A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1777 ไป๋กั่วเอ๋อร์
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1777 ไป๋กั่วเอ๋อร์
อีกสองสามเดือนก่อนวันเปิดงานชุมนุมอย่างเป็นทางการ แต่ภูเขาเก้าเซียนกลับมีนักบวชและปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรจากสามเขตและเจ็ดแดนปีศาจมารวมตัวกันนับไม่ถ้วน
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถขึ้นไปยังภูเขาได้ แต่รอบๆ ภูเขาก็มีย่านร้านค้าน้อยใหญ่ก่อตัวขึ้นสิบกว่าแห่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากหน้าหลายตาปรากฏตัวขึ้นในย่านร้านค้าเหล่านี้ วัตถุดิบสมุนไพรวิญญาณที่หายากก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างชุกชุม และมักจะขายหมดได้อย่างรวดเร็ว
โดยปกติแล้ว จะไม่พบมนุษย์และปีศาจต่างๆ ในย่านร้านค้าเหล่านี้
แม้ว่าจำนวนเผ่าปีศาจที่เข้ามายังย่านร้านค้าเหล่านี้จะมีน้อยกว่าจำนวนมนุษย์อยู่มาก แต่เผ่าปีศาจที่กล้าเข้ามากว่าครึ่งนั้นล้วนแต่เป็นปีศาจแปลงกายระดับสูง
ดังนั้นในเรื่องของพลังที่แท้จริง เผ่าปีศาจในย่านนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเผ่ามนุษย์เลย ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่ค่อยมีฉากที่อีกเผ่าหนึ่งข่มเหงอีกเผ่าหนึ่งได้ปรากฏขึ้นง่ายๆ
แน่นอนว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอย่างนั้น
ย่านร้านค้าเหล่านี้ไม่ใช่สถานที่จัดงานอย่างเป็นทางการของงานหมื่นสมบัติ เป็นเพียงร้านชั่วคราว จึงไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอันใด
แม้ว่าจะมีหน่วยคุ้มกันซึ่งส่งมาจากเขาเก้าเซียนมาลาดตระเวนในย่านนี้ แต่ก็รักษาความสงบได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
ผู้ที่อ่อนแอกว่ามักถูกบังคับให้ซื้อและขายสินค้าตามมุบอับต่างๆ ของย่านนี้อยู่เป็นประจำ
วันนี้บนภูเขารกร้างที่อยู่ห่างไกลจากเขาเก้าเซียนพลันมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนรูปร่างซูบผอมคนหนึ่งและเด็กหญิงวัยเพียงวัยสิบเอ็ดถึงสิบสองปีอีกหนึ่งคน โดนล้อมไว้ทั้งสามด้านโดยชายท่าทางอำมหิตสามคนในชุดดำ
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนนั้นมีพลังยุทธ์เพียงระดับสร้างปราณขั้นกลาง และเด็กสาวก็มีพลังยุทธ์เพียงระดับฝึกปราณขั้นที่สามถึงสี่เท่านั้น ส่วนผู้ที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ กลับมีพลังยุทธ์ระดับสร้างปราณขั้นปลาย และพวกนั้นล้วนเผยสีหน้าที่เกรี้ยวโกรธออกมา
“ไป่ฮว่าจี๋ ส่งโสมโลหิตพันปีมา หากเจ้ายังขัดขืน ข้าสามพี่น้องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าพ่อลูกไปแน่ และยังจะจ่ายศิลาวิญญาณให้เจ้าสักหน่อย มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าผู้แซ่สือจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต” ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีอายุมากที่สุดในชายชุดดำสามคน เอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา
“สือหลุน ผู้แซ่ไป๋มองคนไม่ออก ถูกเจ้าหลอกมาที่นี่ ก็นับว่าโชคร้ายแล้ว แต่อยากได้โสมโลหิตล่ะก็ ต้องให้บุตรสาวของข้าไปจากที่นี่เสียก่อน มิเช่นนั้น ข้ายอมทำลายโสมโลหิต ไม่มีทางมอบให้เจ้าแน่” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมผู้นั้นมีใบหน้าซีดเซียว แต่กลับไม่ได้ลนลาน พลิกฝ่ามือฉับพลันนั้นพลันหยิบกล่องผ้าไหมออกมาจากในแขนเสื้อ มืออีกข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางกดลงไปบนกล่อง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความโมโห
ชายชุดดำทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
“ไม่ได้ หากเจ้าไม่ส่งโสมโลหิตมาก่อน ผู้ใดก็อย่าคิดจะหนีไป” ชายร่างใหญ่สวมชุดดำอีกคนหนึ่งปฏิเสธอย่างไม่ต้องขบคิด
“หึ ผู้แซ่ไป๋จะรู้ได้อย่างไรว่า หลังจากที่พวกเจ้าสามคนได้โสมโลหิตไปแล้วจะทำร้ายพวกเราพ่อลูกหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงการสาบานอันใดพวกนั้น คำสาบานของพวกเจ้าสามคน ข้าไม่มีทางเชื่อแน่” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอ่ยอย่างเย็นชา สีหน้าเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่าคิด…”
“ได้ ผู้แซ่สือตกลง!”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำปฏิเสธ และยังคิดจะเอ่ยคำพูดข่มขู่ แต่กลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรนามว่าสือหลุนตัดบทตอบตกลงด้วยสีหน้าดำคล้ำ
“พี่สือ เจ้า…”
“อันใด พวกเจ้าไม่ยอมฟังคำพูดของพี่สือหรือ” สือหลุนเหลือบมองที่เหลือทั้งสองคนแวบหนึ่ง แววตาโหดเหี้ยมเย็นชา
“ไม่ พวกเราจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เอาตามที่พี่สือว่า ปล่อยเด็กคนนั้นไป!” ผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดดำอีกสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางหวาดกลัวสือหลุนเป็นอย่างมาก จึงทำได้เพียงยอมตกลง
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเห็นฉากนี้ก็รู้สึกดีใจ
“เจ้าได้ยินคำพูดของเราทั้งสามแล้ว ให้แม่หนูผู้นั้นไปได้ แต่หากเจ้ามาเสียใจภายหลังหรือก่อเรื่องอันใด จุดจบจะเป็นอย่างไร ก็น่าจะรู้ดี!” สือหลุนเอ่ยข่มขู่ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
“วางใจ ผู้แซ่ไป๋แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของยัยหนูเท่านั้น ขอแค่ยัยหนูปลอดภัย โสมโลหิตต้นนี้ก็ไม่มีค่าอันใด” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ไม่ ท่านพ่อ กั่วเอ๋อร์ไม่อยากไปเพียงลำพัง!” เด็กหญิงผู้นั้นมีผิวขาวนวล ราวกับเซียนเด็กในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น แต่ยามนี้มือกับคว้าส่วนบนของเสื้อคอจีนของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอาไว้ แล้วพลันสั่นศีรษะไม่หยุด
“เด็กโง่ เจ้าไปถึงจะไปหาคุณยายของเจ้าที่ย่านร้านค้าได้ เช่นนั้นถึงจะกลับมาช่วยบิดาได้” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี ริมฝีปากขยับเบาๆ แล้วถ่ายทอดเสียงให้เด็กหญิงอย่างรวดเร็ว
เด็กหญิงพลันตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างสุดชีวิต
“เอาล่ะ ยังไม่รีบไปอีก หากยังไม่ไป ผู้แซ่สือจะเปลี่ยนใจล่ะนะ” สือหลุนกลับดูเหมือนจะทนรอต่อไปไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมออกมา
เด็กหญิงได้ฟังพลันตกตะลึง แต่แม้ว่าจะอายุยังน้อย ก็ยังเข้าใจว่าเรื่องใดสำคัญกว่าได้อย่างรวดเร็ว
นางมองผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอย่างอาลัยอาวรณ์แวบหนึ่ง โบกมือเล็กน้อย ในมือมียันต์สีขาวปรากฏขึ้น หลังจากแปะไปบนร่าง ผิวของนางก็มีลำแสงสีขาวลอยออกมา หมายจะหนีไปให้ไกลทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนใช้สองมือคว้ากล่องไหมเอาไว้แน่น ดวงตาจ้องการเคลื่อนไหวของบุตรสาวอันเป็นที่รักด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำทั้งสามไม่เคลื่อนไหว เด็กหญิงนามว่ากั่วเอ๋อร์ก็แฉลบผ่านข้างกายของสือหลุนไป เขาอดที่จะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้
แต่ในยามนั้นเอง ความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้น!
เด็กหญิงเพิ่งจะอยู่ห่างจากสือหลุนไปได้แค่สองสามจั้ง แววตาของสือหลุนพลันฉายแววโหดเหี้ยม โบกมือทันที คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาสีดำสายหนึ่งตะปบไปด้านหลัง
“เหวอ”
เด็กหญิงร้องอุทานออกมา ไม่อาจต้านทานการตะปบของเงาสีดำได้เลยสักนิด
จากนั้นพลันลากให้ร่างของเด็กหญิงพุ่งกลับมา แล้วตกอยู่ในมือของสือหลุน
ฝ่ามือสีดำเปล่งประกาย คว้าลำคอขาวนวลของเด็กผู้หญิงเอาไว้แน่น
“สือหลุน เจ้าจะทำอันใด! ไม่กลัวข้าทำลายโสมโลหิตหรือ!” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ย่อมทั้งตกตะลึงระคนโกรธขึ้ง สองมือเปล่งประกายกดเข้าหากัน แล้วร้องตะโกนเสียงเหี้ยม
“ทำลาย เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหักคอเด็กหญิงผู้นี้หรือ! อย่าพล่ามให้มากความ ส่งกล่องมา ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าไม่ลงมือ ข้าจะลงมือ! หนึ่ง สอง…” สือหลุนไม่สนใจคำพูดของข่มขู่ของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเลยสักนิด กลับกดนิ้วทั้งห้า ทำให้ใบหน้าของเด็กหญิงแดงก่ำ ในเวลาเดียวกันก็นับถอยหลังอย่างเย็นชา ไม่ให้โอกาสผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนได้ตั้งตัว
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่เหลืออีกสองคนเห็นฉากนี้ก็ฉีกยิ้มเบิกบาน ถึงได้รู้ว่าสหายร่วมวิถีของตนไม่คิดจะปล่อยเด็กหญิงผู้นี้ไปตั้งแต่แรก แค่หาอุบายมาข่มขู่อีกฝ่ายเท่านั้น
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนแม้ว่าจะมีปฏิภาณไหวพริบ เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ก็ตัวสั่นเทา ในหัวเกิดความคิดวุ่นวายไปหมด เมื่อเห็นสือหลุนจะเอ่ยคำว่าสาม เขาก็แทบจะโยนกล่องไหมในมือออกไปตามจิตสำนึกด้วยความลนลาน
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งหัวเราะร่าพลางก้าวมาข้างหน้า ใช้มือหนึ่งตะปบออกไป
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นกล่องไหมพลันถูกดูดเข้ามา
“ตรวจสอบ ดูว่าด้านในใช่โสมโลหิตต้นนั้นหรือไม่!” สือหลุนออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ขอรับ พี่สือ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถือกล่องไหมผู้นั้นตอบตกลง จากนั้นก็ขยับมือ เปิดฝากล่องไหมทันที
เห็นเพียงด้านในมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ โสมที่มีสีโลหิตแวววาวความยาวสองสามฉื่อ วางอยู่ในกล่องนั้น
“พี่สือ ไม่ผิด เป็นโสมโลหิตจริงๆ!” ผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดสีดำเบิกตากว้าง พลางตอบกลับสือหลุน
สือหลุนและผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอีกคนหนึ่งได้ยิน ก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา
“เอาล่ะ พวกเจ้าได้โสมโลหิตไปแล้ว ก็ควรจะปล่อยยัยหนูได้แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนมีสีหน้าซีดขาว กัดฟัน เอ่ยถามอย่างเย็นชา
“หึ ปล่อยพวกเจ้าไป จากนั้นก็ให้ไปหา ‘เซียนเย่ว์หัว’ มาหาเรื่องพวกเราน่ะหรือ!” สือหลุนได้ยินคำนี้กลับแค่นเสียง เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
“พวกเจ้ารู้จักแม่บุญธรรมของผู้แซ่ไป๋ แล้วยังกล้าลงมืออีกหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าหากไม่ตรวจสอบฐานะของเจ้า ผู้แซ่สือและพวกจะกล้าลงมือหรือ แม้ว่าพวกเราสามคนจะไม่อยากหาเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมคนหนึ่ง แต่ผู้ใดให้เจ้าพกโสมโลหิตเอาไว้ มีโสมโลหิตต้นหนึ่ง พวกเราก็จะผนึกระดับหลอมรวมได้แล้ว เหตุใดต้องหวาดกลัวเซียนเย่ว์หัว และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าและบุตรสาวทั้งสองก็ต้องตายอย่างไร้ศพ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเราสามคนเป็นคนทำ เอาล่ะ ข้าขี้เกียจจะพูดพล่ามไร้สาระกับเจ้าแล้ว ลงมือ!” หลังจากที่สือหลุนหัวเราะร่าออกมา ก็ร้องตะโกน ฝ่ามือที่กุมเด็กหญิงอยู่เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ แล้วชิงลงมือ
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหางตาแยกออก ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อ กระบี่สีเหลืองปรากฏขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปหาสือหลุน
แต่เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวนี้ช่วยเด็กหญิงไม่ทันแล้ว
สือหลุนมุมปากกระตุก นิ้วทั้งห้าออกแรง หมายจะบีบคอของเด็กหญิงให้หัก
แต่ในยามนั้นเองฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
สือหลุนสัมผัสได้ว่ารอบด้านมีระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้น จากนั้นลำคอบางๆ ที่แต่เดิมน่าจะเย็นเยียบ พลันมีความเจ็บปวดที่ยากจะรับไหวส่งผ่านปลายนิ้วมา
เขาอดที่จะร้องครวญครางออกมาไม่ได้ จากนั้นก็มองไปยังลำคอเด็กหญิงที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว
เห็นเพียงในมือมีเด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์ที่ไหนกัน เป็นหุ่นเชิดเหล็กสีดำสนิทแทน
และหุ่นเชิดนี้ก็ไม่ได้สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ เรือนกายเต็มไปด้วยหนามแหลมสีฟ้าความยาวสองสามชุ่น
และฝ่ามือที่บีบคอของหุ่นเชิด ล้วนถูกหนามแหลมแทงทะลุ โลหิตสดๆ ไหลออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรนามว่าสือหลุนกลับกล้าหาญเป็นอย่างมาก สะบัดข้อมือ เหวี่ยงหุ่นเชิดเหล็กไปบนพื้น แล้วร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ผู้ใดกล้าลอบทำร้ายข้า รีบออกมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาพลันพลิกฝ่ามือ ธงอาคมสีดำตั้งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนก็มีสีหน้างุนงง
ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่เหลือสองคนถึงได้เข้าใจขึ้นมา คนหนึ่งสำแดงขวานสั้นสีเงินคู่หนึ่งออกมา คนหนึ่งสำแดงโล่ประหลาดสีดำที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา แล้วแผ่จิตสัมผัสออกไปพร้อมกัน
“ต้าเซ่า ข้าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เกรงว่าจะต้องสู้แล้ว” เสียงเย็นชาดังออกมาจากหลังต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียง
สือหลุนและพวกได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี มองไปทางนั้นอย่างระแวดระวังพร้อมกัน
“หึ ไม่ต้องให้เจ้าพูด ไห่ต้าเซ่าก็ทนดูเรื่องนี้ไม่ได้ ปล้นก็ปล้นเถิด คาดไม่ถึงว่าจะคิดลงมือกับผู้หญิงและเด็ก ข้าจะต้องตอกหน้าพวกเขาสามคนหน่อยแล้ว ทว่าพวกเราสองคนดูเหมือนจะสู้เจ้าสามคนนั้นไม่ค่อยได้นะ” เสียงบุรุษอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แต่ท่าทางกังวลใจเล็กน้อย
“ฮ่าๆ กลัวอันใด! ไม่ใช่ว่ายังมีพี่หานหรือ! สามต่อสาม แม้ว่าจะสู้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางเป็นอันตราย!” เสียงที่หนึ่งเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นยินดีปรีดา