A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1638 ค้นพบ
“ตกรางวัลอย่างหนัก?” หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“อันใดสหายไม่เชื่อคำพูดของผู้แซ่กุยหรือ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ข้าน้อยไม่ใช่ว่าจะไม่อาจจ่ายได้” บุรุษแซ่กุยเบะปากขณะเอ่ย
“พี่หาน เกราะมารเหนือฟ้าชิ้นนี้มีเพียงข้าที่เคยศึกษาถึงจะฝึกฝนได้ ขอแค่เจ้ากับข้าร่วมมือกัน น้องหญิงไม่เพียงกลับไปซ่อมแซมเกราะมารตัวนี้ และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้สองสามร้อยปี ก็ยังคงพาสหายไปมาตามหาต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้แล้วแบ่งให้สหายได้” เซียนเซียนเผยสีหน้าราบเรียบออกมา ดูเหมือนว่าจะมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าหานลี่จะช่วยนาง
ผลคือเหมือนกับที่สตรีผู้นี้คาดเดาเอาไว้ หานลี่แค่ครุ่นคิดไปเล็กน้อย ก็สั่นศีรษะให้กับบุรุษแซ่กุย
“ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ผู้แซ่หานไม่อาจไม่ยุ่งได้ หากสหายรู้จักวางตัวละก็ ก็ไปเสียเถิด”
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ บุรุษแซ่กุยพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยว ใบหน้าเผยสีหน้าโหดเ**้ยมออกมา กลิ่นอายโลหิตที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างฉุนกึกขึ้นมาหลายส่วน
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ในร่างมีเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง ประจุไฟฟ้าสีทองเป็นสายๆ ปรากฏออกมา ในเวลาเดียวกันเทวรูปสีทองอ่อนสามหัวหกแขนก็ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขารางๆ
ส่วนใต้ฝ่าเท้านั้นพลันมีกระบี่บินสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมา ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงเจิดจ้า ดอกบัวสีเขียวผลิกลีบออกมาอย่างแช่มช้า
ส่วนหานลี่นั้นพลันเอาสองมือไพล่หลัง มองบุรุษแซ่กุยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เซียนเซียนเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าพลันฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน
แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แค่พลิกฝ่ามือทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งมียันต์วิเศษสีเขียวปรากฏออกมาแผ่นหนึ่ง ผิวของมันสลักลวดลายกิเลนสีเขียวตัวหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งมีลำแสงสว่างวาบ ธงสีดำปรากฏออกมา
ผิวของทั้งสองล้วนมีอักขระอยู่เต็มไปหมด แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา
หญิงสาวผู้นี้แค่โบกสะบัดสิ่งของทั้งสอง พายุสีดำลูกหนึ่งและเงาลวงตากิเลนสีเขียวก็ปรากฏขึ้น จากนั้นพลันพลิ้วไหว แล้วผสมรวมกันภายในพริบตา
เงาลวงตากิเลนอาศัยพลังวายุขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมาไม่หยุด และมองศัตรูที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าถมึงทึง
แม้ว่าบุรุษแซ่กุยจะมีท่าทางดุร้าย ตอนนี้มองเห็นหานลี่และพวกทั้งสองร่วมมือกัน สีหน้าพลันเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
สำหรับเขาแล้วพลังของหญิงสาวเผ่าผลึกนั้นเขาไม่สนใจ แต่เรื่องที่หานลี่จัดการรังวิญญาณเพียงลำพังเมื่อครู่ กลับทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย
เขารู้ตัวเองว่าหากปะทะกันหนึ่งต่อหนึ่งกับรังวิญญาณ ก็มีโอกาสชนะแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังถูกร่างแยกของราชามารเหนือฟ้าสิงสู่อยู่
“เยี่ยม เยี่ยมมาก วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล หวังว่าวันข้างหน้าที่จะได้พบกันอีกสหายทั้งสองยังคงปลอดภัยเช่นวันนี้” หลังจากที่แววตาโหดเ**้ยมเปล่งประกายสองสามครั้ง บุรุษแซ่กุยก็เอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
จากนั้นเมื่อสิ้นเสียง เขาพลันสะบัดแขนเสื้อไอสีเทาพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นพลันมีรถวายุประหลาดทรงกรวยแหลมสีแดงโลหิตคันหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ
ร่างของบุรุษแซ่กุยพลันพลิ้วไหว แล้วจมหายเข้าไปในรถ จากนั้นเสียงหวีดร้องก็ดังขึ้น รถวายุกลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่ง พุ่งไปยังขอบฟ้า
หลังจากกะพริบวาบสองสามรอบ ในที่สุดก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คนผู้นี้กลับเด็ดขาดมาก เมื่อเห็นว่าโอกาสชนะมีไม่มาก ก็หนีไปอย่างไม่ลังเลในทันที
หญิงสาวเผ่าผลึกมีสีหน้าผ่อนคลายลง สองมือพลันร่ายอาคม เงาลวงตากิเลนกลางอากาศสลายหายไป ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นยันต์วิเศษและธงเล็กๆ ด้ามหนึ่งอีกครั้งแล้วพลันร่อนลงมาด้านล่าง และถูกเก็บกลับไป
จากนั้นสตรีผู้นี้ถึงได้หันกายมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก แล้วคารวะพร้อมกับเอ่ยกับหานลี่ด้วยท่าทีอ่อนช้อย
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่หานที่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์นั่นตกใจจนล่าถอยไป มิเช่นนั้นจะได้หนีออกจากที่นี่อย่างเป็นๆ หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก “
“หึ เจ้าวางใจข้ามากเกินไป ไม่กลัวว่าข้าจะไม่พอใจเจ้า แล้วจัดการเจ้า แล้วใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณเพื่อเอาเคล็ดวิชาซ่อมแซมเกราะมารหรือ?” หานลี่เหลือบตามองสตรีผู้นั้นแวบหนึ่ง พลางแค่นเสียงหึขณะเอ่ย
“แม้ว่าน้องหญิงและพี่หานจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็มั่นใจว่ามองออกว่าสหายไม่ใช่ผู้ที่ไร้เมตตา และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าพลังยุทธ์ของน้องหญิงจะไม่สูงนัก แต่ก็รู้จักเคล็ดวิชาลับอย่างการค้นจิตวิญญาณอยู่บ้าง ต่อให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ก็ไม่อาจปล่อยให้ใครได้ข่าวสำคัญไปง่ายๆ” เซียนเซียนไม่สนใจคำพูดของหานลี่เลยสักนิด กลับหัวเราะอย่างเบิกบาน
หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับอดที่จะรู้สึกหมดคำพูดไม่ได้
เป้าหมายของการเดินทางของเขาในครั้งนี้คือการซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้า ไม่ต้องการมีปัญหาอะไรเพิ่มอีก
ส่วนสิ่งของเหนือชั้นอย่างต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ยามนี้ก็ไม่มีโอกาสได้มันมาอีก แน่นอนว่าจึงต้องรอกลับไปถามให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยขบคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นราชามารเหนือฟ้าและการกลายพันธุ์ของอสูรวิญญาณครวญก็ทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ หลังจากกลับไปต้องศึกษาอย่างละเอียดเช่นกัน
“วัตถุดิบของวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น ข้าจะเอาทั้งหมด” หานลี่ครุ่นคิดรอบหนึ่ง ถึงได้ใช้น้ำเสียงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เอ่ยออกมา
“ไม่มีปัญหา เมื่อกลับไปแล้วนอกจากน้องหญิงจะซ่อมแซมเกราะมารแทนพี่หาน ยังจะส่งของขวัญเช่นเดียวกันให้อีกด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเป็นครั้งสุดท้าย” สตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นี้เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก ไม่เพียงจะตอบรับยังเอ่ยสิ่งตอบแทนออกมาเองอีกด้วย
หานลี่เห็นอีกฝ่ายรู้จักวางตัวเช่นนี้ พลันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“พี่หานการต่อสู้เมื่อครู่ เกรงว่าจะรบกวนมารอสูรอยู่ไม่น้อย พวกเราเองก็รีบไปกันเถิด จะได้ไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มอีก” สายตาของเซียนเซียนกวาดไปบนโครงกระดูกที่ไม่สมบูรณ์บนพื้น แววตาฉายแววกลัดกลุ้ม แล้วใช้น้ำเสียงสอบสวนเอ่ยถาม
“อืม เหตุการณ์เมื่อครู่มันยิ่งใหญ่ไปหน่อยจริงๆ พวกเราไปกันเถิด” หานลี่กวาดตามองรอบๆ แล้วเอ่ยเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หญิงสาวเผ่าผลึกเผยสีหน้ายินดีออกมา
ทันใดนั้นทั้งสองก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีขาวเขียวสองสาย พุ่งไปยังด้านนอกเทือกเขา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ที่นี่ก็เงียบสงัด ไม่มีเงาร่างผู้ใดอีก
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หานลี่และพวกทั้งสองก็บินออกมานอกเทือกเขา ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง ปรากฏตัวอีกครั้งตรงเทือกเขาที่แยกกับเย่ว์จง
เซียนเซียน ชูมือข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่ปริปาก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกไป หลังจากหมุนวนอยู่รอบๆ สองสามรอบ กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินกลับมาที่แขนเสื้อ
หญิงสาวผู้นี้หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วถึงได้หันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่
“ไม่ผิดดังที่คาด เกรงว่าสหายเย่ว์จะเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว หากผู้ที่ลงมือไม่ใช่ผู้แซ่กุยก็เป็นมารอสูรระดับสูงที่ถูกรังวิญญาณสังหารตัวนั้น หากรู้เช่นนี้ละก็คงไม่สู้ให้สหายเย่ว์เข้าไปในเทือกเขากับพวกเราจะดีกว่า ครานี้ระหว่างทางกลับของพวกเราอาจจะพบกับอันตรายเข้าแล้ว”
“สหายเย่ว์เพลี่ยงพล้ำเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ ทว่าต่อให้เข้าในนั้นกับพวกเรา ก็ไม่อาจเข้าไปในทางเดินไอมารได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเพลี่ยงพล้ำได้ ส่วนทางกลับนั้นพวกเราก็กลับไปทางเดิมเถิด ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็มารอบหนึ่งแล้ว นับว่าพอเชื่อถือได้” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้ รอช้ามิได้แล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด” หญิงสาวเผ่าผลึกถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย
หานลี่พลันพยักหน้า
ทั้งสองกลายเป็นลำแสงหลีกหนีแล้วบินกลับไปทางเดิม
แน่นอนว่าหานลี่และพวกทั้งสองย่อมไม่รู้ว่าห่างจากพวกเขาไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ มีมารอสูรแปลงกายนับร้อยนับพันตัวกำลังพุ่งมาทางหานลี่พร้อมกัน
และผู้นำทัพก็คือมารหลายตาระดับศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นและผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ มารเขายักษ์สีดำสนิทคู่นั้น ซึ่งมียามว่ามารอสูรร่างมนุษย์อู่ลี่
เขาสวมชุดเกราะสีดำ ใบหน้าดูเหมือนโหดเ**้ยมแต่กลับเคร่งขรึม และบางครั้งก็กวาดสายตาไปที่ไข่มุกสีแดงโลหิตที่กำแน่นอยู่ในมือ
ไข่มุกผิวเรียบที่ที่แต่เดิมควรแวววาว ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีรอยแตกตรงใจกลาง และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงยังมีท่าทางจะสลายไปจนหมดแล้ว
หลังจากได้ข่าวขอความช่วยเหลือจากจิ่วเยี่ย มารหลายตาระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นก็ไม่อาจแยกตัวได้ แต่เพราะกลัวว่าหานลี่และพวกจะหนีไปจริงๆ จึงส่งเขาไปในทันที และรวบรวมมารอสูรระดับสูงในบริเวณรอบตรงไปยังสัญญาณที่จิ่วเยี่ยทิ้งไว้
แต่เขาเพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน สมบัติของสหายร่วมเผ่าพันธุ์ที่เดิมใช้แสดงตำแหน่งก็แตกออกเป็นสองส่วน
นี่จึงทำให้มารอสูรตัวนั้นตกตะลึง
เรื่องที่เกิดเช่นนี้ได้แน่นอนว่าแปดเก้าส่วนก็เป็นเพราะสหายร่วมวิถีที่ไล่ตามไปเพลี่ยงพล้ำแล้ว
เช่นนั้นละก็ จะสกัดอีกฝ่ายได้หรือไม่ เขาก็ไม่มั่นใจจริงๆ
แต่เมื่อนึกถึงแววตาเย็นเยียบก่อนออกเดินทาง ‘เจ้านาย’ ของตนเองผู้นั้น
ก็ยิ่งทำให้ ‘อู่เยี่ย’ สั่นสะท้านตามสัญชาตญาณ
เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย หากตอนนี้ตนเองอาศัยข้อแก้ตัวนี้กลับไปอยู่ข้างกายเขา จะต้องถูกฉีกออกเป็นสองส่วนทันที
เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้มารอสูรตัวนี้ก็ร้อนใจ ชั่วขณะนั้นปากพลันเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา เร่งความเร็วของมารอสูรด้านหลัง
ชั่วขณะนั้นเสียงวายุมารพลันดังสนั่น มารอสูรทั้งหมดพลันหมุนวน ความเร็วเพิ่มขึ้นสองส่วน
……
เหนือยอดเขาที่ดูเหมือนธรรมดาตรงชายแดนของเทือกเขามารสีทอง มีคนสี่คนกำลังยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ด้านหนึ่งเป็นชายชราผมสีดอกเลาและหญิงสาวสวมชุดชาววัง อีกด้านหนึ่งคือชนต่างเผ่าหน้าเหลี่ยมเรือนผมสีเขียวมรกต รวมทั้งชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมที่ดูห้าวหาญ
ทั้งสี่คนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองอีกฝ่าย
“ที่นายท่านมาก็เพราะอยากไล่พวกเราสองคนสินะ ไม่คิดว่ามันบ้าเกินไปหรือ?” ชายชราก็คือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เหยียนในหอเมฆาอัสนีวันนั้น เอ่ยปากด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หึ ข้าสนใจที่นี่ ต้องเข้าไปตรวจสอบ ไม่อยากให้ใครมารอผลพลอยได้อยู่ใต้ต้นไม้” ชายผมสีเขียวย่อมเป็นชนต่างเผ่าระดับหลอมสุญตาที่เสียเปรียบให้หานลี่ ยามนี้พลันเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“พวกเจ้าเองรังแกกันเกินไปแล้ว พวกเราหาที่นี่เจอก่อน มีสิทธิ์อะไรต้องยอมให้พวกเจ้า” หญิงสาวชุดชาววังได้ยิน พลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“มีสิทธิ์อะไร? พวกเราที่อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าผู้ใดกำปั้นใหญ่ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้กำหนดเหตุผล หากเจ้าไม่ถอยก็ได้ เช่นนั้นก็ให้ข้าประลองกับพวกเจ้าสักหน่อย หากเอาชนะข้าได้ หุบเขาแห่งนี้ย่อมเป็นของพวกเจ้า มิเช่นนั้นละก็ ก็รีบไปให้ไกลจากข้า” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีจิตสังหารฉายแวบผ่าน พลางเอ่ยอย่างโหดเ**้ยม
คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรตั้งแต่คำแรก ท่าทางหมายจะลงมือ
“เหตุใดนายท่านต้องรีบร้อนลงมือด้วย คนตรงๆ ไม่พูดจาลับหลัง สหายร้อนใจรีบไล่เราสองคนเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะจานอาคมในมือมีปฏิกิริยาต่อหุบเขาแห่งนี้ แต่จานอาคมมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้างในจะมีเห็ดเซียนซ่อนอยู่ เรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ ก็เหมือนกับวันก่อน สหายน่าจะเคยมีประสบการณ์มาแล้วลายครั้ง เช่นนั้นละก็ไม่สู้เข้าไปค้นหาด้วยกันสักรอบ หลังจากมั่นใจแล้วพวกเราค่อยตัดสินกันเป็นอย่างไร มิเช่นนั้นผู้แซ่เหยียนก็ไม่มีทางจากไปเช่นนี้แน่ คงทำได้เพียงต้องประลองกับนายท่านสักตั้ง” ชายชราแซ่เหยียนกลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ