A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1651 มีดสมประสงค์สวรรค์ทมิฬ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1651 มีดสมประสงค์สวรรค์ทมิฬ
มารทั้งสามได้ยินคำพูดที่มั่นอกมั่นใจของหญิงสาว ก็ไม่กล้าชักจูงอะไรอีก ทำได้เพียงขอให้หญิงสาวไตร่ตรองดูอีกครั้ง
“ไม่มีวิธีที่ดีแล้ว หากไม่ออกไป อาการบาดเจ็บของข้าก็จะไม่สามารถรักษาได้ หากศัตรูสองสามคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ไล่ตามมา ก็จะไม่มีพลังต้านทาน และยิ่งไปกว่านั้นข้าให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ก็เพราะมีอีกเรื่องให้จัดการ ไม่ได้ผ่อนคลายเท่าใดนักเช่นกัน” หญิงสาวสั่นศีรษะ เผยเจตนาว่าตัดสินใจไปแล้วออกมา
“นายท่านบรรพบุรุษมีรับสั่งได้ ก็บอกมาเถิด” มารหลายตาซักถามอย่างร้อนรนและรอบคอบ
มารที่เหลือสองตนก็มีสีหน้าใจหายวาบ
“ในยามที่คราหลับใหล ทางเดินตรงเขตแดนศักดิ์สิทธิ์เคยเปิดขึ้นอีกหรือไม่?” หญิงสาวพลันเอ่ยถาม
“ที่ผ่านมาล้วนไม่มีอะไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีระลอกคลื่นส่งมาจากทางนั้น แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่ดูเหมือนว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง” มารหลายตาตอบอย่างซื่อสัตย์
มารปีกเหล็กและแขนโลหิตได้ยินพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม
“อืม นับวันดูแล้ว พวกเขาก็น่าจะฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว ก็ควรจะเคลื่อนไหวแล้ว ข้าจะให้พวกเจ้าวางเขตอาคมขนาดยักษ์ ที่สามารถเพิ่มพลังเขตกั้นแดนตรงทางเดินได้หลายเท่าเป็นการชั่วคราว เช่นกันละก็ต่อให้ทางนั้นมีคนคิดจะเปิดทางเดิน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเขตอาคมนี้ต้องสิ้นเปลืองพลังมหาศาล จำต้องให้พวกเจ้าทั้งสามคนผลัดเปลี่ยนกันคุมงานถึงจะสำเร็จได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าก็ดูแลเรื่องนี้เถิด” หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอรับ รับคำบัญชาบรรพบุรุษ!” มารทั้งสามได้ยินพลันรู้สึกดีใจ เอ่ยรับคำสั่งพร้อมกัน
“ใช่แล้ว ตอนที่ข้าหลับสนิทนั้น ยังมีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้นอีกไหม รายงานข้ามาพร้อมกันเลย” หญิงสาวดูเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาในเทือกเขามีเรื่องเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ข้าน้อยสามคนจัดการได้ขอรับ มีเพียงสองเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ จำต้องรายงานท่านบรรพบุรุษ” หลังจากที่มารทั้งสามส่งสายตาให้กันแล้ว มารปีกเหล็กก็เอ่ยพึมพำออกมา
“อ๋อ ไหนลองพูดมาซิ” หญิงสาวสวมชุดสีขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เรื่องแรกคือก่อนที่นายท่านจะหลับสนิท ได้ทำลายชิ้นส่วนของใบมีดสมประสงค์ทมิฬ และมอบให้พวกเรารักษาเอาไว้ ผลคือข้าน้อยรักษาไปได้ระยะหนึ่ง กลับถูกมารวานรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งขโมยไป และหนีออกจากเทือกเขา ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด” หลังจากที่มารปีกเหล็กลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยพึมพำอย่างทำใจดีสู้เสือ
“ใบมีดสมประสงค์ถูกขโมยไป? มารวานรตัวนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เหตุใดถึงมาอยู่ในเทือกเขา” น้ำเสียงของหญิงสาวผันผวนเล็กน้อย
“มารวานรตัวนั้นน่าจะเป็นทหารไล่ล่าที่ถูกม้วนเข้ามาด้วยความบังเอิญ ตอนที่นายท่านทลายเขตแดนในวันนั้น ตัวมันมีพลังยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับซ่อนตัวได้อย่างยอดเยี่ยม คาดไม่ถึงว่าจะหลบซ่อนจากหูตาของพวกเราสามคนได้หลายปี สุดท้ายก็ถือโอกาสที่ข้าออกไปข้างนอก สร้างปัญหาด้วยการชิงใบมีดสมประสงค์ที่วางอยู่ในห้องลับไป ข้าน้อยเสียสมบัติล้ำค่าไป หวังว่านายท่านท่านบรรพบุรุษจะลงโทษข้า” มารปีกเหล็กก้มหน้าลง ยอมรับผิดกับหญิงสาว
“หึๆ ตอนนั้นมีดสมประสงค์ถูกทำลาย เดิมทีอานุภาพก็ลดลงไปกว่าครึ่ง ประกอบกับแยกออกเป็นสามส่วน ต่อให้ข้าเองก็ไม่อาจฟื้นฟูสมบัติชิ้นนี้ได้ เศษสวรรค์ทมิฬที่ชำรุดเช่นนี้ ไม่อาจซ่อมแซมได้ ทิ้งไปก็ทิ้งไป ไม่เป็นไร อีกเรื่องล่ะ คืออะไร?” หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดสีขาวเงียบขรึมไปเล็กน้อย ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีไม่สนใจเลยสักนิด
“ขอบพระคุณนายท่านบรรพบุรุษที่ไม่ลงโทษ อีกเรื่องก็คือพาหนะที่นายท่านยมโลกตาข่ายนั่งมาในวันนั้น จระเข้ทมิฬตัวนั้นเพิ่งบรรลุระดับสำเร็จ และบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว หากเป็นเช่นนั้นละก็ ก็ไม่อาจปล่อยไว้ในเทือกเขาโดยไม่ซักถามได้ ไม่ทราบว่านายท่านมีเจตนา…” มารปีกเหล็กพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอ่ยอีกเรื่องหนึ่งแต่กลับผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
“มารจระเข้น้อยตัวนั้นเพิ่งบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีนัก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้างกายของข้ายังขาดพาหนะอยู่ดี ให้มันตามข้าออกไปข้างนอกเถิด” หญิงสาวชุดขาวได้ยินคำนี้ กลับฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน
เสียงหัวเราะอันไพเราะดังขึ้น ราวกับเสียงที่รังสรรค์จากสรวงสวรรค์ ทำให้ผู้คนได้ฟังแล้วตกอยู่ในภวังค์ ยามนั้นไม่อาจถอนตัวออกจากความชั่วร้ายได้
มารทั้งสามย่อมไม่มีข้อคิดเห็น ล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
“นายท่าน เศษใบมีดสมประสงค์ในมือของพวกเรา…” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า พวกเจ้าเก็บไว้ป้องกันตัวเถิด” หญิงสาวโบกมือไปมา แล้วเอ่ยอย่างส่งๆ
“ขอบพระคุณนายท่านบรรพบุรุษที่ตกรางวัลให้!” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตและมารหลายตาได้ฟังคำนี้ ก็คารวะขอบคุณด้วยความดีใจยกใหญ่
มีเศษสมบัติสวรรค์ทมิฬป้องกันตัว ก็เพียงพอจะทำให้อิทธิฤทธิ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง
ส่วนมารปีกเหล็กที่อยู่ด้านข้าง ย่อมมีสีหน้าอิจฉา แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วค้อมตัวลงรายงาน
“ใช่แล้ว นายท่านบรรพบุรุษตอนนี้ในเทือกเขามีเห็ดเซียนตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และอยู่ในระดับเดียวกันกับมารแปลงกาย ไม่ว่านายท่านสนใจมันหรือไม่”
“เห็ดเซียน! มารแปลงกาย? ในเทือกเขาของพวกเรามีของเช่นนี้ด้วย? เจ้าสิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าในการฝึกฝนร่างแยกและร่างสิงสู่ของจิตวิญญาณดั้งเดิม แต่ต้องเสียแรงไปมากกว่าจะหลอมออกมาได้ จากสถานการณ์ของข้าในยามนี้ไม่มีเวลาจะไปสนใจ พวกเราสามคนลงมือจับมันมาก็แล้วกัน” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะ และไม่ได้สนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ชายชราชุดสีเงินพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
ส่วนมารปีกเหล็กและแขนโลหิตก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าเพิ่งตื่น อย่างนั่งพักสักสองสามเดือน ค่อยออกจากเทือกเขา เรื่องน้อยใหญ่ในเทือกเขา พวกเจ้าก็จัดการเอาเถิด ไม่ต้องมารายงานข้า” เมื่อเห็นมารทั้งสามเอ่ยเรื่องราวเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ออกคำสั่ง ชุดสีขาวสะบัดมาด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
มารทั้งสามรู้สึกเพียงว่าลำแสงสีชมพูรอบด้านทะลักออกมา ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฏด้านนอกประตูหิน ราวกับว่าไม่เคยเดินเข้าไปมาก่อนแม้แต่ก้าวเดียว
พวกเขาอดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
“ดูแล้วแม้ว่าพลังยุทธ์ของนายท่านบรรพบุรุษจะยังไม่ฟื้นฟูกลับไม่เหมือนเดิม แต่อิทธิฤทธิ์การเปลี่ยนดาวเคราะห์และดวงจันทร์กลับยังลึกล้ำยากจะคาดเดา หากเป็นเช่นนั้นละก็ นายท่านออกไปข้างนอกคงไม่เกิดปัญหาอันใดแน่” มารปีกเหล็กพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยราวกับเพิ่งจะวางใจขึ้นมาจริงๆ ออกมา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นนายท่านบรรพบุรุษยังตัดสินใจแล้ว พวกเราจะห้ามปรามอันใดได้ ก็ทำตามคำสั่งของนายท่านก็แล้วกัน” แขนโลหิตเองก็ครุ่นคิดไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินได้ฟัง ก็หรี่ตาลงแล้วพยักหน้า แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
“ที่แท้เห็ดเซียนนั่นก็อยู่ในระดับเดียวกันกับมารแปลงกาย มิน่าล่ะทั้งสองถึงได้สนใจถึงเพียงนี้ ตอนนี้บรรพบุรุษบอกให้เจ้าสิ่งนั้นเป็นของพวกเราแล้ว เช่นนั้นพวกเราสามคนผู้ใดจะได้สัตว์เทพตัวนั้นไป ก็ต้องดูว่าสามารถของตนเองแล้ว เช่นนั้นละก็ ตาเฒ่าขอตัวก่อน” สิ้นเสียงมารหลายตาก็ไม่รอให้มารทั้งสองตอบรับ มือหนึ่งร่ายอาคม พายุมารสีดำสนิทบนร่างม้วนวนออกมา จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องแล้วพุ่งออกไปนอกวิหาร พลางหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้านั่นใจร้อนนัก!” หลังจากที่มารปีกเหล็กเบะปากแล้ว ก็เอ่ยอย่างดูแคลนออกมา
“หึๆ พี่หลายตารู้ตัวว่าตามหลังอยู่ แน่นอนว่าต้องส่งคนไปจัดการทันที ทว่าเกรงว่าเห็ดเซียนตัวนั้นจะไม่ได้ตกอยู่ในมือของเจ้าและข้า มิเช่นนั้นเราสองคนคงได้ข่าวไปนานแล้ว ประกอบกับร่างแยกของพี่เหล็กถูกทำลาย เจ้านั่นน่าจะตกอยู่ในมือของคนนอก ดูแล้วคนนอกที่เข้ามาในเทือกเขาครั้งนี้คงไม่ธรรมดา” แววตาของแขนโลหิตเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ตกอยู่ในมือของคนนอกหรือไม่ก็พูดยาก ทว่าตอนนี้หลายตาไปจัดการ ก็คงสายไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียผู้ที่มาจากภายนอกก็ทำได้เพียงอยู่ในเทือกเขาของเราเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น กว่าครึ่งคงอยู่ไม่ไกลจากทางออกแล้ว ต่อให้พวกเราลงมือเองในยามนี้ ก็ไม่อาจไล่ตามได้ทัน หากรู้เช่นนี้ตั้งนานแล้ว ข้าคงส่งคนไปเพิ่มตั้งแต่แรก” มารปีกเหล็กมีสีหน้าเสียดายฉายแวบผ่านบนใบหน้า
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าพี่เหล็กไม่อยากใช้ลูกสมุน แต่เพราะกลัวว่าหากใช้คนมากเกินไป จะดึงดูดความสนใจของข้าและมารหลายตาสินะ” ชายสวมชุดคลุมสีโลหิตได้ยิน กลับหัวเราะหึๆ ออกมา
“แล้วแต่ว่าแขนโลหิตจะคิดอย่างไร ข้าเองก็ขอตัวลากลับไปรอฟังข่าวก่อน” มารปีกเหล็กหัวเราะน้อยๆ ท่าทางไม่สนใจเลยสักนิด
จากนั้นร่างของมารตัวนั้นพลันพลิ้วไหว ไถลห่างออกไปสิบกว่าจั้ง หลังจากกะพริบวาบสองครั้งก็หายวับไปจากทางเข้าของวิหาร
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตจ้องเขม็งไปยังประตูวิหารด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกชั่วครู่ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ร่างกายมีลำแสงโลหิตแผ่ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะหลอมละลายราวกับเทียนไข กลายเป็นกองโลหิตจมหายเข้าไปในพื้น
ชั่วพริบตาทั้งวิหารก็ไร้ซึ่งผู้คน
…….
หานลี่กลายเป็นเงาสีเขียวสายหนึ่ง แทบจะรางเลือนจนมองไม่เห็น ซ่อนตัวอยู่ในเมฆสีดำที่ดูธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง
เขามองทางออกเทือกเขามารสีทองที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ระหว่างนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลงลำแสงสีฟ้าอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
สิ่งที่เรียกว่าทางออกความจริงแล้วเป็นอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น ความยาวแค่สองสามลี้!
หากอยากออกจากเทือกเขามารสีทอง มีเพียงต้องผ่านทางนี้ ถูกพลังเขตอาคมจากภายนอกดูดออกไป
ทว่ากลางอากาศที่ดูเหมือนไร้ผู้คน ภายใต้การจับจ้องด้วยเนตรวิญญาณวารีกระจ่างของหานลี่ กลับมองเห็นเงาสีเทา ไอสีดำนับร้อยนับพันตัวเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ทุกตนล้วนมีท่าทีถมึงทึง
หานลี่ลูบใต้คาง ใบหน้าเผยสีหน้าระมัดระวังออกมา หลังจากตรวจสอบอีกประเดี๋ยว เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมียันต์วิเศษสีม่วงอ่อนปรากฏขึ้นแผ่นหนึ่ง
แปะยันต์นี้ลงบนร่าง ชั่วขณะนั้นหมอกสีม่วงพลันแผ่ออกมา อักขระสีเงินหมุนวน
ชั่วขณะนั้นร่างกายของเขาพลันหายวับไป ไร้ซึ่งร่องรอยให้ค้นหา
จากนั้นหานลี่ก็แปลงกายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า บินออกมาจากเมฆา แล้วร่อนลงเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า
เมื่อครู่เขามั่นใจแล้วว่ารอบๆ นี้ไม่มีระดับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจึงไม่ค่อยกังวลว่าจะถูกมารอสูรมองออกนัก จึงเตรียมการจะบินผ่านไปอย่างทระนงองอาจ
มารอสูรที่ซุ่มอยู่รอบๆ ไม่พบความผิดปกติอะไร ยังคงหมอบอยู่ทั้งสองฝั่งไม่เคลื่อนไหว
หานลี่พลันรู้สึกยินดี ชั่วครู่เขาก็ออกห่างจากทางเขาไปได้ร้อยจั้งเศษ
แต่ในยามนั้นเองอสูรน้อยตัวหนึ่งที่ดูเหมือนมีขนาดแค่สองสามฉื่อ ฉับพลันนั้นผิวของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ลำแสงงดงามระเบิดออกมาจากร่างของมัน ชั่วครู่ก็ปกคลุมในรัศมีสิบจั้งเศษเอาไว้
หานลี่รู้สึกเพียงว่าผิวร้อนฉ่า เดิมทีร่างที่ล่องหนพลันฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ประสิทธิภาพของยันต์ชำระพิสุทธิ์ถูกทำลาย