุ้มเปลวสีเงินเอาไว้ข้างในทั้งหมด
ทว่าหานลี่มองเพียงชั่วครู่ รูม่านตาก็หดเล็กลง
เขาดูออกแม้ว่าเพลิงกลืนวิญญาณจะมีพลานุภาพเหนืออีกฝ่ายขั้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะจำนวนที่น้อยเกินไป เกรงว่าหลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็จะถูกเปลวเพลิงของอีกฝ่ายกลืนกิน
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
เห็นเพียงเขาใช้สองมือร่ายอาคม นิ้วหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ
หลังจากเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เสาลำแสงสีเขียวบางๆ ก็พ่นออกมาจากนิ้วแต่ละนิ้ว แค่กะพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในร่างของวิหคเพลิงสีเงินที่กำลังสู้รบอยู่
เสาลำแสงเหล่านี้เข้มข้นดุจของเหลว เป็นสีเขียวมรกต ล้วนเป็นสิ่งที่หานลี่สร้างขึ้นจากปราณแท้บริสุทธิ์
เรื่องที่น่าตกตะลึงปรากฏขึ้นแล้ว
วิหคเพลิงสีเงินเริ่มขยายร่างใหญ่ขึ้น
สองฉื่อ สี่ฉื่อ ครึ่งจั้ง หนึ่งจั้ง…
แทบจะแค่ชั่วสองสามลมหายใจ วิหคเพลิงสีเงินก็มีขนาดสามสี่จั้ง ร่างกายใหญ่ยักษ์กว่าวิหคมารสองสามจั้ง
เช่นนั้นเปลวเพลิงสีขาวที่ถูกเปลวเพลิงสีเงินปกคลุมย้อนกลับ ก็ตกเป็นรองในพริบตา
เพลิงสีขาวถูกเปลวเพลิงสีเงินกลืนกินไปทีละนิดๆ
วิหคมารที่กลายเป็นวิหคเพลิงเห็นเช่นนั้น ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมา ดวงตาทั้งสี่เปล่งประกาย อ้าปากออกพ่นไข่มุกกลมสีขาวนวลออกมาเม็ดหนึ่ง
เป็นสีขาวบริสุทธิ์ เปล่งลำแสงสีขาวเจิดจ้าจนแสบตาออกมา
นั่นก็คือแกนมารที่วิหคมารฝึกฝนมาไม่รู้กี่ปี ยามนี้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ก็เลยพ่นออกมา
แกนมารมีขนาดแค่กำปั้น แต่หลังจากพ่นออกมาแล้ว ก็เปล่งลำแสงสีขาวออกมากลายเป็นเข็มบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วน และพลิ้วไหว แบ่งออกเป็นสองส่วนโดยอัตโนมัติ
ชั่วพริบตาส่วนหนึ่งก็พุ่งไปหาวิหคเพลิงกลืนวิญญาณ ชั่วครู่ก็ทะลวงผ่านของวิหคเพลิงสีเงินจนเป็นรูพรุน
อีกส่วนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาหานลี่ หลังจากกะพริบวาบก็พุ่งไปหาม่านลำแสงสีเขียว
และไม่รู้ว่าเข็มบางๆ เหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อชนิดใด คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงผ่านม่านลำแสงสีเขียวได้อย่างง่ายดาย แล้วกะพริบวาบอีกครั้ง มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหานลี่ พุ่งมาหาเขาราวกับห่าฝน
หานลี่เลิกคิ้วขึ้น ร่างกายไม่ไหวติง แต่โล่ผลึกวารีที่ปรากฏขึ้นตรงนั้นพลันพลิ้วไหวแล้วเปล่งลำแสงผลึกออกมา
เข็มบางๆ เหล่านั้นโจมตีเข้า ก็ทยอยกันสั่นเทาแล้วเปลี่ยนทิศทาง แฉลบผ่านทั้งสองฝั่งของโล่ไป พุ่งไปยังความว่างเปล่า
และแทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่ก็ตะปบมือข้างหนึ่งไปด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
เงาลวงตาของหัวกะโหลกสีขาวห้าหัวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ พ่นม่านลำแสงหลากสีสันห้าสีออกมา ผนึกรวมกันกลายเป็นเปลวเพลิงห้าสี กวาดเข็มบางๆ กลางอากาศเหล่านั้นเข้าไป
จากนั้นเปลวเพลิงพลันหมุนวน เข็มบางๆ เหล่านั้นหายวับไปจากกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
อีกด้านหนึ่งวิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลับถูกเข็มบางๆ สองสามร้อยเล่มปักเข้ามาอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดเช่นกัน
แม้ว่าร่างของมันจะมีเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม แต่แน่นอนว่าย่อมไม่อาจไร้การบาดเจ็บใดๆ เลยได้ อานุภาพย่อมลดลงเป็นอย่างมาก
เพลิงเที่ยงแท้อีกาเพลิงของวิหคมารยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเปลวเพลิงสีเงินอีกครั้ง
หานลี่เห็นฉากนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ร่างกายหมุนวนพุ่งไปบนพื้นดิน
ชั่วพริบตาลำแสงห้าสีก็เปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นเสียงเพรียกของหงส์ก็ดังก้องกังวาน หงส์ห้าสีขนาดสองจั้งพลันปรากฏขึ้นตรงที่หานลี่ยืนอยู่
หงส์ตัวนี้วาดปีกข้างหนึ่งไปเบื้องหน้า เส้นสีขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเส้นนั้นก็บิดเบี้ยวกลางอากาศ กลับมีรอยแยกสีขาวโพลนสายหนึ่งปรากฏออกมา
หงส์หลากสีสยายปีกทั้งสองออก ร่างกายจมหายไปในนั้นครึ่งหนึ่ง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
และแทบจะในเวลาเดียวกัน วิหคมารและวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่กำลังสั่นเทาอยู่กลางอากาศ ก็ปรากฏขึ้นบนเส้นสีขาวสายนั้นเช่นกัน
เส้นนั้นขยายออกอย่างเงียบเชียบ กายท่อนบนของหงส์หลากสียื่นออกมา