A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1784 ศิษย์ในนาม
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1784 ศิษย์ในนาม
ฟังคำพูดของยายแก่จบ เซียนเย่ว์หัวและไป๋ฮั่วจี๋ที่เพิ่งเผยสีหน้ายินดีออกมาพลันสลายหายไป
ฝึกฝนล่าช้าไปสองสามร้อยปี ต่อให้เป็นญาติกัน ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดยอมเสียสละได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอกที่ไม่รู้จักเลย
“หนทางที่สองคืออันใด?” บุรุษเอ่ยซักถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
“วิธีแก้ไขที่สองก็คือหาสมุนไพรในตำนาน มาหลอมยาลูกกลอนอาทิตย์สองสามชนิด และใช้วิธีการรวบรวมวารีและเพลิงมาเปลี่ยนแปลงร่างแก่นน้ำแข็ง วิธีที่ไม่ง่ายไปกว่าวิธีแรกเท่าใดนัก ไม่ต้องพูดถึงสมุนไพรวิญญาณนั้นหายาก พันปีจะเจอสักครั้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาหาได้ ต่อให้ได้มา เอามาปรุงยาลูกกลอนอาทิตย์ หลังจากกินลงไปก็จะมีปัญหาไม่รู้จบเช่นกัน แม้จะทำลายร่างแก่นน้ำแข็งได้ แต่สิ่งที่ต้องถูกทำลายไปด้วย ก็คือคุณสมบัติรากวิญญาณของเจ้าของร่าง หนักสุดก็ทำลายรากวิญญาณ กลายเป็นคนธรรมดา เบาหน่อยก็เปลี่ยนรากวิญญาณให้ย่ำแย่ หนทางแห่งการฝึกฝนในการเป็นเซียนย่อมยากลำบากมาก” ยายแก่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
บุรุษวัยกลางคนพลันหน้าซีดเผือด ไม่มีคำพูดใดๆ ให้พูดอีก
หลังจากที่หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วขณะ ฉับพลันนั้นก็กัดฟันขอร้องหานลี่
“ท่านอาวุโสหาน ท่านมีพลังปราณมากมาย หวังว่าจะลงมือช่วยกั่วเอ๋อร์ได้ จากนี้พรรคของชนรุ่นหลังจะต้องตอบแทนบุญคุณเป็นวัวและม้าให้ท่านแน่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ พวกของยายแก่ก็ใจเต้น อดที่จะมองไปทางหานลี่ไม่ได้
ก่อนหน้านี้หานลี่มีท่าทีมาเพราะเด็กหญิงผู้นี้ หากเป็นเช่นนั้น ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้ก็อาจจะมีโอกาสลงมือ
บุรุษวัยกลางคนโค้งคำนับหานลี่โดยไม่พูดอันใด!
หานลี่ได้ยินกลับเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“เจ้าก็น่าจะรู้ ไม่ผิด ในเมื่อผู้แซ่หานอยู่ที่นี่ ย่อมมีเจตนาจะช่วยแม่หนูผู้นั้น”
“ขอบพระคุณบุญคุณของท่านอาวุโส!” หญิงสาวได้ยินสิ่งที่ตนเองคาด ก็พลันดีใจ แล้วคุกเข่าคารวะหานลี่
แต่หานลี่พลันสั่นศีรษะ สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างพลันปรากฏขึ้นใต้ร่างของไป๋ฮั่วจี๋ แล้วรองรับพวกเขาเอาไว้
คนหนึ่งไม่อาจคุกเข่าลงได้ คนหนึ่งกลับถูกยกขึ้น
“เจ้าสองคนอย่าเพิ่งขอบคุณข้า จะลงมือหรือไม่ ต้องดูว่าพวกเจ้าจะตกลงเงื่อนไขของข้าหรือไม่ แม้ว่าข้าจะประทับใจในตัวแม่หนูผู้นี้ไม่เลว แต่ก็ไม่อาจเสียเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรสองสามร้อยปีไปได้” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ท่านอาวุโสมีเงื่อนไขอันใดก็พูดมาเถิด ขอแค่ทำได้ ชนรุ่นหลังจะไม่ปริปาก” เซียนเย่ว์หัวตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิดเลยสักนิด
แม้ว่าบุรุษวัยกลางคนจะใจหายวาบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยข้อโต้แย้งอันใดออกมาเช่นกัน
ถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็คือโอกาสเดียวในการช่วยชีวิตบุตรสาวอันเป็นที่รักของเขา
“เงื่อนไขนั้นง่ายมาก ผู้แซ่หานช่วยแม่หนูผู้นี้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ วิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกได้ แม้กระทั่งรับหน้าเป็นศิษย์ในนาม แต่ยามที่นางฝึกฝนสำเร็จ จำต้องไปเอาของให้ข้าอย่างไม่เสียดายอันใด ของสิ่งนี้อาจจะอยู่ในเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ และอาจจะอยู่ตรงมุมใดสักมุมของแดนรกร้าง และมีเพียงผู้ที่ฝึกฝน วิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกที่มีจะอิทธิฤทธิ์นี้ถึงจะสัมผัสได้ แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายมาก สหายทั้งสองคิดจะตอบรับเงื่อนไขแทนแม่หนูหรือไม่?” หานลี่มองหญิงสาวและพวกทั้งสอง แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม
“เข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้าง?” ไป๋ฮั่วจี๋ได้ยิน กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันเผยสีหน้าลังเลออกมา
กลับเป็นเซียนเย่ว์หัวที่แม้ว่าจะหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน แต่เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็ถามย้อนกลับอย่างระมัดระวัง
“ไม่ทราบว่าที่ท่านอาวุโสกล่าวว่าฝึกฝนสำเร็จ กั่วเอ๋อร์จะมีพลังยุทธ์ระดับใด หากพลังยุทธ์ต่ำต้อย เข้าไปในแดนรกร้างคงไม่มีโอกาสได้กลับมา”
“หึๆ โปรดวางใจ ในเมื่อผู้แซ่หานรับเป็นศิษย์ในนาม และยังเสียแรงฝึกฝน วิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกให้นาง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยให้นางไปอย่างไม่มีวันกลับได้ สิ่งที่นางต้องตามหา อย่างน้อยก็ต้องมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขึ้นไปถึงจะสัมผัสได้ และยิ่งไปกว่านั้นข้ายังจะมอบสมบัติป้องกันตัวให้นางด้วย หากหาพบในเผ่ามนุษย์และปีศาจ ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเข้าไปหาในแดนรกร้าง มิเช่นนั้น ต่อให้ในละแวกของเผ่ามนุษย์และปีศาจไม่มี ข้าก็จะรอให้พลังยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้น ค่อยให้นางเข้าไปในแดนรกร้าง” หานลี่ดูเหมือนจะครุ่นคิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว จึงเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ระดับเทพแปลง! นี่มันเพียงพอแล้ว ระดับนี้สำหรับชนรุ่นหลังนับว่าเป็นสิ่งที่คาดหวังก็ไม่ได้มา และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสลงมือช่วยเหลือ แม่หนูผู้นี้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะมีชีวิตรอดในสองสามปีนี้ ส่วนการฝึกฝนจนถึงระดับเทพแปลงนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาเกือบพันปี” เซียนเย่ว์หัวพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดพลางตอบตกลง
ส่วนไป๋ฮั่วจี๋ต่อให้กังวลอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าคำพูดของหญิงสาวนั้นมีเหตุผล จึงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ยายแก่ที่อยู่ด้านข้าง ก็ไม่มีเหตุผลจะขัดขวาง
“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะรับกั่วเอ๋อร์เป็นศิษย์ในนาม จากนี้ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีให้นางมาอยู่ข้างกายข้า หลังจากผ่านไปร้อยปี ผู้แซ่หานจะคืนนางให้กับพวกเจ้า จากนี้นอกจากชี้แนะการฝึกฝนแล้ว ก็จะไม่รบกวนนางเรื่องใดอีก” หานลี่ฉีกยิ้ม แล้วเอ่ยด้วยท่าทีมีเมตตา
“เช่นนั้นต้องรบกวนฝากแม่หนูกับท่านอาวุโสแล้ว” บุรุษวัยกลางคนได้ฟัง ก็วางใจขึ้นมาจริงๆ แล้วคารวะอีกครั้งด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
หานลี่ไม่ได้ปฏิเสธ พลางรับคารวะจากอีกฝ่ายอย่างสบายอารมณ์ เซียนเย่ว์หัวก็ขอบคุณหานลี่ด้วยสีหน้ายินดีไม่หยุดเช่นกัน
ส่วนยายแก่ที่อยู่ด้านข้างกลับผ่อนลมหายใจออกมา อดที่จะรู้สึกเบิกบานใจไม่ได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะแค่รับกั่วเอ๋อร์เป็นศิษย์ในนาม ไม่ได้จะถ่ายทอดอันใดให้ แต่อย่างน้อยพรรคจินกว่างของพวกนางก็มีความสัมพันธ์กับอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น อย่างน้อยก็เป็นสุนัขจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือได้แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าผู้ใดจะมารังแกพรรคอีก
แต่ในยามที่ยายแก่เตรียมจะพูดอันใดนั้น เพื่อจะเพิ่มความสัมพันธ์กับหานลี่ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านข้าง
“ท่านอาวุโสหาน ชนรุ่นหลังทั้งสองของคารวะท่านเป็นศิษย์!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ยายแก่และพวกก็อดที่จะหันไปมองด้วยความตกตะลึงไม่ได้
เห็นเพียงคนที่พูดคือ ‘ไห่ต้าเซ่า’ ที่ยืนอยู่ด้านล่าง
ยามนี้เขากำลังมองหานลี่ตาปริบๆ ทั้งทำตัวไม่ถูกและเฝ้ารอคอย
“หึๆ คารวะเป็นศิษย์ข้า?” หานลี่มองไห่ต้าเซ่าแล้วหัวเราะร่าออกมา ทั้งไม่ได้ปฏิเสธทันที และไม่ได้ตอบตกลง
“ฮิฮิ เช่นนั้นนับว่าท่านอาวุโสตกลงได้หรือไม่” ชี่หลิงจื่อใจกล้า หัวเราะคิกคักพลางเอ่ยถามจากด้านข้าง
เห็นได้ชัดว่านักพรตน้อยผู้นี้รู้ดีว่ายามนี้สำหรับเขาและไห่ต้าเซ่าแล้ว เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
การคารวะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ นี่เป็นความฝันที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำตั้งมากมายทำได้เพียงใฝ่ฝัน
ดังนั้นเขาสองคนเห็นหานลี่รับไป๋กั่วเอ๋อร์เป็นศิษย์ในนามแล้ว ก็แอบถ่ายทอดเสียงปรึกษากัน แล้วอาศัยความสนิทสนมกับหานลี่เมื่อก่อน ทำหน้าหนาขอคารวะอาจารย์
“เจ้าสองคนลุกขึ้นเถิด เรื่องคารวะอย่ารีบร้อน ไว้ค่อยว่ากัน ในช่วงงานหมื่นสมบัติก็ติดตามข้าสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน” หานลี่หุบยิ้ม ในที่สุดก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ข้ารู้ ท่านอาวุโสหานต้องประเมินชนรุ่นหลังสักระยะ วางใจ ชนรุ่นหลังไม่มีฝีมืออื่น มีก็แต่ความจิตใจที่กตัญญูต่อท่านอาจารย์ที่หาได้ยากในโลกหล้า” ไห่ต้าเซ่ากะพริบตาปริบๆ ไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังออกมา กลับเอ่ยอย่างยินดี
“ชนรุ่นหลังจะต้องทำให้ท่านอาวุโสพึงพอใจ!” ชี่หลิงจื่อค้อมศีรษะให้หานลี่สามครั้ง แล้วถึงได้ยืนขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
ใบหน้าของหานลี่เผยท่าทีที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องออกมาดี ได้แต่พยักหน้า บัดเดี๋ยวก็สั่นศีรษะ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“พิษเย็นเยียบในร่างของกั่วเอ๋อร์ ถูกข้ากำจัดไปรอบหนึ่งแล้ว ภายในหนึ่งปีจะไม่กำเริบอีก หลังจากงานชุมนุมหมื่นสมบัติเสร็จสิ้น ข้าจะมาพาแม่หนูไป ช่วงระยะเวลานี้พวกเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีล่ะก็ ใช่แล้ว หยกอาทิตย์ร้อนนี้ให้แม่หนูพกติดตัวไว้ แม้ว่าจะไม่อาจกำจัดพิษได้ แต่ก็มีประโยชน์ต่อนาง หยกก้อนนี้เป็นอาวุธป้องกันตัวชนิดหนึ่ง หากพบกับอันตราย จะทำการคุ้มครองครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ข้ายังมี ‘ยาลูกกลอนบำรุงจิต’ เจ้าให้กั่วเอ๋อร์กินวันละสองครั้งเถิด” หานลี่เอ่ยจบ ก็ปัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านข้าง ชั่วขณะนั้นหยกทรงสี่เหลี่ยมเปล่งแสงสีแดงและขวดหยกสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะพร้อมกัน
สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงซึ่งแผ่ออกมาจากหยกก็รู้ว่าหยกนี้ไม่ธรรมดา ส่วนยาลูกกลอนบำรุงจิตนั้นก็เป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง เหมาะสมกับปราณแท้ของแม่หนูที่เสียหายไปพอดี ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันขอบคุณไม่หยุดด้วยความดีใจ แล้วเก็บทั้งสองสิ่งเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่อยู่ด้านข้างเห็นหานลี่เพิ่งจะรับศิษย์ในนามก็มอบประโยชน์ให้เช่นนั้น ก็ปกปิดสีหน้าอิจฉาเอาไว้ไม่มิด
ทำให้หานลี่เห็นแล้วรู้สึกขบขัน เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็พลิกฝ่ามือ แล้วหยิบขวดยาอีกสองขวดออกมา แบ่งให้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ไม่ว่าจากนี้จะรับพวกเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่ แต่ระหว่างทางนับว่าข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน ขวดยาสองขวดนี้ขวดหนึ่งสามารถทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ขวดหนึ่งเพิ่มพลังปราณได้ เจ้าสองคนเก็บไว้เถิด”
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสหาน!”
ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อย่อมรู้สึกยินดี หลังจากรับขวดยาไปแล้วก็เอ่ยขอบคุณทันที รู้สึกว่าติดตามท่านอาจารย์ผู้นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จากนั้นก็เก็บขวดเข้าไปอย่างระมัดระวังราวกับสมบัติล้ำค่า
จากนั้นหานลี่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรออีก หลังจากเอ่ยอีกสองสามประโยค ก็พาไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองจากไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสามที่อยู่บนรถเหาะก็บินไปทางภูเขาเก้าเซียน
“ท่านอาวุโสหานจากนี้พวกเราจะไปที่ใด ต้องหาถ้ำพำนักชั่วคราวหรือไม่ขอรับ” มองเห็นภูเขาเก้าเซียนชัดขึ้นเรื่อยๆ ชี่หลิงจื่อที่อยู่ในรถก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้น แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะมีเขตอาคมห้ามคนนอกเข้า แต่นั่นเอาไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเราเข้าไปย่อมมีคนเข้ามาต้อนรับโดยเฉพาะอยู่แล้ว” หานลี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ