A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1649 สามมาร
กระบี่ลำแสงห้าสีพลันเคลื่อนไหว ร่อนลงมาด้านล่างอย่างแช่มช้า
คางคกยักษ์ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” ออกมาในใจ เสาเพลิงวายุสีดำแดงข้างกายเปล่งเสียง “ตูม” ออกมา ชิงม้วนวนไปก่อนล่วงหน้า
ทุกแห่งที่พลังของเพลิงวายุกวาดผ่านไป อากาศพลันบิดเบี้ยว เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ราวกับแม้แต่อากาศก็ฉีกขาด แค่กะพริบวาบ ก็ม้วนกระบี่ลำแสงห้าสีเข้าไป
ลำแสงสีม่วงกะพริบอย่างบ้าคลั่ง ด้านในมีเสียงอึกทึกดังมา แม้แต่เขตอาคมกระบี่ที่กลายเป็นม่านลำแสงก็ยังสั่นเทาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าจะปริแตกได้ตลอดเวลา
คางคกยักษ์มีสีหน้าผ่อนคลายลง อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
ในสายตาของเขานี่แทบจะขุดค้นศักยภาพทั้งหมดของสิ่งที่สิงร่างคางคกยักษ์ และอาศัยอานุภาพของไข่มุกตรงหว่างคิ้ว สำแดงอิทธิฤทธิ์ผสมกัน ไม่ใช่สิ่งที่เขตอาคมกระบี่ตรงหน้าจะต้านทานได้
ต่อให้มันสามารถรับมือกับกระบวนท่านี้ได้ กว่าครึ่งก็คงหลบหลีกลำแสงเฉียบแหลมได้แค่ชั่วคราว
ทว่าใบหน้าของคางคกยักษ์พลันเผยรอยยิ้มออกมา พลังเพลิงวายุเปล่งเสียงเพรียกราวกับมังกรคำรามออกมา จากนั้นเสาเพลิงสีดำแดงก็แยกออก
ภายใต้ลำแสงห้าสีที่กะพริบวาบๆ ด้านในพลันมีกระบี่ยักษ์ยาวสองสามจั้งปรากฏออกมา
ลำแสงเจิดจ้าเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ยักษ์พลันสั่นเทา เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา
พลังเพลิงวายุรอบๆ ราวกับพบพลังที่น่าเหลือเชื่อ คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงหึ่งๆ ประหลาดๆ ออกมาแล้วสลายออกทั่วทุกสารทิศ เผยกระบี่ยักษ์ออกมา
ยามนี้กระบี่ยักษ์ห้าสีกลับหมุนคว้างไปมา สับไปทางคางคกยักษ์เบาๆ
ช่างเงียบเชียบ ดูเหมือนไม่มีอานุภาพเลยสักนิด!
แต่ไข่มุกสีเทาตรงหว่างคิ้วของคางคกยักษ์กลับเปล่งเสียงปังออกมา ฉับพลันนั้นพลันปริแตก
“เป็นไปไม่ได้!”
คางคกยักษ์เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา ดวงตาที่ปิดอยู่ทั้งสองข้างพลันลืมตาขึ้น
ดวงตาเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต มีโลหิตไหลออกมาจางๆ
แต่ครู่ต่อมาหัวของมารตนนี้รวมทั้งร่างกายอันใหญ่โตก็แยกออกเป็นสองส่วนอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
เปลวเพลิงสีแดงสดกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากร่างที่ถูกผ่าออก กลายเป็นทะเลเพลิงสีแดงสด
ส่วนซากศพของคางคกยักษ์ก็ดูราวกับเป็นผุกร่อนอย่างไรอย่างนั้น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นฝุ่นควันสีเทาขาวสองกลุ่มท่ามกลางเปลวเพลิง แล้วสลายหายไปจากฟ้าดิน
คางคกยักษ์ที่ถูกสิงร่าง ไม่อาจต้านทานการสับลงมาของไอวิญญาณดั้งเดิมได้ แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจหนีไปได้
บนท้องฟ้ามีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นในเขตอาคมกระบี่ มองไปยังเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ด้านล่าง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“อาศัยพลังของฟ้าดิน ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชาลับธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้ ตอนแรกที่เผชิญหน้ากับวานรมารนั้น หากไม่ใช่เพราะอยู่ในทางเดินไอมาร ก็ไม่อาจรวบรวมพลังปราณฟ้าดินได้มากพอ มิเช่นนั้นใช้กระบี่ไอดั้งเดิมนี้ ก็น่าจะสังหารมารตัวนั้นได้ และไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬ ทำให้เทวรูปต้องเสียหาย”
หานลี่เอ่ยพึมพำกับตนเองเสร็จ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าเสียดายออกมา แต่แววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองไปยังทะเลเพลิงอย่างละเอียดแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เลิกคิ้วตะปบมือข้างหนึ่งออกไป
เสียง “สวบ” ดังขึ้น สิ่งหนึ่งบินออกมาจากทะเลเพลิง แค่กะพริบวาบๆ ก็ถูกดูดเข้าไปในมือของเขา
กลับเป็นถุงสีฟ้าอ่อนใบหนึ่ง ผิวของมันมีอักขระที่แตกต่างกันสองสามชนิดสลักอยู่ เปล่งแสงเรืองๆ ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา
“ถุงจัดเก็บ?” หานลี่เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา และรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ฝ่ามือที่คว้าถุงเอาไว้พลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ในเวลาเดียวกันก็พ่นหมอกสีเทาออกมาจากฝ่ามือ ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มถุงเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นพลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น อาคมสีเขียวสายหนึ่งบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในถุง
ชั่วขณะนั้นถุงสีฟ้าพลันพลิ้วไหวอย่างหนัก ปากถุงมีลำแสงสว่างวาบ แล้วเปิดออกอย่างช้าๆ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น
ลำแสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่งบินออกมาจากด้านใน เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วพุ่งแหวกอากาศหนีไป
แต่หานลี่ที่เตรียมการป้องกันเอาไว้ตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้มันหนีไปได้
แค่เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา หมอกลำแสงสีเทาก็ขยายออกแล้วม้วนวนไป ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มลำแสงสีฟ้านั้นเอาไว้
หมอกสีเทาลำแสงสีฟ้าตัดสลับกันไป ชั่วขณะนั้นลำแสงก็คืนร่างเดิม
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกสีฟ้าแวววาวเม็ดหนึ่ง
ขนาดเท่าหัวแม่มือ ผิวของมันมีลำแสงประหลาดลอยวนเวียนอยู่ ราวกับเคลือบมันวาว
“นี่คือ…” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไป แล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
“แก่นภายใน? ไม่สิ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ยุทธภัณฑ์!”
หานลี่ยกมือขึ้นสูดไข่มุกกลมเข้ามา ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้ วางอยู่ในระดับสายตารอบหนึ่ง แต่กลับไม่อาจยืนยันประวัติความเป็นมาได้
“ช่างเถิด จากนี้ค่อยคิดอีกที ตอนนี้รีบไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หานลี่ครุ่นคิดไปเล็กน้อย มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ หยิบกล่องหยกออกมา วางไข่มุกไว้ด้านใน
จากนั้นเขาพลันมองไปยังเปลวเพลิงสีแดงสดด้านล่าง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี
และไม่เห็นว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ
ม่านลำแสงสีเขียวกลางอากาศพลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ วิหคเพลิงกลืนวิญญาณกระโจนออกมา ทะลวงเข้าไปทะเลเพลิง
เปลวเพลิงพลันลุกไหม้ ชั่วพริบตาก็ถูกวิหคเพลิงกลืนวิญญาณกลืนเข้าไปข้างใน
จากนั้นมันพลันชูคอกู่ร้องด้วยความยินดี ปีกทั้งสองสยายออก พุ่งมาทางหานลี่ แล้วจมหายเข้าไปในร่าง
ส่วนหานลี่พลันใช้สองมือร่ายอาคม ม่านลำแสงสีเขียวทั่วท้องฟ้าหม่นแสง เผยดอกบัวสีเขียวเต็มท้องฟ้าออกมา
ดอกบัวสีเขียวเหล่านี้หมุนติ้วๆ กลายเป็นกระบี่สีเขียวเจ็ดสิบสองเล่ม
ร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง เริงระบำไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นกระบี่บินทั้งหมดพลันถูกดูดไปจนเกลี้ยง
จากนั้นลำแสงหลีกหนีพลันพุ่งหนีไปยังขอบฟ้าไม่หยุด แค่กะพริบวาบๆ ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลาเดียวกันที่หานลี่สังหารคางคกยักษ์นั้น ในวิหารสูงตระหง่านในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทองแห่งหนึ่ง บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งและผู้ที่อยู่เคียงไหล่อีกสองคนกำลังยืนมองประตูสีดำสนิทบานหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปเขม็ง ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้
“อันใด พี่เหล็กมีอะไรหรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางประหลาดของบุรุษ ก็เอ่ยปากซักถาม
“ไม่มีอะไร ร่างแยกของข้าถูกทำลายแล้ว” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ร่างแยก? ที่พี่เหล็กใช้ไข่มุกกระดูกมารผสานอินทรีย์แยกนั้นน่ะหรือ?” ชายชราอีกคนหนึ่งที่มีลำแสงสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับรอบกาย ใบหน้าดุจนักปราชญ์เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“หึๆ พี่หลายตารู้จักอิทธิฤทธิ์ของผู้แซ่เหล็กมากเกินไปแล้ว” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกชะตาชายชรานัก พลางหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“หากร่างแยกไข่มุกกระดูกมารสิงอยู่ในลูกน้องที่เหมาะสม ก็น่าจะสำแดงพลังออกมาได้ไม่น้อยกว่าสองส่วนสินะ จากพละกำลังนี้ในเทือกเขามารสีทองแล้ว นอกจากพวกเราสามคน ก็น่าจะไม่มีผู้ใดทำลายร่างแยกได้” ชายชราสวมชุดสีเงินกลับเอ่ยซักถามต่ออย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“นั่นก็ไม่แน่ พี่หลายตาลืมไปแล้วหรือ ตอนนั้นนอกจากพวกเราที่ติดตามบรรพบุรุษมาถึงแดนวิญญาณ ยังมีเจ้ามารวานรตัวนั้นที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันกับเรา อิทธิฤทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าพวกเราสามคนเลย” ชายสวมชุดสีโลหิตกลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาขณะเอ่ย
“หึ คาดไม่ถึงว่าวานรมารตัวนั้นจะกล้าขโมยสมบัติสวรรค์ทมิฬที่ท่านบรรพบุรุษมอบให้พวกเราสามคนปกป้องไป เขาจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีกได้อย่างไร” ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“นั่นก็ไม่แน่ ข้าเดาว่าสาเหตุที่มันทำเช่นนี้ กว่าครึ่งคงอยากออกไปค้นหาวิธีซ่อมแซมสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดภายนอก จากนั้นก็อาศัยสมบัติชิ้นนี้กลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ซ่อมแซมสมบัติสวรรค์ทมิฬ! มันคิดว่าที่นี่ยังเป็นแดนมารโบราณของพวกเราหรือ? ผู้ที่มีความสามารถในแดนนี้ กำลังไม่ได้ต่างอะไรกับระดับศักดิ์สิทธิ์หรือระดับบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเลย หากไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกบีบจนไร้หนทาง นายท่านบรรพบุรุษก็คงไม่พยายามทลายสมบัติสวรรค์ทมิฬ ถึงจะทำลายเขตแดนส่งพวกเรามาที่นี่” ชายชราชุดสีเงินเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายวาวโรจน์
“อย่าเดาซี้ซั้ว! ผู้ที่ทำลายร่างแยกคือใคร รอข้ากลับไปใช้เคล็ดวิชาลับตรวจ ก็รู้ได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ข่าวคราวสุดท้ายที่ร่างแยกของข้าส่งมา ดูเหมือนว่าจะบุตรสาวอันเป็นที่รักของพี่เซี่ยปี้ก็อยู่แถวนั้น” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เสี่ยอิง! พี่เหล็กคงไม่ได้อยากกล่าวว่า ร่างแยกของเจ้าถูกทำลายด้วยน้ำมือของสาวน้อยหรอกกระมัง” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตหัวเราะร่า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้อมยิ้ม
“หากมีบุตรสาวเพียงคนเดียวย่อมทำไม่ได้ แต่หากมีมารจระเข้ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วยอีกตน ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวมองชายชุดคลุมสีโลหิตเขม็ง แล้วเอ่ยออกมาทีละคำๆ
“อะไรนะ เพิ่งพัฒนาขั้นมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์?”
“เจ้าหมายถึงมารจระเข้ตัวนั้น?”
ครั้งนี้ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตและชายชราชุดคลุมสีเงินพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง“สหายทั้งสองไม่ต้องตกตะลึง คิดดูแล้วอีกไม่นาน ลูกสมุนของพวกเจ้าก็คงมารายงานเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนสหายมารจระเข้ตัวนั้น จะเป็นตัวไหนได้ แน่นอนว่าต้องเป็นจระเข้ทมิฬ” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ที่แท้ก็มันนี่เอง ก็น่าจะเป็นมันถึงจะถูก!” เมื่อได้ยินฐานะของมารจระเข้ ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“หากเป็นเจ้านั้นก็ยุ่งยากแล้ว มันเป็นพาหนะของบรรพบุรุษยมโลกตาข่าย ตอนนั้นบรรพบุรุษของพวกเรามีความสัมพันธ์อันดีกับบรรพบุรุษยมโลกตาข่าย ตอนนี้แม้ว่าจะพาพวกเราออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่พวกเราก็ไม่สะดวกที่จะลงมือกับจระเข้ตัวนั้น แต่ตอนั้นเจ้านั้นก็ไม่เคารพอยู่ในกรอบของพวกเรา ตอนนี้บรรลุระดับขั้นแล้ว เกรงว่าคงไม่มีความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลเทือกเขาของพวกเรา” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก ในเมื่อมารจระเข้บรรลุระดับขั้นแล้ว นายท่านบรรพบุรุษก็ไม่อาจไม่สนใจมันต่อไปอีกได้ ถึงยามนั้นก็มอบให้นายท่านบรรพบุรุษเป็นคนชี้นำ พวกเราไม่จำเป็นต้องวุ่นวายอะไร” ผู้สวมชุดคลุมสีเขียวกลับเอ่ยอย่างมีแผนการอยู่แล้ว
“มีเหตุผล นายท่านบรรพบุรุษใกล้จะตื่นแล้ว ก็ควรจะฟังคำสั่งของเขา” ชายชราชุดสีเงินลูบเคราใต้คางไปมาแล้ว แล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม ว่าตามสหายทั้งสอง” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตครุ่นคิด แล้วไม่ได้ปฏิเสธ
“แต่ข้าน้อยกลับอยากรู้มาก ท่านบรรพบุรุษใกล้จะตื่นแล้ว เจ้าสองคนคนหนึ่งกลับส่งร่างแยกออกไป คนหนึ่งส่งบุตรสาวอันเป็นที่รักไป ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรที่ภายนอก สหายทั้งสองคิดจะทำอย่างไร” ชายชราสวมชุดสีเงินกลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยถามขึ้น
เมื่อได้ฟังชายชราชุดสีเงินเอ่ยถามเช่นนี้ บุรุษสวมชุดสีเขียวและชายสวมชุดคลุมสีโลหิตพลันตกตะลึง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
แต่ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตพลันกลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็หัวเราะต่ำๆ แล้วถามย้อนกลับว่า
“หลายตา เหตุใดเจ้าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องด้วย! ลูกสมุนของเจ้าเองก็ออกไปจากที่พัก กำลังเคลื่อนไหวอยู่มิใชหรือ อย่าบอกนะว่า เจ้าไม่รู้เรื่องเห็ดเซียน?”
บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ด้านข้างไม่ปริปากใดๆ
“เห็ดเซียน เห็ดเซียนอะไร? ตาเฒ่าออกคำสั่งให้ลูกสมุนเคลื่อนไหว แค่อยากจับคนภายนอกที่สังหารบุตรชายของเข้าเท่านั้น จะได้แก้แค้นแทนให้” ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินพลันตกตะลึง อดที่จะตกตะลึงไม่ได้