A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1740 ความวุ่นวายของเมืองเมฆา
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1740 ความวุ่นวายของเมืองเมฆา
หานลี่มองเห็นฉากนี้ใบหน้าก็อดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาไม่ได้
แม้จะรู้ว่าอัตราการทะลวงจุดคอขวดอย่างฉับพลันในแดนกว้างเย็นจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่คนทั้งสองกลุ่มต่างก็มีระดับผสานอินทรีย์ปรากฏตัวคนหนึ่ง อัตราส่วนนี้มันเทียบกับแดนวิญญาณแล้วมันน่าตกตะลึงมาก
โชคดีที่แดนกว้างเย็นหมื่นปีจะเปิดสักครั้ง มิเช่นนั้นเกรงว่าแผ่นดินใหญ่ที่เหลือทั้งสองคนไม่อาจเทียบเทียมจำนวนของระดับผสานอินทรีย์ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีได้
ทว่าการที่หานลี่ถูกส่งตัวมาก่อนคนที่เหลือก้าวหนึ่ง ก็ยังรู้สึกสงสัยไม่แน่ใจ
หรือว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ?
เขาอดที่จะรู้สึกกังขาในใจไม่ได้
แน่นอนว่าหานลี่นั้นไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้เกี่ยวข้องกับผลสวรรค์ทมิฬที่ผนึกอยู่ในแขนของเขา
ในฐานะที่เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬของพลังกฎเกณฑ์อีกโลก แม้ว่าจะถูกผนึกอยู่ เมื่อได้รับการขับไล่จากพลังหลักเกณฑ์ของแดนกว้างเย็น ก็ทำให้เขาที่เป็นเจ้านาย แข็งแกร่งกว่าชนต่างเผ่าธรรมดาๆ คนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงถูกส่งตัวออกจากแดนกว้างเย็นเป็นคนแรก
และยามนี้สถานการณ์วุ่นวายตรงหน้า ก็ทำให้ชาวเผ่าเมฆาสวรรค์ที่เพิ่งกลับมาจากแดนกว้างเย็นเหล่านี้ ตกตะลึงจนตาค้าง แทบจะไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง
พวกเขาเพิ่งจะจากมาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เหตุใดสงครามถึงถูกจุดชนวนมาถึงเมืองเมฆาซึ่งเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
ทว่าคนเหล่านี้รอดชีวิตกลับมาจากแดนกว้างเย็นได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนรู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถามหาสาเหตุ ทันใดนั้นผู้ที่ค่อนข้างใจร้อนก็เปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันสำแดงสมบัติออกมา เตรียมเข้าร่วมการต่อสู้กลางอากาศ
แต่ในยามนี้เองฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงมา หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้งก็ปรากฏตัวกลางอากาศต่ำๆ ตรงใจกลางของเขตอาคมทั้งสอง ปรากฏเป็นชายชราที่ดูแล้วไม่เป็นมิตรคนหนึ่ง
เขาสวมเกราะสงครามสีฟ้าอ่อน ดวงตาทั้งสองมีสีเหลืองแกมนิดๆ
“ในที่สุดสหายทุกท่านก็กลับมาแล้ว เพื่อต่อต้านสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่าแมลงมีเขาเหล่าอาวุโสจึงไปต้านทานอยู่ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทว่ายามที่อาวุโสเวิงจากไปได้รับสั่งว่า หากเหล่าสหายถูกส่งตัวกลับมาแล้ว ให้ไปที่ป้อมปราการสะท้านฟ้าของเผ่าหมื่นโบราณ” ชายชราจากเผ่าใดก็สุดจะรู้ได้ ร้องเรียกหานลี่และพวกอย่างร้อนใจ แล้วโยนสิ่งของที่มีรูปร่างเหมือนแผ่นป้ายมาให้แผ่นหนึ่ง จากนั้นลำแสงหลีกหนีก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับไปกลางอากาศ
ชายชราชูมือสองข้างขึ้น ปล่อยเพลิงอัสนีสีแดงสดออกมา ทะลักไปหานักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาที่ถือโอกาสนี้พุ่งเข้ามาหาเขา
ส่วนชาวเผ่าแมลงมีเขาก็ร้องตะโกน เปลวเพลิงสีขาวทะลักออกมาจากร่าง
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ทั้งสองพลันต่อสู้กัน
หานลี่และพวกที่อยู่ด้านล่างได้ยิน ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
แผ่นป้ายถูกชายวัยกลางคนที่เพิ่งพัฒนามาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้น ยกมือขึ้นดูดเข้ามาอยู่ในมือ และใช้จิตสัมผัสตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี พลางโยนไปที่เซียนเย่ว์ที่อยู่กลางเขตอาคมตรงข้าม
“ไม่ผิด เป็นความจริง สหายผู้ที่ถ่ายทอดคำสั่งมา ข้าเองก็รู้จัก เป็นสหายอวี๋ของเผ่ามรกต เขาเป็นอาวุโสผู้คุมกฎ” เซียนเย่ว์มองแผ่นป้ายในมือแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับคนอื่นอย่างมั่นใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ทำตามคำสั่งเถิด คิดดูแล้วท่านอาวุโสเหวิงรับสั่งเช่นนี้ น่าจะมีแผนการอันใด” ชายวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ในคำพูดแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายออกคำสั่งอยู่สามส่วน
ถึงอย่างไรเสียเขาในตอนนี้ก็พัฒนามาอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว สือคุนและพวกที่เดิมอยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมไม่อาจเอามาเปรียบเทียบได้
คนที่เหลือได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น ส่วนใหญ่ล้วนพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นคนที่อยู่ในเขตอาคมก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วบินไปยังเมืองเมฆาจากอีกด้าน
ระหว่างทางแม้ว่าบางครั้งจะพบกับชาวแมลงมีเขามาขวางไว้ แต่ในสถานการณ์นี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นคู่ต่อสู้กับระดับผสานอินทรีย์ชั้นต้นสองคนรวมทั้งระดับหลอมสุญตามากมายได้ จึงทยอยกันถูกโจมตีจนจบชีวิตลงไปอย่างง่ายดาย
หลังจากที่ออกห่างจากเขตอาคมมาได้ระยะหนึ่ง แม้ว่าในเมืองเมฆาจะยังคงวุ่นวาย แต่ชาวเผ่าแมลงมีเขาก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำเภารบเผ่าแมลงมีเขาขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน อสูรรบ นักรบชุดเกราะ แทบจะกระจายตัวอยู่ตามจุดๆ ต่างทั่วเมือง
หานลี่มองเห็นแม้กระทั่งหุ่นเชิดระดับสุดยอดเกือบหมื่นจั้งนอนนิ่งอยู่บนพื้นด้านล่างตัวหนึ่งระหว่างทาง
เดิมที่ควรจะมีร่างกายขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ตรงหน้าราวกับยอดเขาชำรุดก็ไม่ปาน หาจุดที่สมบูรณ์แบบไม่ครบแล้ว
เมื่อเห็นหุ่นเชิดขนาดใหญ่ หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงดวงแสงทรงกลมยักษ์สิบสองลูกที่อยู่รอบๆ เมืองเมฆา
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือหนึ่งในหุ่นเชิดผู้พิทักษ์ทั้งสิบสองตัวของเมืองเมฆา
สิ่งมีชีวิตที่ว่ากันว่ามีพละกำลังเหนือกว่าระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกทำลายจนร่อนลงสู่พื้น เห็นได้ชัดถึงความร้ายกาจของกองทัพเผ่าแมลงมีเขา เดาว่าครั้งนี้คงไม่อาจปกป้องเมืองเมฆาได้แปดเก้าส่วนแล้ว
สิ่งที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยก็คือ ระหว่างทางกลุ่มของเขายังไม่เคยพบกับสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ใดๆ
ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตระดับนี้ของอีกฝ่าย ล้วนหายตัวไปจากเมืองจนเกลี้ยง
หรือว่าสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของทั้งสองฝ่ายล้วนวิ่งออกไปนอกเมืองแล้ว
หานลี่บินไปเงียบๆ ไปพลาง ขบคิดในใจไปพลาง
ระหว่างทางไม่ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์หรือสือคุนล้วนไม่ได้พูดอันใดกับเขา ทำท่าเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากับหานลี่อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนเซียนเย่ว์นอกจากตอนแรกที่รับประกันแผ่นป้ายแล้ว ก็ไม่พูดอันใดอีก ระหว่างนั้นเคยบังเอิญมองหานลี่สองแวบ แต่ก็แค่ฉีกยิ้ม ไม่ได้ถ่ายทอดใดๆ เป็นพิเศษเช่นกัน
หานลี่ทำเป็นไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ กลับเป็นเพราะความวุ่นวายในเมืองเมฆาในยามนี้ ในใจจึงรู้สึกหนักอึ้ง
กองทัพเผ่าแมลงมีเขาโจมตีเข้ามาในเมืองเมฆา ไม่รู้ว่าจะทำให้เรื่องยืมเขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดที่คาดไม่ถึงหรือไม่
เช่นนั้นขณะที่คนทั้งกลุ่มไม่ได้พบการขัดขวางจากสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป ก็ออกจากภูเขาแปดเมฆาในรวดเดียว แม้กระทั่งระหว่างทางยังร่วมมือกันโจมตีสำเภารบสองสามลำและรถศึกร้อยกว่าคันจนพังทลาย
หลังจากมาถึงที่นี่ร่องรอยของชาวเผ่าแมลงมีเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับมองเห็นนักรบชุดเกราะเผ่าเมฆาสวรรค์เป็นกลุ่มๆ อยู่ทั่วทุกหนแห่ง
ท่ามกลางภูเขาวิญญาณแปดลูก ยิ่งมีไอสมบัติพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขตอาคมแผ่ระลอกคลื่นออกมาเป็นชั้นๆ
ท่ามกลางม่านหมอกในบริเวณรอบ ยังมองเห็นรถศึกสีทองสัมฤทธิ์และหุ่นเชิดขนาดยักษ์หลากสีสันเรียงรายอยู่ในนั้น
คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีการป้องกันที่เข้มงวดมาก
หานลี่และพวกรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยถามอันใด นักรบชุดเกราะร้อยกว่าคนก็พุ่งเข้ามาต้อนรับพวกเขา
ผู้นำคือชายร่างใหญ่หน้าดำคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนรู้จักพวกเขาสองสามคน ทันใดนั้นก็เบะปากหัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า “ในที่สุดสหายทุกท่านก็กลับมาจากแดนกว้างเย็นแล้ว ท่านอาวุโสเวิงกำลังรอฟังข่าวทุกท่านอยู่ที่ป้อมปราการสะท้านฟ้า สหายทุกท่านตามข้ามาเถิด!” ชายร่างใหญ่หน้าดำผู้นี้มีกลิ่นอายที่พิเศษมาก แม้กระทั่งหานลี่ยังไม่อาจแยกแยะระดับพลังยุทธ์ของเขาได้ ทำได้เพียงสัมผัสได้รางๆ ว่ามีอิทธิฤทธิ์พิเศษ อานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ที่แท้เป็นท่านอาวุโสปิ่ง พวกเราจะกล้ารบกวนท่านอาวุโสให้รออีกครั้งได้อย่างไร” เซียนเย่ว์และชายวัยกลางคนที่เพิ่งพัฒนาขึ้นไปอยู่ระดับผสานอินทรีย์เห็นชายร่างใหญ่หน้าดำ กลับร้องอุทานออกมา รีบร้อนเข้ามาทำความเคารพทันที
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกคนอื่นๆ อาศัยอยู่ในเมืองเมฆาอย่างถาวร ต่างก็เข้ามาคารวะพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน
หานลี่ขมวดคิ้วตามความรู้สึก แต่ก็คารวะอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สหายเย่ว์และสหายหนิงพัฒนาระดับขั้นแล้ว วันข้างหน้าก็มีศักดิ์เท่าเทียมกันกับข้าน้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนั้น ทุกท่านตามข้าไปคารวะท่านอาวุโสเวิงเถิด!” ชายร่างใหญ่กลับโบกมือให้เซียนเย่ว์และพวกทั้งสองที่พัฒนาระดับขั้นแล้วพลางหัวเราะคิกคัก
“อาวุโสเวิงอยู่ในป้อมปราการหรือ!” ชายวัยกลางคนแซ่อี๋พลันตกตะลึง จากนั้นก็รู้สึกดีใจ
คนอื่นๆ ก็ทยอยกันผ่อนคลายลง
ในเมื่ออาวุโสเผ่าเมฆาสวรรค์ระดับมหายานผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่ คิดดูแล้วถึงสถานการณ์จะเลวร้าย แต่ก็ไม่มีทางเลวร้ายมาก
ชายร่างใหญ่หน้าดำพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอันใดอีก พลางบินนำทางไปยังยอดเขาแห่งหนึ่ง
หลังจากที่หานลี่และพวกไล่ตามหลังไปติดๆ นักรบชุดเกราะร้อยกว่าคนก็แบ่งออกเป็นสองแถว คอยคุ้มกันทั้งซ้ายและขวา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่ทุกคนผ่านยอดเขาสูงใหญ่มา ป้อมปราการขนาดสองสามลี้ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
ป้อมปราการเมืองแห่งนี้ถูกกำแพงสูงล้อมเอาไว้ บนกำแพงเมืองมีรูปปั้นสีเงินขาวนั่งยองๆ อยู่ รูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีทั้งอสูร ทั้งมีมนุษย์ หนึ่งในนั้นที่ใหญ่หน่อยก็มีขนาดร้อยกว่าจั้ง เล็กหน่อยก็มีขนาดเจ็ดแปดจั้ง ทุกตัวล้วนแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับมีจิตสังหารประหลาดแผ่ออกมาจากเรือนร่างของพวกมัน
เหนือหัวเมืองมีนักรบชุดเกราะสีเขียวถือขวานยาวเรียงแถวอยู่ กำลังลาดตระเวนอย่างเป็นระเบียบ แต่บนเรือนร่างกลับไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดร่างมนุษย์
และบริเวณใกล้เคียงกับป้อมปราการเมืองยังมีหุ่นเชิดธาตุทองสูงเกือบสองสามร้อยจั้งสิบกว่าตัว ถือดาบและกระบี่ยืนสูงตระหง่านอยู่ตรงนั้น
กลางอากาศต่ำๆ ของป้อมปราการเมืองมีเขตอาคมลำแสงประหลาดกว้างห้าสิบหกสิบจั้ง เปล่งแสงระยิบระยับ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ลึกลับอันใด
นี่คือป้อมปราการเมืองหมื่นโบราณที่หานลี่เคยมาครั้งหนึ่ง
ที่นี่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของเผ่าหมื่นโบราณของเมืองเมฆา แต่ยามนี้ลำแสงหลีกหนีจำนวนมากต่างบินเข้าออกจากป้อมปราการเมือง แบ่งออกเป็นเผ่าต่างๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางการรับและออกคำสั่งชั่วคราว
มีชายร่างใหญ่หน้าดำเป็นผู้นำ หานลี่และพวกจึงร่อนลงตรงหน้าวิหารสะท้านฟ้า จากนั้นผู้พิทักษ์สวมชุดสีขาวสองคนตรงหน้าประตูก็กวาดตามา แล้วทยอยกันเข้าไปในวิหาร
ผู้คนในวิหารมีไม่มากนัก มีแค่สามคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าราบเรียบ นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของเผ่าเมฆาสวรรค์ผู้นั้น ชายหนุ่มแซ่เวิง
สองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง กลับมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสุญตา ใบหน้าล้วนเผยสีหน้าเคารพนบน้อมออกมาขณะรับฟังคำสั่งจากชายหนุ่ม
“คารวะท่านอาวุโสสูงสุด!”
เซียนเย่ว์และชายวัยกลางคนเข้ามาในวิหาร ก็พาคนอื่นๆ เข้ามาทำความเคารพทันที
“อ๋อ พวกเจ้ากลับมาแล้ว ไม่เลวๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีสองคนที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ลุกขึ้นเถิด” ชายหนุ่มเห็นเซียนเย่ว์และชายวัยกลางแซ่อี๋ แววตาก็เปล่งประกายเล็กน้อย มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
เซียนเย่ว์และพวกย่อมยืนขึ้นตามคำสั่ง
ส่วนสายตาของชายหนุ่มแซ่เวิงเพิ่งจะกวาดมาบนเรือนร่างของคนอื่นๆ
หานลี่รู้สึกว่าไม่รู้ตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า หลังจากที่อีกฝ่ายมองตนแล้ว รอยยิ้มตรงหางตาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่ายามที่มองเซียนเย่ว์และชายหนุ่มแซ่อี๋หนึ่งส่วน
เมื่อขบคิดว่าตอนแรกอีกฝ่ายมอบ “ตราประทับเทียนกัง” ให้อย่างไม่มีเหตุมีผล ก็ทำให้หานลี่รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
โชคดีหลังจากที่ชายหนุ่มมองหานลี่แวบหนึ่งแล้ว ก็เลื่อนสายตาออก จากนั้นก็โบกมือให้คนข้างๆ ทั้งสองคน
ชั่วขณะนั้นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาสองคนก็กล่าวลาอย่างรู้จักวางตัวทันที