A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1679 หน้ากากแปลงรูป
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1679 หน้ากากแปลงรูป
“หากหนึ่งต่อหนึ่ง แค่สิบชั่วลมหายใจข้าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว แค่สามชั่วลมหายใจข้าก็สังหารมันได้” สือคุนขมวดคิ้วขณะตอบกลับ
“อ๋อ หากเป็นอสูรลับล่ะก็ ปรากฏตัวทีเดียวสามสี่ตัว หรือแม้กระทั่งสิบกว่าตัวหรือเปล่าล่ะ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยถามยิ้มๆ
“หากมีพละกำลังเช่นนี้ล่ะก็ มากกว่าสามตัวขึ้นไป ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะแล้ว หากห้าตัวขึ้นไป ข้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย หากสิบตัวขึ้นไป ข้าคงเพลี่ยงพล้ำโดยไม่ต้องสงสัย” สือคุนมุมปากกระตุกเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย
“นั่นแหละ จากที่ข้ารู้อสูรลับในป่าอสูรลับมีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน และยิ่งไปกว่านั้นพละกำลังยังแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ตามบันทึกในคัมภีร์อิทธิฤทธิ์ของตัวเมื่อครู่ น่าจะระดับต่ำกว่าอสูรลับโตเต็มวัยระดับธรรมดาขั้นหนึ่งถึงจะถูก มิเช่นนั้นคงไม่เผชิญหน้ากับงูเหลือมตัวนั้น แล้วยังต่อสู้กินเวลานานขนาดนี้หรอก ในบรรดาอสูรลับทั่วไปนั้น ยังมีอสูรลับระดับสูงยิ่งกว่าอีกสองชนิด ชนิดแรกคืออสูรลับสามตา นอกจากพละกำลังจะร้ายกาจกว่าอสูรลับธรรมดาแล้ว ตาที่สามยังสามารถปล่อยแสงประหลาดออกมาได้ หากถูกยิงเข้าที่ร่างกายก็จะกลายเป็นไม้ผุ รับมือได้ยาก อีกชนิดหนึ่งคืออสูรลับระดับราชา ผิวหนังของอสูรลับชนิดนี้ไม่เป็นสีดำ ก็เป็นสีทองบริสุทธิ์ พละกำลังเท่าไหร่กลับพูดยาก ว่ากันว่าเหล่าอาวุโสที่บุกเข้ามาในป่าอสูรลับในตอนนั้น มีเพียงคนเดียวที่เคยเห็นผู้บัญชาการทหารของอสูรลับโตเต็มวัยสองสามร้อยตัววิ่งผ่านไปไกลๆ ในป่าลับ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข้าเองก็เคยอ่านคัมภีร์ประเภทนี้ อสูรลับสามตานั้น ข้าเดาว่าน่าจะต่อกรได้เพียงตัวเดียว หากเผชิญหน้าสองตัวพร้อมกันคงพูดยาก ส่วนอสูรลับสีทองนั้น ในเมื่อนำทัพเหล่าอสูรได้ แน่นอนว่าความสามารถย่อมเหนือกว่าอสูรสามตาแน่ แม้ว่าพวกเราจะร่วมมือกัน กว่าครึ่งก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทว่าในเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตระดับราชาอสูร ทั้งป่าอสูรลับก็คงมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว พวกเราคงไม่โชคร้ายไปพบหรอกกระมัง อย่ากังวลมากไปเลย” หานลี่เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า
“อืม มีเหตุผล เดิมพวกเราก็ไม่ได้คิดจะไปยั่วโมโหอสูรประหลาดเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่คิดจะแอบข้ามป่าไปอีกหนึ่งเดือนให้หลังเท่านั้น น่าเสียดายหากบินสูงได้ ใช้เวลาแค่สองสามวันก็สามารถข้ามป่าทั้งป่าได้ หากไปทางพื้นดิน ต้องเสียเวลามากกว่าเป็นสิบเท่า” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เวลาแค่นี้พวกเราเสียได้ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น หากเดินทางบนท้องฟ้า นอกเสียจากว่าจะอยากเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีจากอสูรลับยี่สิบสามสิบตัวหรือแม้กระทั่งร้อยตัวเท่านั้น” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“น้องหญิงก็น่าจะรู้ และยิ่งไปกว่านั้นตามประสบการณ์ของผู้ที่เคยผ่านป่าลับมา ตอนกลางวันอสูรจะแสดงพละกำลังได้ไม่ถึงครึ่ง ดังนั้นเมื่ออยู่ในป่าลับยามกลางวันกลับมีการป้องกันเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม อสูรลับสามตาระดับสูงจำนวนมากก็จงใจออกมาลาดตระเวนในยามกลางวัน ส่วนยามกลางคืนนั้นพละกำลังของอสูรลับเพิ่มขึ้น การป้องกันกลับผ่อนคลายลงกว่าครึ่ง อสูรลับระดับสูงก็จะกลับมาฝึกฝนและพักผ่อนในถ้ำ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องเร่งเดินทางในยามกลางคืน แล้วพักผ่อนในยามกลางวัน เดิมข้าคิดว่าจะกลับกันเสียอีก!” สือคุนได้ฟัง ก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย
“ข้าเองเห็นด้วยกับคำพูดของเซียนหลิว นอกจากอสูรลับระดับสูงที่จะออกมาเคลื่อนไหวในยามกลางวันนั้น ในยามกลางวันขั้นตอนการอำพรางกายของพวกเราก็คงอ่อนแอลงสามส่วน เกรงว่าคงไม่อาจปิดบังหูตาของอสูรลับสามตาได้ ถึงอย่างไรเสียหากเป็นอสูรหลายตา ดวงตาที่เพิ่มขึ้นมาส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะมีอิทธิฤทธิ์มองทะลุผ่านภาพลวงตา ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราเช่นกัน แม้ว่าตอนกลางวันอสูรลับจะอ่อนแอ แต่หากถูกอสูรเป็นร้อยตัวมาล้อมไว้ภายในชั่วครู่ ก็ไม่แตกต่างอันใดในยามกลางคืนนัก มิสู้เลือกเดินทางยามกลางคืนดีกว่า” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“อืม ฟังจากคำพูดของสหายทั้งสองก็มีเหตุผลจริงๆ เอาละ เช่นนั้นก็เคลื่อนไหวในยามกลางคืนก็แล้วกัน” สือคุนดูเหมือนว่าจะถูกชักจูงแล้ว จึงไม่ได้คัดค้าน
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีความเห็น อีกเดี๋ยวก็ออกเดินทางกันเถิด ออกจากป่าอสูรลับได้ไวเท่าไหร่ ก็ผ่อนคลายได้ไวขึ้นเท่านั้น ใช่แล้ว ทั้งสองท่านมีวิธีอำพรางกายอันใดที่เหมาะสมหรือไม่?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จึงย้อนถามกลับทันที
“เซียนหลิวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้ามีวิธีการอันใดที่เหนือกว่า แต่ในเรื่องการอำพรางนั้น ก็ช่วยพวกเราสองคนได้อีกแรง” หานลี่เป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสไวขนาดไหน ชั่วพริบตาก็เดาเจตนาในคำพูดของสตรีผู้นี้ออก
“พี่หานช่างชาญฉลาดจริงๆ ก่อนออกมาในครั้งนี้น้องหญิงได้ยืมหน้ากากแปลงรูปมาจากท่านอาจารย์สามชิ้น มีสมบัติชิ้นนี้ก็สามารถเปลี่ยนคนให้กลายสิ่งของที่ต้องการได้แล้ว นอกเสียจากว่าจะมีคนใช้จิตสัมผัสกวาดมาตรวจสอบอย่างละเอียด มิเช่นนั้นหากไม่ลงมือ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพบเห็น ข้าเองก็รู้ว่าสหายทั้งสองจะต้องมีวิธีการอำพรางกายอื่นๆ ที่สูงส่งกว่าแน่ แต่หากเอาของปลอมไปปะปนกับของจริงล่ะก็ ใช้สมบัติชิ้นนี้จะเหมาะสมที่สุด หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าพวกเราจะถูกอสูรลับตัวอื่นๆ พบเข้า ก็ยังพอตบตาได้” หญิงสาวสวมงอบเอ่ยอธิบายพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีของรูปร่างเหมือนหนังบางๆ สีเงินปรากฏขึ้นสามชิ้น
“หน้ากากแปลงรูป! เจ้าสิ่งนี้มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว ว่ากันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงปรมาจารย์ลิ่งซือที่หลอมขึ้นได้ หากสหายหลิวอยากยืมมา จะต้องเยี่ยมมากแน่ๆ ผู้แซ่สือจะไม่เกรงใจแล้ว” สือคุนเห็นหนังบางๆ สามชิ้น ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา และทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นตะปบออกไป ดูดเอาหนังบางๆ หนึ่งในนั้นเข้ามาอยู่ในมือ แล้วก้มหน้าลงพิจารณาอย่างละเอียด
หานลี่อาศัยอยู่ในเมืองเมฆามาไม่นานนัก แต่กลับเพิ่งเคยได้ยินชื่อของสมบัติชิ้นนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เห็นสือคุนมีท่าทีตื่นเต้น ก็รู้ได้ว่าหน้ากากแปลงรูปชิ้นนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากขอบคุณ แล้วตะปบมือไปทางหน้ากากบางๆ ชิ้นนั้นเช่นกัน พลางพิจารณาอย่างสนอกสนใจ
เห็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า ‘หน้ากากแปลงรูป’ นั้นบางเฉียบดุจเส้นไหม แต่เมื่อลูบไล้ไปกลับรู้สึกเย็นยะเยือก จากประสบการณ์ของหานลี่คาดไม่ถึงว่าจะดูไม่ออกว่ามันทำมาจากวัสดุใด
แต่สิ่งที่สะดุดตายิ่งกว่าก็คือ อักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันที่สลักอยู่บนผิวของหน้ากากแปลงรูปนั้น มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง และดูพิเศษเป็นอย่างมาก
หานลี่เห็นอักขระสีเงินเหล่านั้นชัดเจน ใบหน้ากลับเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แม้ว่าจะแค่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงถูกหญิงสาวสวมงอบมองเห็น
ใบหน้าใต้งอบของหญิงสาวผู้นี้ย่อมฉายแววตกตะลึง ทันใดนั้นก็ปากเอ่ยถามว่า “พี่หาน หรือว่าท่านเคยพบสมบัติชิ้นนี้มาก่อน?”
“ในเมื่อเป็นสมบัติเฉพาะของท่านอาวุโสไฉ่ ข้าน้อยจะมีโอกาสได้พบเห็นได้อย่างไร” หานลี่ใจหายวาบ แต่ใบหน้ากลับฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้พี่หาน….” หญิงสาวสวมงอบกลับไม่ปล่อยไป ยังคงเอ่ยซักถามต่อ
“เหอๆ วัตถุดิบของสมบัติชิ้นนี้แปลกประหลาดไปหน่อย ผู้แซ่หานเองก็นับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง คาดไม่ถึงว่าจะดูประวัติความเป็นมาไม่ออก จึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ว่าน้องหญิงจะไม่รู้วิธีการหลอม แต่กลับได้ยินท่านอาจารย์พูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง หน้ากากแปลงรูปนี้ทำมาจากหนังของอสูรวิญญาณที่หายากเจ็ดชนิดในแผ่นดินใหญ่ นำทั้งหมดมาผสมกันแล้วหลอมขึ้น ไม่แปลกที่สหายหานจะไม่อาจแยกแยะได้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะเชื่อข้ออ้างของหานลี่จริงๆ จึงอธิบายอย่างนุ่มนวล
“ผู้แซ่หานเข้าใจแล้ว” หานลี่เองก็แสร้งทำเป็นเลอะเลือน และใช้นิ้วลูบผ่านอักขระสีเงินบนแผ่นหนังบางๆ ในมือเบาๆ ในเวลาเดียวกันในใจกลับมีความคิดต่างๆ ทยอยกันหมุนวนไปมา
อักขระสีเงินบนหน้ากากแปลงรูปนี้ คืออักขระลูกอ๊อดสีเงินบนตำราหยกพระราชวังทองคำ ตัวอักษรนี้ปรากฏขึ้นด้วยความบังเอิญ แน่นอนว่าย่อมทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในเมื่อสมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติของไฉ่หลิวอิง หรือว่าในมือของนางนั้นมีหน้าแรกของตำราหยกพระราชวังทองคำอยู่ด้วย
เขาย่อมแอบพึมพำอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง
และในยามนั้นเอง หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยปากขึ้นอีกว่า “แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะมหัศจรรย์ แต่ก็ไม่ได้สวมแล้วจะแปลงรูปได้ทันที หากแปลงเป็นสิ่งมีชีวิต ทางที่ดีที่สุดก็ต้องมีเนื้อหนังหรือขนของมันก่อน หากมีหนังและขนของมันทั้งแผ่น ก็จะแปลงรูปได้อย่างไร้ที่ติ”
“หนังและขน ย่อมจัดการได้ง่าย หาอสูรลับที่อยู่ลำพังมาสักสองสามตัวแล้วสังหารพวกมันก็ได้แล้ว หึๆ ตัวเมื่อครู่ไม่ได้เหมาะสมมากหรือ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ คิดดูแล้วมันคงไม่ได้หนีไปไหนไกล” สือคุนได้ยิน ก็มีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน
จากนั้นใต้ฝ่าเท้าของเขาก็มีลำแสงสีเหลืองสว่างวาบ ร่างทั้งร่างจมหายเข้าไปในพื้นดินอย่างเงียบเชียบ
แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เปล่งประกายสองสามครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามอันใด
ผลคือสือคุนสำแดงเคล็ดวิชาลี้ธรณี ชั่วพริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ปล่อยให้พี่สือลงมือตามลำพังเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา
“ในเมื่อเซียนหลิวไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม ย่อมต้องรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใดอยู่แล้ว ผู้แซ่หานเองก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหา เมื่อครู่ข้าตรวจสอบในบริเวณนี้อย่างละเอียดแล้ว ในระยะร้อยลี้ ไม่มีอสูรลับตัวที่สอง ประกอบกับสหายสือคิดในใจแล้วจะต้องจับได้อย่างแน่นอน” หานลี่หรี่ตาลงแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ผลคือหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม สือคุนที่เมื่อครู่หายวับไปจากพื้นดิน ก็เปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ดิน
นั่นก็คือสือคุน
เมื่อเขาบินออกมาจากใต้ดินแล้ว ก็ฉีกยิ้มให้หานลี่และหญิงสาวสวมงอบ สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ของสีดำสนิทพลันบินออกมา
นั่นก็คือหนังและขนของอสูรลับตัวสีดำสนิทตัวหนึ่ง
“สหายหลิว หนังและขนแผ่นนี้เป็นอย่างไร เหมาะกับการแปลงรูปของข้าหรือไม่” สือคุนเอ่ยอย่างหยิ่งทระนง
“คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด! หากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา ข้าจะถ่ายทอดคาถาให้สหายทั้งสอง ศิษย์พี่ลองใช้ดูก่อน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ใช้สายตาตรวจสอบหนังและขนแผ่นหนังเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็โยนหนังและขนกลับมา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย เริ่มถ่ายทอดคาถาลับให้กับหานลี่และสือคุน
หานลี่และพวกย่อมตั้งใจจำคาถาทั้งหมด ไม่กล้าละเลยเลยแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมื่อหลิวสุ่ยเอ๋อร์หยุดถ่ายทอดเสียง ดวงตาของสือคุนก็เปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็โยนหนังอสูรในมือขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น
หน้ากากแปลงรูปพลันกลายเป็นลำแสงสีเงินดวงหนึ่งจมหายเข้าไปในหนังอสูร ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันปรากฏตัวขึ้นทีละตัวๆ
หนังอสูรลับทั้งผืน พลันร่อนลงมาบนร่างของชายร่างใหญ่