A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1708 สมดุลกับการทลายประตู
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1708 สมดุลกับการทลายประตู
“ทว่าพี่หานมีความสามารถที่สุดในบรรดาเราสามคน อีกเดี๋ยวยามที่ทำลายเขตอาคมของตำหนักหลัก หวังว่าเจ้าจะออกแรงมากหน่อย” สือคุนได้หญิงหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ แววตาพลันเปล่งประกายแล้วพลันเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“มีความสามารถที่สุด? ข้าน้อยไม่กล้ารับไว้ แต่สหายทั้งสองโปรดวางใจ อีกเดี๋ยวผู้แซ่หานจะพยายามเต็มที่” หานลี่พยักหน้าเล็กน้อย ตอบรับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นหานลี่ตอบรับ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็มองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายลง
แม้ว่าทั้งสองจะมีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่หลังจากผ่านความทรมานจากการขึ้นภูเขามา ประกอบกับฝืนทลายเคล็ดวิชาลวงตา พลังปราณในร่างก็เสียหายไปกว่าครึ่ง
หากไม่มีหานลี่ที่มีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดาคอยช่วยเหลือ การทลายเขตอาคมของตำหนักหลักก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสองคนจะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
พวกเขาเองก็ไม่กังวลว่าหลังจากทลายเขตอาคมแล้ว หานลี่จะแปรพักตร์ทันที
ถึงอย่างไรเสียยามที่ออกไปจากแดนนี้ พวกเขาก็ต้องมาปรากฏตัวในเมืองเมฆา มีไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นรอพวกเขาอยู่ในเมือง แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ
ครั้งนี้หากเป็นแค่การเดินทางค้นหาสมบัติธรรมดาๆ จากอิทธิฤทธิ์ที่หานลี่สำแดงออกมาระหว่างทาง พวกเขาสองคนย่อมรู้สึกหวาดกลัวและระวังตัวตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะแค่รู้สึกอิจฉาในใจได้
ทว่าจะว่าไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะหานลี่แสดงออกว่าแข็งแกร่งเพียงนี้ รอให้เปิดเขตอาคมแล้วตามหาสมบัติที่ไฉ่หลิวอิงและพวกทั้งสองต้องการ พวกเขาสองคนจะแบ่งสมบัติที่เหลือกันตามที่สัญญาเอาไว้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยากเช่นกัน
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนหวาดกลัวอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ มั่นใจว่าทั้งสองคนร่วมมือกันก็ไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้ แน่นอนว่าจึงไม่มีทางเป็นฝ่ายแปรพักตร์ก่อน
แม้ว่าหานลี่จะมั่นใจว่าจากพลังของตนสังหารทั้งสองคนได้ แต่ประการแรกตนไม่มีทางผิดสัญญาก่อนแน่ เพื่อไม่ให้กระทบกับระดับของจิตใจในภายภาคหน้าและเกิดมารแว้งกัด ประการที่สองเพราะยำเกรงต่อไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่น ไม่มีเจตนาอื่น
ภายใต้สถานการณ์ในยามนี้ ทั้งสามคนจึงฝืนประคองความสัมพันธ์ให้สมดุลและมั่นคงเอาไว้
ทว่าเมื่อนึกถึงเผ่าแมลงมีเขาก็อยู่ใกล้ๆ กันนั้น แน่นอนว่ายิ่งได้สมบัติมาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกว่าเท่านั้น
นี่เกิดขึ้นหลังจากที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนทั้งสองทลายเคล็ดวิชาลวงตา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขตอาคมของตำหนักหลักไม่ธรรมดา ก็ยังคงมีใจอยากทดสอบว่าจะมีโชคหรือไม่
ผลคือพลังของเขตอาคมแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้สามส่วน แค่ประหน้าก็ทำลายสมบัติค้อนเพลิงของสือคุนและสมบัติกระจกของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ไปตามลำดับ
แม้ว่าสมบัติทั้งสองชิ้นจะไม่ใช่สมบัติที่มีพลานุภาพมากที่สุดในมือของพวกนาง แต่ก็เป็นสมบัติที่เรียกใช้บ่อยมากที่สุด เป็นหนึ่งในสมบัติที่ใช้คล่องมือที่สุด
เมื่อถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าย่อมทำให้พวกเขารู้สึกกลัดกลุ้ม นี่ถึงได้เกิดความคิดอยากให้หานลี่เป็นตัวนำในการทำลายเขตอาคมตั้งแต่แรกที่หานลี่ปรากฏตัว
“เซียนหลิว สหายสือ! ข้าน้อยออกแรงมากหน่อยนั้นไม่มีปัญหา แต่พวกท่านอาวุโสไฉ่ให้สหายทั้งสองมาถึงที่นี่ คงเตรียมวิธีการทำลายเขตอาคมโดยเฉพาะมาไม่น้อยสินะ หากต้องการจะทลายเขตอาคมของวิหารแห่งนี้ จะได้ไม่ต้องเสียพลังปราณไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทางที่ดีที่สุดจะได้ทำสำเร็จในคราวเดียว สหายทั้งสองมีสมบัติวิเศษอันใดก็เอาออกมาให้หมดเถิด” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ สือคุนก็มีสีหน้าตกตะลึง
แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เปล่งประกายสว่างวาบ
“ไม่มีปัญหา พี่หานกล่าวเช่นนี้แล้ว น้องหญิงไม่มีทางซ่อนอันใดไว้แน่ ข้ามีอาวุธที่มีผลต่อการทำลายเขตอาคมอยู่ชุดหนึ่ง จะช่วยเต็มแรงอย่างแน่นอน” หลังจากผ่านไปชั่วครู่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
“ผู้แซ่สือเองก็ไม่มีปัญหา ยิ่งได้สมบัติมาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปจัดการธุระของตนเองได้เร็วขึ้นเท่านั้น ข้ายังต้องเตรียมหาที่กักตนเพื่อทะลวงจุดคอขวดอีก ข้าเองก็จะใช้ยันต์ทลายเขตอาคมที่ได้รับมอบมาจากท่านอาจารย์แผ่นหนึ่งด้วย” หลังจากที่สือคุนลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยปากขึ้น
หลังจากที่หานลี่ได้ยินแล้ว ก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา สาวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่ได้เอ่ยอันใดอีก เดินตรงไปที่ตำหนักหลัก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็แยกกันขนาบซ้ายและขวา เดินตามไปด้านหลัง
ในที่สุดทั้งสามคนก็อยู่ห่างจากประตูตำหนักไปแค่สิบกว่าจั้ง แล้วทยอยกันหยุดฝีเท้า
หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนประตูวิหาร ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง
หลังจากที่ผ่านการทลายเขตอาคมในสวนมาแล้ว เขาก็พอจะมั่นใจได้ว่าจะต่อกรกับประจุไฟฟ้าสีม่วงได้อยู่สองสามส่วน
เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าสีม่วงที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน เห็นได้ชัดว่าผู้ที่โจมตีเขตอาคมคนแรก จะต้องเจอกับการโจมตีสะท้อนกลับของสายฟ้านี้
ขอแค่ต้านทานพลังการโจมตีสะท้อนกลับได้ จากนั้นย่อมทำลายเขตอาคมที่ประตูได้ง่ายแล้ว
หลังจากตัดสินใจแล้ว ไอสีดำบนร่างของหานลี่ก็หมุนวนไปมา เกราะมารเหนือฟ้าปรากฏออกมาอีกครั้ง อักขระสีดำปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาร่างกายกว่าครึ่งก็ถูกกลืนกินเข้าไป หลังจากเปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ลำแสงสีทองรอบกายก็เปล่งแสงเจิดจ้า เงาลวงตาสามเศียรหกกรสีทองทะลักออกมาจากด้านหลัง
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมอีกครั้ง เงาลวงตามีลำแสงสีทองหมุนวนโคจร ผิวเปลี่ยนเป็นเปล่งแสงเจิดจ้า ราวกับว่าถูกฉาบไปด้วยทองคำในชั่วพริบตา
“เทวรูปร่างทอง!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับมีความรู้กว้างขวาง เมื่อเห็นรูปร่างของเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ชัดเจน ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
สือคุนหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
อิทธิฤทธิ์ของเทวรูป มีเคล็ดวิชาระดับสูงจำนวนไม่น้อยที่สามารถฝึกฝนจนอยู่ในระดับที่แน่นอนและสามารถผนึกออกมาได้ แต่การผนึกเทวรูปให้มีร่างทอง กลับหาได้น้อยมาก
ไม่เพียงเป็นเพราะคาถาที่เกี่ยวข้องกับมันมีอยู่น้อยมาก ต่อให้หาคาถาชนิดนี้ได้ แต่วัตถุดิบที่ใช้ผนึกร่างทองก็มีอยู่น้อยมาก อีกทั้งยังรวบรวมได้ยาก
หากไม่ใช่เพราะหานลี่บังเอิญมีวาสนาหาวัตถุดิบหลักพบอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่มีหวังว่าจะผนึกได้
แม้ว่ายามนี้จะรู้สึกตกตะลึง แต่อิทธิฤทธิ์ร่างทองนั้นแตกต่างกันมาก หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองเผลอกลั้นลมหายใจอย่างอดไม่ได้ พลางเพ่งมองการกระทำต่อมาของหานลี่
ผลคือหานลี่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งโดยไม่พูดอันใด ภูเขาขนาดย่อมสีดำสนิทลูกหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วโยนออกมา
ยอดเขาเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสิบจั้งเศษ แล้วทุบลงบนประตูตำหนักหลักอย่างแรง
เสียง “ตึงๆ” ดังสนั่นขึ้น เมื่อยอดเขาสัมผัสกับประตูตำหนัก บนประตูพลันมีประจุไฟฟ้าสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วตัดสลับกันไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าผืนหนึ่ง
จากน้ำหนักที่หนักอึ้งของภูเขาเทวะดูดปราณ ถูกตาข่ายสายฟ้าห่อหุ้มเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานเอาไว้ได้ ไม่อาจเคลื่อนตัวไปด้านหน้าได้เลยสักนิด
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ข้างหูพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น อสรพิษสายฟ้าสองสามตัวดีดตัวออกมาจากประตู หลังจากกะพริบวาบ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหานลี่ แล้วกระโจนเข้ามาอย่างดุดัน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น แต่หน้ากลับไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด แค่หรี่ตาทั้งสองข้างลง
ชั่วพริบตาด้านหน้าพลันมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์หายจากด้านหลังแล้วเปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่ตรงหน้า และยิ่งไปกว่านั้นกรทั้งหกพลันเลือนราง ฝ่ามือสีทองโบกสะบัดไปมาอยู่เบื้องหน้า ในเวลาเดียวกันก็ต้านทานอสรพิษสีม่วงสองสามตัวเอาไว้
เห็นเพียงลำแสงสีทองและสายฟ้าสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ ฝ่ามือของร่างทองไม่ได้รับความเสียหายเลยสักนิด
กรทั้งหกพลิกฝ่ามือแล้วตะปบออกมาอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าตะปบไปที่อสรพิษไฟฟ้าสีม่วงพร้อมกัน
หานลี่ร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ นิ้วทั้งห้าของร่างทองออกแรง บีบจนอสรพิษไฟฟ้าระเบิดออก กลายเป็นเส้นไหมสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนสลายหายไปกลางอากาศ
แต่ครู่ต่อมาบนประตูพลันมีประจุไฟฟ้าสีม่วงพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง แต่ก็ถูกร่างทองตะปบเอาไว้เช่นกัน
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็พลันตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจสลับกันไปมา
หลังจากทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง ก็ถือโอกาสนี้ลงมืออย่างไม่ลังเลอีก
สือคุนอ้าปากพ่นยันต์วิเศษสีเงินระยิบระยับออกมาแผ่นหนึ่ง แค่กะพริบวาบก็กลายเป็นลำแสงสีเงินพุ่งไปที่ประตูวิหาร
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันสะบัดแขนเสื้อ ขวานสั้นสีทองเรืองรองสามด้ามพุ่งออกมาพร้อมกัน เปล่งเสียงหวีดร้องแล้วพุ่งออกมา
ลำแสงสีเงินและลำแสงสีทองสามสายไล่ตามกันไป แต่ก็โจมตีไปบนสายฟ้าสีม่วงตรงประตูวิหารแทบจะในเวลาเดียวกัน
ลำแสงวิญญาณสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่ายันต์วิเศษสีเงินจะจมหายเข้าไปท่ามกลางลำแสงสายฟ้าอย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย
หลังจากที่ลำแสงสีทองสามสายส่งเสียงระเบิดออก ขวานสีทองก็สั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะปักอยู่บนตาข่ายไฟฟ้าสีม่วงแน่นเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม
ตาข่ายไฟฟ้าที่มีท่าทีน่าสะพรึงกลัวส่งเสียงร้องครวญพลันหม่นแสงลง อานุภาพของตาข่ายไฟฟ้าถูกขวานสีทองสามด้ามดูดซับไปกว่าครึ่ง ชั่วขณะนั้นอานุภาพพลันลดลงเป็นอย่างมาก
ยามนี้สือคุนบริกรรมคาถา ยกมือขึ้นชี้ไปที่ประตูวิหาร
เสียงอึกทึกดัง “ครืด” ลำแสงสีขาวบนประตูวิหารเปล่งแสงวาวโรจน์ คาดไม่ถึงว่าจะมีดอกบัวลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นดอกหนึ่ง เป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ
ยามแรกมีขนาดแค่เท่ากำปั้น แต่ครู่ต่อมา ก็มีขนาดใหญ่เท่าศีรษะ
’ แม้ว่าประจุไฟฟ้าสีม่วงบนประตูวิหารจะกะพริบวาบๆ ไม่หยุด แต่กลับทำอันใดดอกไม้วิญญาณที่ดูเหมือนเงาลวงตาไม่ได้เลยสักนิด ทำได้เพียงมองดอกบัวดอกนี้ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องตาปริบๆ
สุดท้ายประตูวิหารเกือบครึ่งก็ถูกเงาดอกบัวสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน
“ตูม”
ใบหน้าของสือคุนฉายแววโหดเหี้ยม กระตุ้นคาถาอย่างรุนแรง
สิ้นเสียงนี้ เงาดอกบัวลำแสงพลันสั่นคลอน และระเบิดออกท่ามกลางเสียงดังสนั่น
เห็นเพียงดวงแสงสีขาวราวกับดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นที่ประตูวิหาร ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีขาวก็จมหายไปจากประตูวิหารพร้อมกับตาข่ายสายฟ้าสีม่วงบนพื้นผิว ท่าทางน่าตกตะลึงยิ่ง
ในที่สุดหลังจากที่ลำแสงสีขาวหม่นแสงแล้วจนสลายหายไป ประตูวิหารก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เห็นเพียงบนพื้นผิวของมันมีหลุมโหว่จำนวนนับไม่ถ้วน ท่าทางสะบักสะบอม แต่ประตูบานนี้กลับไม่ได้ถูกทำลาย และยิ่งไปกว่านั้นผิวของมันยังมีลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ บาดแผลทั้งหมดฟื้นฟูกลับมาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ กลับเป็นประจุไฟฟ้าสีม่วงทั้งหมดที่ถูกกวาดออกไปจนเกลี้ยง
ชั่วขณะนั้นภูเขาเทวะดูดปราณพลันกลับมามีอิสระ
หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็กระตุ้นภูเขาวิญญาณอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นพลันเห็นภูเขาเทวะดูดปราณหมุนวนไปด้านหลัง จากนั้นผิวสีเทาขาวก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าอีกครั้ง ฉับพลันนั้นก็โจมตีมาบนประตูวิหารอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่มีการขัดขวางใดๆ ยอดเขาสีดำทุบลงมาบนประตูวิหารอย่างแรง
เสียงดังสนั่นแสบแก้วหูดังขึ้น!
ภายใต้อานุภาพของเขตอาคมที่ลดลง ประตูวิหารถูกอานุภาพของภูเขาเทวะดูดปราณโจมตี ในที่สุดก็ไม่อาจรับการโจมตีได้จนแตกละเอียดออกเป็นเสี่ยงๆ
ยอดเขาสีดำส่งเสียงกรีดร้องออกมา แล้วจมหายเข้าไปในวิหารหลัก
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ สะบัดแขนเสื้อ เทวรูปร่างทองตรงหน้าสลายหายไปอย่างไร้เงา ราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ด้านหลังมีเงาร่างคนเปล่งแสงสว่างวาบ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนชิงกันพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบๆ ก็มาปรากฏตัวที่ประตูวิหารพร้อมกันอย่างลึกลับ
จากนั้นร่างของพวกเขาก็หยุดชะงัก กลับหยุดอยู่ด้านนอกวิหารอย่างไม่ได้นัดหมาย มองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าหลากหลาย คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีแปลกๆ
“พี่สือ ยามที่ท่านอาจารย์มาท่านได้สั่งการไว้อย่างชัดเจนแล้ว จะต้องเอา ‘ยาลูกกลอนวิญญาณสูญ’ ในตำหนักหลักมาให้ได้ ของที่เหลือพี่สือก็เลือกให้ท่านอาวุโสต้วนก็แล้วกัน” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยปากอย่างราบเรียบ