A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1657 ตัวประหลาดเฒ่าสวี่
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1657 ตัวประหลาดเฒ่าสวี่
ตามในบันทึกในคัมภีร์ที่เขาหาพบ สิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้’ เป็นเศษเสี้ยวไอแผ่กระจายไร้ทิศทางอยู่รอบๆ เมื่อยามที่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ถือกำเนิด
หากคนธรรมดากลืนมันเข้าไป ก็จะมีประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่อ
แม้ว่าจะไม่อาจพัฒนากลายเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ แต่ก็สามารถถอดรกเปลี่ยนกระดูกเพิ่มพลังยุทธ์ได้ มีโอกาสที่จะพัฒนาไประดับผสานอินทรีย์ได้เป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงจำนวนที่น้อยนิดในแดนวิญญาณแล้ว ก็รู้ถึงระดับความน้อยของต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้
ประกอบกับหลายปีมานี้ยังถูกผู้มีความสามารถของเผ่าต่างๆ มาค้นหาเอาไปใช้กันหมด ดังนั้นจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่อยู่ในแดนวิญญาณยามนี้ก็อาจจะมีอยู่แค่หร็อมแหร็ม
ตามหลักการแล้วต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็เป็นแค่ร่างไอ แต่เป็นเพราะมีพลังของต้นกำเนิดแฝงอยู่มากเกินไป จึงถูกคนอื่นกินเข้าไปแล้วไม่อาจหลอมเหลวได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นหากผ่านเวลาที่กำหนดไป ต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะกันรวมตัวกันกลายเป็นเม็ดผลึกในร่างของผู้ที่หลอม
ในเม็ดผลึกมีปราณแท้ของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ผสมอยู่อย่างยากที่จะจินตนาการได้ ย่อมต้องดูลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล มากน้อยก็สองสามร้อยปี น้อยหน่อยยี่สิบสามสิบปีถึงจะมีโอกาสถูกหลอมไปจริงๆ
เมื่อหานลี่อ่านเนื้อหาข้างในนั้น ก็รู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง แต่คำอธิบายด้านล่างก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนเอาน้ำเย็นราดหัว
บันทึกต่อจากนี้คาดไม่ถึงว่าจะกล่าวตรงๆ ว่า เมื่อต้นกำเนิดจิตวิญญาณเที่ยงแท้กลายเป็นลูกทรงเม็ดผลึก ก็หมายความว่าถูกปราณแท้ในตัวผู้หลอมหลอมจนเสร็จสิ้นแล้ว และไม่อาจถูกคนที่สองดูดซับไปหลอมได้อีก
หากคนอื่นฝืนหลอมปราณแท้ด้านใน เม็ดผลึกก็จะกลับเป็นพลังฟ้าดินธรรมดาๆ กลับคืนสู่สวรรค์และยุทธภพอีกครั้ง
สุดท้ายยังระบุไว้เป็นพิเศษว่าการหลอมด้วยกันนั้นมีความเฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก ไม่อาจคิดว่าจะย้อนกลับได้ ทำให้ผู้ที่ได้พลังต้นกำเนิดมาต้องจดจำจุดนี้เอาไว้ให้ดี
เมื่อหานลี่อ่านสิ่งที่อธิบายเสร็จ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง สีหน้าสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
“ที่กล่าวในคัมภีร์ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นจริงเสมอไป กล่าวอันใดก็ต้องลองทดสอบสักหน่อย” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความไม่เต็มใจ
จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม นิ้วอีกข้างชี้ไปที่เม็ดผลึก
หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบ ก็ห่อหุ้มเม็ดผลึกเอาไว้ข้างใน
หานลี่ร่ายอาคมออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทยอยกันจมหายเข้าไปในลำแสงสีเขียว
เม็ดผลึกในลำแสงสีเขียวสั่นเทาแล้วหมุนติ้วๆ จากนั้นสีของร่างเดิมก็เปลี่ยนไปไม่แน่นอน
ยามแรกโปร่งใส เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน จากนั้นก็เปลี่ยนจากสีแดงอ่อนกลายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก สุดท้ายก็กลายเป็นสีทองเรืองรองราวกับทองคำขณะที่ลำแสงวิญญาณกำลังกะพริบวาบๆ
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง อาคมในมือเปลี่ยนแปลงไป
ฉับพลันนั้นลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มเม็ดผลึกอยู่พลันมีอักขระจำนวนมากปรากฏขึ้น บินวนล้อมรอบเม็ดผลึก ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเขตอาคมขนาดเล็ก
ส่วนเม็ดผลึกสีทองก็อยู่ตรงใจกลางของเขตอาคมอย่างพอดิบพอดี
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้พลันอ้าปากออก พ่นเพลิงทารกสีเขียวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเขตอาคมขนาดเล็ก
เสียงอึกทึกดังขึ้น อักขระทั้งหมดบนเขตอาคมเปล่งแสงเจิดจ้า เพลิงทารกสีเขียวรวมร่างกับเขตอาคมได้อย่างง่ายดาย
ครู่ต่อมาในเวลาเดียวกันก็มีลูกเพลิงสีเขียวพ่นออกมาจากจุดต่างๆ ของเขตอาคม ห่อหุ้มเม็ดผลึกเอาไว้ แล้วเริ่มหลอมเหลว
ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียวที่หมุนวน ยามแรกเม็ดผลึกสีทองนั้นเงียบกริบไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละนิดๆ ลำแสงสีทองบนพื้นผิวพลันพลิ้วไหว และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ยังไม่ทันได้อาคมในมือ ยามนั้นเสียงอึกทึกก็ดังออกมาจากเขตอาคม
คาดไม่ถึงว่าเม็ดผลึกสลายหายไปจากที่เดิม กลับเป็นหมอกลำแสงสีทองขนาดเท่าไข่ไก่เข้ามาแทนที่
หมอกลำแสงนี้หมุนวน เปล่งเสียงฟ้าคำรามที่น่าตกตะลึงออกมา จากนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นยี่สิบสามสิบเท่า จนมีขนาดสองสามจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด
เปลวเพลิงสีเขียวและหมอกลำแสงที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกถูกดันจนแตกออก
ผิวของหมอกลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างไสวและมืดมนสลับกันไปมา เห็นได้ชัดว่าเสียการควบคุม พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
เมื่อหานลี่คิดถึงความน่ากลัวของพลังที่แฝงอยู่ ก็หน้าเปลี่ยนสี
มือหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกอย่างไม่ต้องขบคิด และตะปบไปยังหมอกสีทองตรงหน้า
เสียงแหวกอากาศดัง “สวบๆ” ดังขึ้น
ลำแสงสีเทาพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีเทาชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มหมอกสีทองเอาไว้
ลำแสงสีเทาและลำแสงสีทองพร้อมจะตัดสลับกันไปมาได้ตลอดเวลา เปล่งเสียงอึกทึกออกมา
ผิวของลำแสงเทวะดูดปราณเปล่งแสงระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีทานไม่ไหวในทันที ไม่อาจควบคุมความเปลี่ยนแปลงของหมอกลำแสงสีทองได้
ใบหน้าของหานลี่มีสีหน้าตกตะลึงฉายวาบผ่าน สองเท้าไม่ได้ยืนขึ้น แต่กายท่อนล่างกลับดูเหมือนจะติดตั้งรถหมุนอย่างไรอย่างนั้น ลื่นไถลมาที่มุมห้องลับอย่างเงียบเชียบทันที ในเวลาเดียวกันแขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัดไปตรงหน้า
ผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ โล่ขนาดเล็กเปล่งแสงผลึกแวววาวโล่หนึ่งต้านทานอยู่เบื้องหน้า และยิ่งไปกว่านั้นยังพลิ้วไหวเล็กน้อย ขยายใหญ่จนมีขนาดสองสามจั้ง ต้านทานอยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นหนา
แทบจะในชั่วพริบตาที่หานลี่ทำทุกอย่างเสร็จ ในที่สุดลำแสงเทวะดูดปราณก็เปล่งเสียงปริแตกออกมา ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลวงผ่านไปด้านใน
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ชั่วพริบตาลมปราณในร่างพลันทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง บรรจุเข้าไปในโล่ยักษ์ตรงหน้า
ในเวลาเดียวกันผิวก็มีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง และมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น
ดูแล้วเขาคงเตรียมตัวรับการโจมตีที่รุนแรงแล้ว ส่วนจะป้องกันห้องลับหรือแม้กระทั่งถ้ำพำนักให้ไม่ได้รับความเสียหายได้หรือไม่นั้น ก็มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
แต่ฉากที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายพลันปรากฏขึ้น
เมื่อม่านหมอกสีทองออกจากการควบคุม ก็ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นอีกแล้วระเบิดออก แต่กลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเสาลำแสงสายหนึ่งทะลวงผ่านเพดานห้องลับไป
เพดานห้องและเขตอาคมทั้งหมดที่วางอยู่ถูกทะลวงออกจนเป็นรูขนาดครึ่งฉื่อราวกับกระดาษ ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ส่วนหมอกลำแสงสีทองนั้นก็สลายหายไปจากในห้องลับอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงลำแสงสีขาวสองสามดวงพุ่งเข้าไปในรูนั้น แต่ทันใดนั้นก็มีพลังวิญญาณมหาศาลที่ทำให้ขนลุกซู่ส่งมา ปราณแท้ฟ้าดินทั้งภูเขาวิญญาณดูเหมือนว่าหมุนวนอย่างรุนแรง
ริมฝีปากเขาสั่นระริกเล็กน้อยแต่พลันชูมือหนึ่งขึ้น
ปล่อยอาคมสีขาวสายหนึ่งออกไป ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในเพดานห้องลับอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นเพดานห้องลับที่แต่เดิมถูกทะลวงออกมาพลันลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ รูทั้งรูหดเล็กลงผสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาผสานกันดังเดิม
ส่วนหานลี่เองก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งบินออกไปจากห้องลับ
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็หม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้นเหนือถ้ำพำนัก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
เห็นเพียงท้องฟ้าในยามนี้ คาดไม่ถึงว่าจะพายุหมุนสีทองอ่อนเป็นกลุ่มๆ ปรากฏขึ้น และกำลังร้องคำรามอยู่บนอากาศ
และต่ำลงมาจากพายุหมุนสีทองนั้นทุกหนแห่งล้วนมีลำแสงปรากฏขึ้นเป็นดวงๆ ลำแสงห้าสีสันจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านหมุนวนและรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่ดูจนมาถึงยามนี้ก็รู้สึกตกตะลึง อดที่จะเบะปากเล็กน้อยไม่ได้
โชคดีที่เขาไม่ได้กลืนเม็ดผลึกเข้าไปหลอมตรงๆ มิเช่นนั้นหากกำเริบ จุดจบจะน่าอนาถแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
แต่การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าต่างๆ ที่อยู่บนภูเขาวิญญาณแถวนี้ตกตะลึงเช่นกัน
จุดต่างๆ บนภูเขาวิญญาณมีลำแสงสว่างวาบ เงาร่างคนหลากสีสันปรากฏขึ้นตามลำดับ บางคนที่รู้จักกันยังเข้ามารวมตัวกัน และชี้ไปที่ปรากฏการณ์น่าตกตะลึงบนท้องฟ้า พลางถกเถียงกันไม่หยุด
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะลูบหน้าผากตนเองไปมาไม่ได้ ในเวลาเดียวกันความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หากมีคนเข้ามาตรวจสอบ ควรจะหาข้ออ้างอันใดมาปกปิดเรื่องนี้ดี
แต่ในยามนี้ ฉับพลันนั้นพลันมีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาจากจุดหนึ่งของภูเขา
“ฮ่าๆ ผู้ใดลองทดสอบเคล็ดวิชาลับใหม่เนี่ย คาดไม่ถึงว่าจะเรียกปราณแท้ฟ้าดินมากมายถึงเพียงนี้ แถมยังบริสุทธิ์มาก ตาเฒ่าจะหลอมสมบัติชิ้นหนึ่ง ต้องการปราณแท้จำนวนมากมาเป็นเครื่องชักพา ช่างประหยัดแรงตาเฒ่าเสียจริง”
สิ้นเสียงสายรุ้งสีแดงสายหนึ่งก็บินมาจากด้านล่าง หลังจากกะพริบวาบ ก็พุ่งเข้าไปในปรากฏการณ์บนท้องฟ้า
แต่ในยามนั้นเองสายรุ้งสีแดงก็มีเปลวเพลิงสูงสองสามจั้งทะลักออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นมังกรวารีเพลิงสีแดงความยาวสิบจั้งเศษ สะบัดหางสะบัดหัว อ้าปากออก
เสียงอึกทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีแดงสดก็ถูกพ่นออกมาจากปากของมังกรวารีเพลิง
คาดไม่ถึงว่าลำแสงทั่วทั้งท้องฟ้าและพายุหมุนสีทองที่ดูน่าตกตะลึงบนท้องฟ้าจะถูกหมอกลำแสงสีแดงที่พวยพุ่งขึ้นไปกวาดไปจนเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วอึดใจ
มังกรวารีเพลิงสีแดงมีขนาดยักษ์ยี่สิบจั้งเศษแล้ว จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องยาวๆ ฉับพลันนั้นลำแสงสีแดงก็กลายเป็นเงาร่างสูงสองสามจั้ง ลอยอยู่กลางอากาศอย่างแช่มช้า
คนผู้นี้ดูเหมือนอายุหกสิบปีเศษ ใบหน้าหยาบกร้าน เรือนผมสีขาว แต่สวมชุดสีม่วง กำลังเหลือบมองสิ่งที่ถืออยู่ในมือด้วยสีหน้าพึงพอใจ
นั่นคือน้ำเต้าสีแดงสดความสูงครึ่งฉื่อ ผิวของมันมีสัญลักษณ์เปลวเพลิงเป็นดวงๆ และมังกรวารีหน้าตาดุดันเปล่งแสงสีเรืองๆ ตัวหนึ่งสลักอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับมังกรวารีเพลิงตัวนั้นที่สร้างขึ้นก่อนหน้าทุกระเบียบนิ้ว
“อันใด นี่คือตัวประหลาดเฒ่าสวี่”
“ตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“อิทธิฤทธิ์ของตัวประหลาดดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าเดิมแล้ว”
ชนต่างเผ่าทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างเห็นชายชราชุดสีม่วง กลับเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น คาดไม่ถึงว่าคนกว่าครึ่งจะรู้จักคนผู้นี้ และกำลังซุบซิบนินทากัน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันตกตะลึง แต่หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของชายชราแล้ว ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลายผู้หนึ่งทันที
พลังยุทธ์เช่นนี้ บนภูเขาวิญญาณที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อาศัยอยู่ แน่นอนว่าย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในลำดับที่สูงที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้ชนต่างเผ่าระดับหลอมสุญตาเช่นเดียวจำนวนมากหวาดกลัวเช่นนี้
หานลี่พลันรู้สึกฉงนเล็กน้อย
ทว่าในเมื่อปรากฏการณ์ที่เม็ดผลึกสร้างขึ้นถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว และไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากนัก เขาย่อมผ่อนคลายลง
ดังนั้นหานลี่จึงเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ทันใดนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งไปยังถ้ำพำนักด้านล่าง
เมื่อเขามาปรากฏตัวในถ้ำพำนักอีกครั้ง ก็วางเขตอาคมด้านนอกถ้ำพำนักและในห้องลับอีกครั้ง แล้วถึงได้กลับไปนั่งสมาธิในห้องลับอย่างสบายใจ
เมื่อยกมือขึ้นหมอกลำแสงสีดำพลันม้วนวน เงาร่างอสูรกลืนวิญญาณปรากฏขึ้นอีกครั้ง และลอยอยู่ใกล้ๆ ห่างออกไปแค่คืบ
หานลี่มองอสูรตัวนี้ด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง