A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1791 ตักเตือน
หานลี่ย่อมได้ยินคำพูดของไห่ต้าเซ่า กล้ามเนื้อบริเวณบนใบหน้าเลยอดที่จะกระตุกไม่ได้
ผู้นี้คือสมบัติที่มีชีวิตจริงๆ!
เต่ายักษ์ที่อยู่ไกลออกไปส่งเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา แขนขาทั้งสี่และหัวหดลงไปใต้ดินอีกครั้ง
ร่างอสูรยักษ์กลายเป็นยอดเขาสีดำ ชั่วขณะนั้นพลันนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม
ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บนกำแพงเมืองสีดำบนยอดเขาถึงได้เริ่มเคลื่อนไหว
ผู้คุ้มกันอัสนีจำนวนมาก เหาะเหินอยู่กลางอากาศเป็นวงกลม ทยอยกันร่อนลงมาบนกำแพงเมือง นักรบชุดเกราะสีดำตั้งแถวพวยพุ่งขึ้นไปจากยอดเขา และทยอยกันควักอุปกรณ์วางเขตอาคมออกมา จากนั้นก็วนล้อมรอบยอดเขาสีดำกันอย่างยุ่งวุ่นวาย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขตอาคมชั้นหนึ่งก็วางบน ‘ยอดเขาสีดำ’ เสร็จสิ้น ในเวลาเดียวกันไอหมอกสีดำก็แผ่ออกมาปกคลุมกำแพงเมืองบนยอดเขาเอาไว้
หลังจากที่นักรบชุดเกราะสีดำเหล่านั้นกระทำทุกอย่างเสร็จก็พุ่งเข้าไปในหมอกสีดำจนเกลี้ยงแล้วทยอยกันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในหมอกสีดำเงียบสงัด แตกต่างกับเสียงอึกทึกรุนแรงเมื่อครู่เป็นอย่างยิ่ง
ในยามนั้นบนยอดเขาอีกลูกพลันมีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เหนือหมอกสีดำ
ลำแสงเจิดจ้าหม่นแสงลง เผยมังกรวารีสีทองเรืองรองตัวหนึ่งออกมา หัวมีเขาสีเงินเขาหนึ่ง ความยาวประมาณสิบจั้งเศษ
บนแผ่นหลังของมังกรวารีกลับมีบุรุษสวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
นั่นก็คือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนผู้นั้น
“สหายเสวียนอู่ ไม่ได้พบกันหลายปี มาพบหน้าเทียนหยวนสักครั้งได้หรือไม่”
“หึ ที่แท้ก็ตาเฒ่าอย่างเจ้านี่เอง หากอยากพบหน้าก็เข้ามาสิ แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่เทียนเมี่ยว แต่เขตอาคมลวงตาจิ๊บจ๊อยแค่นี้คงขวางใต้เท้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าไม่ได้สินะ?” เสียงเย็นชาอีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากหมอกสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีไม่เกรงใจจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเลยสักนิด
“หึๆ เช่นนั้นข้าก็เสียมารยาทแล้ว!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนหัวเราะน้อยๆ ออกมาไม่สนใจคำพูดที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายเลยสักนิด เท้าย่ำไปบนมังกรวารีสีทอง ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นดวงแสงสีทองจมหายเข้าไปในม่านหมอกสีดำอย่างไร้ร่องรอย
ม่านหมอกเงียบเสียงไปอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ที่ถูกการมาของจักรพรรดิป้าเสวียนอู่ทำให้ตกใจ ย่อมรู้ว่าหลังจากนี้ก็ไม่มีอันใดให้ดูแล้วจึงพากันบินกลับไปในที่พักของตนเอง
แน่นอนว่าหานลี่เองก็มีความคิดเช่นนั้น จึงประสานมือคารวะหลิวชิงยามที่กำลังจะเอ่ยคำกล่าวลานั้น ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีผปู้นี้กลับฉีกยิ้มเบิกบาน
“หากสหายหานไม่รังเกียจก็เชิญไปนั่งพักที่พักของข้าเป็นอย่างไร ข้ามีสหายเก่าที่รู้จักอยู่คนหนึ่งอยากพบสหาย”
“สหายเก่า!” ใบหน้าของหานลี่ฉายแววตกตะลึง
“ไม่ใช่แล้ว ความจริงแล้วนางเป็นบุตรของสหายเก่า ครั้งนี้บังเอิญพบกันพอดีจึงเข้ามาในวังต้อนรับเซียนด้วยกัน ส่วนคือผู้ใดนั้น เพียงสหายหานไปก็รู้แล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเปิดเผย
“ในเมื่อเซียนหลิวกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็สนใจแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนสหายด้วย” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สหายหานตกลงช่างดีเยี่ยมเลยจริงๆ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญมาก ข้าพักอยู่ด้านบนสหายหานชั้นหนึ่งที่นี่ไม่มีอะไรน่าดู พวกเรากลับกันเถอะ” หลิวชิงเม้มปากขณะเอ่ย ท่าทางไม่เหมือนกับหุ่นเชิดเลยสักนิด
มิน่าล่ะถึงได้เลื่องชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิดเป็นอันดับสองของเผ่ามนุษย์ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่วิธีการหลอมหุ่นเชิดที่มหัศจรรย์ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
ยามนี้จักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวก็เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ชื่อเสียงอันดับหนึ่งด้านเคล็ดวิชาหุ่นเชิดย่อมตกเป็นของเซียนหลิว
“เยี่ยม! เจ้าสองคนถือแผ่นป้ายต้องห้ามไว้แล้วกลับไปที่พักก่อน” หานลี่พยักหน้าแล้วโยนแผ่นป้ายสีเงินให้พวกของไห่ต้าเส่า พลางออกคำสั่ง
ไห่ต้าเส่าและชี่หลิงจื่อรับแผ่นป้ายแล้วพลันตอบรับอย่างนอบน้อม
หานลี่ไม่สนใจการเคลื่อนไหวของทั้งสองคน พลันพุ่งตามหญิงสาวไปยังวังต้อนรับเซียนด้านล่าง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็อยู่ในตำหนักสีเขียวมรกตชั้นที่หกของวังต้อนรับเซียน และพบหญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง
หญิงสาวมีใบหน้างดงาม แววตาสดใส
“สหายเยี่ย!” เมื่อหานลี่เห็นหญิงสาวก็ร้องอุทานชื่อของอีกฝ่ายออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เยี่ยอิ่งคารวะท่านอาวุโสหาน คิดไม่ถึงว่าการจากกันที่เผ่าพฤกษาในปีนั้นท่านอาวุโสจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้ว” หญิงสาวชุดขาวพบหานลี่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าสลับซับซ้อนออกมา พลางทำความเคารพอย่างนุ่มนวล
“ผู้แซ่หานเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับเซียนเยี่ยอิ่งที่นี่” หานลี่เผยรอยยิ้มออกมา สะบัดแขนเสื้อชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันแผ่ออกมาขัดขวางการคารวะของอีกฝ่ายเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน เขาก็พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดและกวาดจิตสัมผัสออกไป
หญิงสาวจากตระกูลเยี่ยในปีนั้นคู่ควรกับผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากหงส์สวรรค์จริงๆ ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเพียรเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป คาดไม่ถึงว่ายามนี้จะทะลวงคอขวดระดับหลอมสุญตามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้นแล้ว
ทว่าปีนั้นหานลี่ได้โลหิตหงส์สวรรค์มาจากหญิงสาวผู้นี้ แน่นอนว่าจึงรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ปีนั้นท่านแม่เป็นสหายสนิทกับน้าหลิวถึงได้ขอให้พาข้าเข้ามาที่นี่ได้” เยี่ยอิ่งหัวเราะอย่างนุ่มนวล ขณะอธิบายเล็กน้อย
“อิ่งเอ๋อร์ไม่ต้องเกรงใจ ตอนนั้นข้ากับแม่ของเจ้าเปรียบดังพี่น้องกัน ครั้งนี้ได้พบกับบุตรสาวของสหายเก่าย่อมดีใจเป็นอย่างมาก เรื่องแค่นี้ไม่นับว่ามีค่าอันใด” หลิวชิงที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
เยี่ยอิ่งได้ยินย่อมเอ่ยปากขอบคุณเป็นพัลวัน
“ทว่าเซียนเยี่ยให้สหายหลิวเชิญข้ามา คงไม่ใช่แค่อยากพบหน้าผู้แซ่หานกระมัง!” หลังจากที่หานลี่ขบคิดเล็กน้อยก็หุบยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อท่านอาวุโสถามเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็จะไม่ปิดบังอีก” เยี่ยอิ่งพลันตกตะลึงมีท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
“ในเมื่ออิ่งเอ๋อร์อยากปรึกษากับสหายหานข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้าสองคนไปคุยกันตามลำพังเถิด” หลิวชิงที่อยู่ด้านข้างก็รู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
“ช้าก่อน! น้าหลิว ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับท่าน จึงไม่ต้องปิดบังอันใด” คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะร้องตะโกนไปทางหลิวชิงอย่างรีบร้อน
“อ๋อ ยังมีเรื่องนี้ด้วยเช่นนั้นข้าก็จะฟังอิ่งเอ๋อร์สักหน่อย” หลิวชิงรู้สึกประหลาดใจและหยุดอยู่จริงๆ แล้วกัน
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันลูบใต้คาง ใบหน้าเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา
“ความจริงแล้วที่มาหาท่านอาวุโสทั้งสองในครั้งนี้ก็มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกไม่ค่อยเกี่ยวกับสหายหานนักแต่กลับเกี่ยวข้องกับน้าหลิว” หลังจากที่หญิงสาวครุ่นคิดก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เกี่ยวข้องกับข้า?” หลิวชิงขมวดคิ้วดำขลับ แววตาเปล่งประกาย
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าหลังจากที่ท่านอาวุโสจักรพรรดิวิญญาณเพลี่ยงพล้ำน้าหลิวก็กักตนทันทีจนถึงวันนี้ ร่างที่แท้จริงก็ยังไม่ยอมออกมา หากกล่าวเช่นนี้น้าหลิวคิดจะแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณแล้วสินะ” เยี่ยอิ่งมองหลิวชิงแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า
เมื่อหลิวชิงได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยหลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพยักหน้า
“ไม่ผิด ข้ามั่นใจว่าได้สืบทอดเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของใต้เท้าจักรพรรดิวิญญาณรุ่นก่อนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และหลอมหุ่นเชิดระดับสุดยอดเสร็จไปแล้วหลายตัวหากการกักตัวครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แม้จะเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายก็ย่อมสู้ได้ แน่นอนว่าก็มีความคิดระวังอยู่เช่นกัน!”
แม้ว่าเสียงของนางจะไม่ดังนักแต่ก็มีท่าทีมั่นใจ
“น้าหลิวมีความคิดนี้จริงๆ แต่ท่านแม้ให้อิ่งเอ๋อร์มาบอกกับน้าหลิวว่าห้ามแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณภายในร้อยปีนี้เด็ดขาด หากได้มาจริงๆ กลับจะทุกข์ยิ่งกว่าสุข” หญิงสาวเอ่ยอย่างจริงจัง
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย แม้ว่าข้าจะรู้ว่ามารดาของเจ้าเชี่ยวชาญการทำนายและยิ่งไปกว่านั้นยังฉลาดล้ำเลิศเหนือคนอื่น แต่นี่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจะคาดเดาได้อย่างไร หรือว่ามารดาของเจ้าได้ข่าวอันใดมา” คาดไม่ถึงว่าหลิวอิงจะเดาออกภายในคำพูดไม่กี่คำของหญิงสาว
“น้าหลิวไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ เยี่ยเอ๋อร์ยังไม่ได้พูดต่อท่านก็เดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ท่านอาวุโสหานจากนี้สิ่งที่ชนรุ่นหลังจะพูดหวังว่าท่านจะช่วยเก็บความลับเอาไว้ชั่วคราวอย่าไปแพร่งพรายความลับให้กับผู้อื่น” หลังจากหญิงสาวลังเลเล็กน้อยกลับหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่
เมื่อเห็นหญิงสาวมีท่าทีจริงจังหานลี่ก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงพยักหน้าตกลงอย่างไม่ต้องขบคิด
“ผู้แซ่หานตกลง จะไม่แพร่งพรายเรื่องที่สหายพูดให้กับบุคคลที่สามง่ายๆ เป็นอันขาด”
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้ละเว้นคำพูดโดยสมบูรณ์ แต่เยี่ยอิ่งก็พอใจแล้ว และเริ่มเล่าถึงสาเหตุของเรื่องนี้
“ความจริงแล้วเรื่องที่สองกลับเกี่ยวข้องกับเรื่องแรกบางทีท่านอาวุโสหานอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่น้าหลิวจะต้องเคยได้ยินมาแน่ ภายในพันปีนี้เคราะห์มารจะมาถึงแดนวิญญาณของพวกเรา” ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววหวาดกลัวขณะเอ่ย
“เคราะห์มาร!”
หลิวชิงยังพอว่า แค่มีสีหน้าเคร่งขรึมดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว หานลี่กลับตกใจจนสะดุ้งโหยงอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้
นั่นก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ผู้ใดบ้างที่มิได้บรรลุระดับผสานอินทรีย์มามากกว่าพันปีแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีช่องทางให้รู้ข่าวมากมาย แต่เขาเพิ่งจะกลับมาเผ่ามนุษย์ได้ไม่ถึงสองสามปีและยังไม่ได้คบค้ากับสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันย่อมไม่รู้เรื่องเคราะห์มาร
ถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารในยามนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือในผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ยังคงเป็นความลับสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาเพื่อไม่ให้ทั้งสองเผ่าเกิดความวุ่นวายขึ้นก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึง
ส่วนหานลี่ย่อมรู้เรื่องเคราะห์มารมาจากตำราของเผ่ามนุษย์
แต่แค่คิดไม่ถึงว่าหายนะที่นานๆ จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งจะมาปะทุในพันปีนี้
หรือว่าเขาโชคร้ายมาก ยามแรกก็พบกับการที่ชนต่างเผ่ามาล้อมโจมตีเมืองที่จะเกิดขึ้นสองสามหมื่นปีครั้ง จากนั้นก็มาพบกับเคราะห์สวรรค์ของทั้งสองเผ่า
ทว่าเขาในยามนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดยามที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ถึงมีขุมอำนาจมากมายยื่นมือมาชักจูงเขาและยิ่งไปกว่านั้นเงื่อนไขที่เสนอมาก็เย้ายวนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่ใช่ว่าเขาเกลียดการถูกควบคุมความจริงใจของสองสามตระกูลที่ผ่านมาก็ทำให้เขาใจเต้นแล้ว
“ในเมื่อเซียนเยี่ยเอ่ยถึงเคราะห์มารหรือว่าตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณเกี่ยวข้องกับการปะทุของเคราะห์มาร?” หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม