A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1765 ระดับมหายานของทั้งสองเผ่า
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1765 ระดับมหายานของทั้งสองเผ่า
“ในเมื่อทางอาวุโสไม่มีความคิดเห็น ฉะนั้นชนรุ่นหลังก็จะไปรวมตัวกับท่านอาวุโสให้ตรงเวลา นอกจากนี้ชนรุ่นหลังมีนามว่าสวี่เชียนอวี่ วันหน้าท่านอาวุโสเรียกชื่อของชนรุ่นหลังก็ได้แล้วเจ้าค่ะ ต่อหน้าท่านอาวุโสชนรุ่นหลังมิกล้าเรียกตัวเองว่าเซียน” สวี่เชียนอวี่ก้มหน้าลงพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ฮ่าๆ สหายเชียนอวี่เหตุใดต้องเก้อเขินเพียงนั้น” หานลี่ได้ฟังแล้วพลันตกตะลึง แต่ก็สั่นศีรษะแล้วฉีกยิ้มทันที
จากนี้หญิงสาวไม่ได้รั้งรออยู่ที่หานลี่อีก ไม่นานก็ขอตัวลา
แม้ว่าจะมีเวลาสองวัน ถ้ำพำนักเองก็อยู่ใกล้ๆ เมืองเทวะสวรรค์ แต่การไปมาก็ยังคงต้องเสียเวลาไม่น้อย
เซียนผู้นี้จึงมิกล้าล่าช้า
หานลี่จึงวิ่งไปที่พักของนักปราชญ์และพวกอีกครั้ง หลังจากตัดวัตถุดิบที่ซื้อมาได้แล้วทิ้งไป ก็ส่งรายการที่เหลือให้ทั้งสี่คน
จากนั้นเขาก็กลับไปยังหอรวมเซียน ไม่ได้ออกจากหอคอยอีก
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ในห้องลับแห่งหนึ่งของเมืองเทวะสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพียรห้าหกคนกำลังมารวมตัวกัน และกำลังปรึกษาเรื่องลับๆ กันอยู่
“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่มีทางจะเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์เลยสินะ” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวหน้าตาอ่อนโยนเรือนผมสีเงินพลันขมวดคิ้วขณะเอ่ย
“อาวุโสกู่ อาตมาพยายามเต็มที่แล้ว แต่สหายหานผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อใฝ่หาหนทางแห่งการบรรลุ ไม่มีความคิดจะเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดๆ” ภิกษุชราสวมจีวรสีทองอีกคนหนึ่งถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ
นั่นก็คือภิกษุจินเย่ว์ผู้นั้น!
และไม่ว่าชายชราชุดขาวหรือว่าคนอื่นๆ ก็มีท่าทีไม่ธรรมดาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เช่นเดียวกันกับภิกษุจินเย่ว์
แน่นอนว่าคนพวกนี้คืออาวุโสของสมาคมอาวุโสแห่งเมืองเทวะสวรรค์
“หากเป็นเช่นนั้น กำลังของเมืองเราจะไม่ลดลงหรือ ไม่อาจเพิ่มจำนวนอาวุโสให้ครบสิบคนได้? ก่อนที่ชนต่างเผ่าจะทำสงคราม สมาคมอาวุโสของพวกเราไม่เพียงจะมีสิบคนครบ แม้กระทั่งยังมีสหายอิ๋นกวง อาวุโสสำรองที่คนภายนอกไม่รู้อีก ยามนี้เมืองเทวะสวรรค์เป็นเช่นนั้น หากภัยพิบัติมาถึง เผ่ามารเหล่านั้นตีโอบล้อมจุดสำคัญ จะไม่ยิ่งแย่หรือ เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมหนังสีดำ สีหน้าเหลืองทองเอ่ยอย่างเย็นชา
“ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจักรพรรดิป้า จักรพรรดิเซิ่งรวมทั้งราชาปีศาจทั้งเจ็ดของเผ่าปีศาจ ก็ไม่มีทางปล่อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์ ผู้ใดต่างก็รู้ว่าแดนมารย่างกรายมาถึงย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงได้ บางทีอาจเป็นเพราะพันปีนี้พวกเขากำลังรวบรวมกำลังอยู่ และมองหาแผนป้องกันตัวเอง ถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารครั้งที่แล้ว แม้จะเกิดขึ้นแค่ร้อยกว่าปี แต่สามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจในอดีตก็แทบจะเพลี่ยงพล้ำไปกว่าครึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อยากเดินตามรอย” ภิกษุจินเย่ว์ตอบกลับอย่างจนปัญญา
“สหายจินเย่ว์ เจ้ามั่นใจได้หรือไม่ว่าแดนมารจะหลอมเข้ากับแดนวิญญาณอีกครั้งในอีกพันปี” หญิงสาวสวมหน้ากากสีเงินเรือนผมเต็มไปด้วยเส้นไหมสีเขียวอีกคนหนึ่งพลันเอ่ยปากขึ้น แต่น้ำเสียงไพเราะเป็นอย่างมาก
“ไม่ผิดแน่ ไม่ใช่แค่คำเตือนจากเซิ่งเต่า ใต้เท้าม่อเจี่ยนหลีก็ลองเสี่ยงใช้จานดาราเข้าไปในแดนมารเที่ยงแท้ครั้งหนึ่ง ผลคือมารโบราณในแดนมารกำลังเตรียมพร้อมรบ เพื่อรุกรานแดนวิญญาณของพวกเรา น่าเสียดายท่านอาวุโสม่อไม่ทันได้ตรวจสอบให้ละเอียดก็ถูกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ในแดนมารพบเข้า จึงจำใจต้องถูกบีบให้กลับมาที่แดนวิญญาณ จากสถานการณ์นี้ อาจจะไม่ถึงพันปี ภายในสองสามร้อยปี แดนมารอาจจะลงมาจุติ เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจและเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงจะถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งในดินแดนมาร หายนะครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” หลังจากที่ภิกษุจินเย่ว์หางตากระตุกสองสามครา ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อเป็นคำพูดของเซิ่งเต่าและใต้เท้าม่อ ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ เช่นนั้นสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจรวมทั้งขุมอำนาจที่ค่อนข้างใหญ่อื่นๆ ก็ได้รับข่าวคราวนี้ ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมช่วยสมาคมอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวลูบเครา แล้วหรี่ตาขณะเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้นแน่นอน ในเมื่อยามที่เคราะห์มารลงมา เผ่าไม้ สามง่ามราตรีและเผ่าประหลาดอื่นๆ ต่างก็ได้รับผลกระทบ จะต้องเก็บกำลังไว้เช่นกัน ไม่มีทางโจมตีสองเผ่าอย่างพวกเราแล้วแน่ เช่นนั้นล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีทางลดกำลังอย่างเปล่าประโยชน์ จะได้ใช้ปกป้องตัวเอง ถึงอย่างไรเสียการคุ้มครองเขตอาคมของทั้งสองเผ่า ก็ไม่มีผลกับการลงมาจุติของแดนมาร ตอนแรกที่สามเขตเจ็ดดินแดนสร้างขึ้นก็เพราะจะใช้รับมือกับหายนะมารสองสามหมื่นปีครั้ง ความจริงแล้วหลังจากที่ชนต่างเผ่ามาโจมตีเมืองครั้งที่แล้ว เมืองของเราไม่เพียงไม่มีอาวุโสระดับผสานอินทรีย์มาเข้าร่วม ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์ระดับหลอมสุญตา เทพแปลง ก็มาสมทบไม่เท่าไหร่ ยามนี้กำลังคนเหล่านั้นยังมาจากที่สมาคมอาวุโสของพวกเราส่งคนไปรับสมัครทั่วหล้า” หญิงสาวสวมหน้ากากเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ชนต่างเผ่าล้อมโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราก่อนหน้านี้ ก็สูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย หากไม่มีสมาชิกมาสมทบ ในสภาวะที่เคราะห์มารใกล้เข้ามา ก็ทำได้เพียงต้องรักษาตัวเองเท่านั้น ไม่อาจใช้กำลังคนไปล้อมเผ่ามารก่อนเหมือนครั้งที่แล้วได้” หญิงสาวผมสีม่วงดุจเปลวเพลิง ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ย
“นั่นก็ทำอันใดไม่ได้ ความน่ากลัวของหายนะมาร สำหรับเซียนอย่างพวกเราแล้ว ช่างเป็นหายนะครั้งใหญ่จริงๆ โชคดีที่เผ่ามารเหล่านั้นไม่สนใจเผ่ามนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณ แค่พยายามแย่งชิงทรัพยากรของแดนวิญญาณ และสังหารเทพเซียนอย่างพวกเราเท่านั้น ไม่ค่อยทำการสังหารคนธรรมดาและสัตว์ใดๆ มิเช่นนั้นทุกๆ หมื่นปีมีเคราะห์มารครั้งหนึ่ง เกรงว่าเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเราคงถูกกำจัดไปจากแดนวิญญาณตั้งนานแล้ว” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หึ นี่ไม่ใช่เพราะเผ่ามารใจดี เกรงว่าพวกเขาคงคิดว่าคนธรรมดาและสัตว์เป็นแค่ลูกแกะและวัว ทำให้พวกเขาเติบโตต่อไปกลายเป็นเซียนอย่างพวกเรา แล้วจะได้สร้างหายนะมารในครั้งต่อไป ทำให้พวกเขาได้ทำการสังหารอีกครั้ง ถึงอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าแก่นปีศาจหรือว่าทารกวิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ก็เป็นสิ่งชดเชยที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเผ่ามาร” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยอย่างแช่มช้า แต่แววตาพลันฉายแววเย็นเยียบ
“และยิ่งไปกว่านั้นทรัพยากรบางอย่าง ทั้งสองเผ่าของพวกเราก็ไม่อาจละทิ้งได้ มิเช่นนั้นขอแค่รักษาการณ์ไว้ ขวางแดนมารจากปราณแท้ของแดนวิญญาณ” หญิงสาวผมสีม่วงเอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“ในเมื่อเคราะห์มารครั้งนี้ ขุมอำนาจอื่นมีความเห็นอื่น เมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราก็ไม่อาจบีบบังคับได้ และทำได้เพียงรักษาชีวิตตนไว้ก่อนเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ถอนเขตอาคมเมืองในสังกัดของพวกเราออกเถิด แล้วย้ายคนธรรมดาในละแวกเข้ามาอยู่ในเมือง นอกจากนี้ให้ส่งผู้บำเพ็ญเพียรที่มีเคล็ดวิชาธาตุธรณีไปซ่อมแซมเมืองที่ว่างเปล่า สิ่งที่พวกเราทำได้ก็แค่คุ้มครองดินแดนของคนธรรมดาละแวกนี้เท่านั้น” ชายชราชุดขาวใช้นิ้วเคาะไปที่เก้าอี้สองสามครั้งแล้วเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“ยังอยู่ห่างจากหายนะมารอีกไกล แต่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า แม้ว่าพวกเราจะมีเขตอาคมต้องห้ามเป็นที่พึ่ง แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือรับสมัครผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ถึงอย่างไรเสียหายนะครั้งนี้ สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวที่ระเบิดลูกแรกสองสามลูก ขอแค่ต้านทานได้ เผ่ามารเหล่านั้นก็สู้จนตัวตายแน่ กว่าครึ่งคงต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน สหายเป้า สองสามร้อยปีนี้เผ่าของเราคงไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้อีกแล้ว กลับเป็นเผ่าปีศาจของพวกเจ้าที่ว่ากันว่ามีคนกำลังทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ต้องรบกวนสหายคอยตรวจสอบแล้ว” ชายชราสวมชุดสีขาวหันหน้ามา ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับชายร่างใหญ่สีหน้าเหลืองทอง
“ไม่มีปัญหา ในเผ่าราชาปีศาจของพวกเรา มีกองหลังที่มีพรสวรรค์อยู่จริงๆ และหวังว่าจะมีคนพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้อีก” ชายร่างใหญ่หน้าทองพยักหน้า แล้วตอบด้วยเสียงเคร่งขรึม
“พูดถึงสหายร่วมวิถีเผ่าปีศาจ สหายอิ๋นกวง มีคำหนึ่ง ผู้แซ่กู่ไม่ทราบว่าควรถามหรือไม่” ชายชราสวมชุดสีขาวลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามหญิงสาวสวมหน้ากากผู้นั้น
“ข้าและพี่กู่รู้จักกันมาหลายปี มีอันใดที่ไม่ควรถามกัน” หญิงสาวสวมหน้ากากรู้สึกประหลาดใจ
“ในเมื่อเซียนกล่าวเช่นนี้ ตาเฒ่าก็จะถามตรงๆ ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวของตระกูลท่าน ยามนี้ยังสบายดีอยู่หรือไม่” ชายชราชุดขาวมองหญิงสาวเขม็ง แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“อ๋อ ข้าจะทำอย่างไรดี ที่แท้พี่กู่ก็กังวลเรื่องบรรพชนเอ๋าเสี้ยว ทว่าอาวุโสของเผ่าปีศาจที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีแค่ข้าเพียงคนเดียว เหตุใดสหายต้องถามข้าด้วย” หญิงสาวสวมหน้ากากพลันตกตะลึง แต่หลังจากกวาดสายตาไปที่ชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำแวบหนึ่ง ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
“เหตุใดเซียนอิ๋นกวงต้องถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว! แม้ว่าเซียนจะไม่ได้ต้นกำเนิดจากเผ่าหมาป่าอิ๋นเย่ว์ แต่ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขส่วนหนึ่งจากเผ่าหมาป่าอิ๋นเย่ว์ ตอนนั้นยังเคยปกป้องสำนักของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวอยู่เป็นพันปี หากจะบอกว่าผู้ใดรู้สถานการณ์ของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวมากที่สุด ย่อมมีแค่สหาย” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายเยียนพูดไม่ผิด ไม่ปิดบังสหายอิ๋นกวง สามพันปีก่อนท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวเคยเผยร่องรอยที่ภูเขาเมฆายักษ์ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีก ยามนี้เคราะห์มารใกล้เข้ามาแล้ว ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่มีชื่อเสียงทั้งสองของเผ่ามนุษย์และปีศาจ พวกเราย่อมต้องกังวลใจอยู่แล้ว” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวเอ่ยถามอย่างจริงจัง
ฟังจากคำพูดของชายชรา คนอื่นๆ เองก็จ้องเขม็งไปที่หญิงสาวสวมหน้ากากเขม็งด้วยแววตาเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่ากังวลใจเช่นกัน
ส่วนหญิงสาวสวมหน้ากาก แววตาพลันฉายความลังเลแวบผ่าน หลังจากครุ่นคิดแล้วถึงได้ตอบกลับอย่างจนปัญญา
“ข้ารู้ว่าทุกท่านกังวลใจ แน่นอนว่าเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเรามีอยู่แค่ไม่กี่คนที่ผ่านเคราะห์สวรรค์มากกว่ายี่สิบครั้งได้ตั้งแต่ที่ก่อตั้งแดนวิญญาณขึ้นมา ส่วนบรรพชนนั้นก็ผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งที่ยี่สิบเอ็ดเมื่อนานมาแล้ว สหายจำนวนไม่น้อยจึงกังวลใจมาก ถึงอย่างไรเสียทั้งสองเผ่าก็มีท่านบรรพชนและท่านอาวุโสม่อที่เป็นดุจเข็มเทพใต้ท้องทะเล ถึงได้ปกป้องทั้งสองเผ่าของเราให้มั่นคงได้ สหายโปรดวางใจ ท่านบรรพชนเอ๋าเสี้ยวไม่ได้เพลี่ยงพล้ำไปจากเคราะห์สวรรค์ครั้งที่แล้ว แค่สูญเสียปราณแท้ไปเล็กน้อยยามที่ฟาดเคราะห์สวรรค์เท่านั้น ถึงได้กักตนบำเพ็ญเพียรอยู่”
“เป็นความจริงหรือ!” ชั่วขณะนั้นชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำพลันเผยความดีอกดีใจขึ้นมา
อาวุโสเผ่าปีศาจเช่นกัน แน่นอนว่าเขาย่อมกังวลเรื่องของท่านบรรพชนระดับมหายานผู้นี้เสียยิ่งกว่าชายชราชุดขาว
ชายชราชุดขาวและภิกษุชราต่างก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“สองสามร้อยปีก่อน ข้ายังได้พบกับเซียนหลิงหลงที่คอยอยู่ข้างกายท่านบรรพชนมาโดยตลอด ว่ากันว่าท่านบรรพชนฟื้นฟูได้อย่างราบรื่น หลังจากนี้ไม่นานน่าจะฟื้นฟูพลังปราณได้เต็มที่และออกจากกักตนแล้ว” หญิงสาวสวมหน้ากากเอ่ยด้วยความมั่นใจ