A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1812 ฆ้องสีดำ
“แน่นอนว่าความมั่งคั่งของอาณาจักรทมิฬไม่กล้าอวดอ้างว่าเป็นที่หนึ่งระหว่างทั้งสองเผ่า แต่ก็ไม่น้อยหน้าทั้งสามจักรพรรดิและราชาทั้งเจ็ดแน่นอน มีสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่แม้จะซื้อมาจากมือของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ในโลกป่าเถื่อนโดยเฉพาะ เชื่อว่าพวกมันจะไม่มีวันทำให้ผู้อาวุโสผิดหวังแน่นอน” หญิงสาวรับใช้ในผ้าคลุมหน้าสีดำเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในอ้อมแขนของหานลี่
เวลานี้ผ้าคลุมหน้านางได้ถอดออกแล้ว และได้ปรากฏใบหน้าที่งดงามผุดผ่องออกมา เมื่อยามหัวเราะ ช่างน่าหวั่นไหวนัก ทำให้คนแถบถอนตัวไม่ได้เลย
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวรับใช้ในผ้าคลุมหน้าสีดำคนนี้ได้ฝึกฝนวิชาพิเศษเกี่ยวกับการบริหารเสน่ห์ เพราะงั้นไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นเสน่ห์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้
แต่หานลี่เพิกเฉยต่อการแสดงออกที่มียั่วยวนของหญิงผู้นั้น เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วถามอีกครั้ง
“อาณาจักรทมิฬสามารถฝึกฝนคนอย่างพวกเจ้ามาได้ ช่างเป็นจำนวนที่น่าเหลือเชื่อ เพียงแต่ ที่ข้าสงสัยก็คือ หญิงงดงามเยี่ยงพวกเจ้านี้หากเดินเหินไปมาอยู่ภายนอก ไม่มีทางที่จะไม่มีคนรู้นักสิน่า หรือว่า……”
“ท่านผู้อาวุโสเดาไม่ผิดเจ้าค่ะ พี่น้องของผู้น้อยนับแต่รู้ความก็ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอาณาจักรทมิฬ แทบจะไม่เคยออกไปโลกภายนอกเลย หากผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ก็รับข้าเป็นอนุดีหรือไม่เจ้าคะ หากเป็นอย่างนั้น ผู้น้อยก็อาจมีโอกาสสักวันที่จะได้พบกับฟ้าดินที่แท้จริงสักที” หญิงสาวหมายเลขสิบเอ็ดเมื่อได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าสงสารทันที
หากเป็นนักพรตธรรมดาถูกกระตุ้นด้วยท่าทีน่าสงสารเยี่ยงนี้ เกรงว่าจะต้องหวั่นไหวเข้าแล้วจริงๆ
แต่หานลี่พลังจิตระดับไหนกันแล้ว ปณิธานมั่นคงระดับไหนแล้ว เขาขยับเพียงมุมปากก่อนเอ่ย “ข้าไม่ปลื้มนักหากจะมีใครอยู่ข้างกาย” หลังจากนั้นก็ผลักดันคำขอของนางออกไปเสีย
และแม่นางคนที่สิบเอ็ดนี้ก็ช่างน่าสนใจนัก เมื่อเห็นท่าทางของหานลี่ที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงมันสักเท่าใดนัก ก็เงียบปากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่กลับเบียดซบร่างตนบนกายของหานลี่ให้มากขึ้นอย่างเชื่อฟัง
หานลี่กลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับปฏิกิริยานี้นัก เพียงแต่โอบกระชับเอวคอดนางไว้ให้แนบขึ้นอีกอย่างไม่รู้ตัว เหมือนอยากดื่มด่ำความดีงามที่มีหญิงงามในอ้อมกอดสักหน่อย
ต่อมา หานลี่ก็ถามเรื่องรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรทมิฬอีกเล็กน้อย หญิงสาวในอ้อมกอดก็ตอบข้อสงสัยทุกข้ออย่างเต็มที่ ทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก
เวลานี้ บนศาลาลอยฟ้าที่ลอยเคว้งอยู่บนความว่างเปล่า ก็ค่อยๆ ปรากฏเงาคนขึ้นมา
เสียงครึกโครมดัง “ปัง” จากด้านล่างที่ดังขึ้นทำให้พื้นที่ความว่างเปล่าทั้งหมดสั่นสะเทือน
หานลี่ผู้ซึ่งเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แววตาเปลี่ยนไปทันที ประกายสีฟ้าหมุนวนเป็นคลื่นในดวงตา และเจาะเข้าไปในช่องว่างสีดำทันทีและมองไปยังสถานที่ที่เกิดเสียง
เห็นสถานที่ด้านล่างซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นทางเข้าของห้องโถงใหญ่ ร่างยักษ์สูงประมาณสิบจั้งถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟร้อน ยืนอยู่ที่นั่นกางฟันและกรงเล็บออก
ด้านข้างนั้น หญิงสาวในผ้าคลุมสีดำอธิบายอะไรสักอย่างที่ตื่นเต้นที่อยู่ตรงหน้า
เงาร่างยักษ์ที่ไม่ชัดเจนท่ามกลางเปลวไฟนั้นกลับดูเกรี้ยวกราดผิดปกติ ภายใต้เสียงตะโกนก้อง มือของร่างยักษ์นั้นกลับหยิบเปลวไฟมาหนึ่งกองราวกับจะตะปบหญิงข้างกายให้กลายเป็นแกงเนื้ออย่างนั้น
แต่ในเวลานี้เอง พลันเกิดคลื่นในอากาศ แสงสีทองวาบก่อนกลายเป็นรุ้งกินน้ำ และพุ่งตรงไปที่ประตูของยักษ์แล้วโค่นลง
แสงกระบี่เยือกเย็นราวกับป่าดิบ ช่างไม่เหลือเยื่อใยเสียเลย
ท่ามกลางเปลวเพลิง ร่างยักษ์นั้นตะโกนสุดเสียง อดไม่ไหวที่จะคว้าหญิงสาวในผ้าคลุมสีดำมา การใต้การหันกลับไปคว้าด้วยหลังมือ รับเอาแสงกระบี่สีทองนั้นเอาไว้ตรงๆ
เป็นผลให้ภายหลังจากเสียงกรีดร้องแสงแก้วหูของที่ฟันกระทบกับโลหะ แสงของดาบและเปลวเพลิงเกลียวพัน ร่างยักษ์นั้นก้าวตึงตังต่อเนื่องเดินออกไป คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าในความว่างเปล่าเหนือศีรษะเงาคนสีเทาเลือนรางก็ปรากฏขึ้นมา
หานลี่มองอย่างจดจ่อ เห็นเพียงคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีเทาที่ไม่ทราบได้ว่าทำมาจากเนื้อผ้าชนิดใด ให้ความรู้สึกบางเบาคล้ายภาพหลอน แต่บนใบหน้า กลับมีหน้ากากปีศาจอัปลักษณ์ที่มีเขี้ยวสีเขียว ดวงตาทั้งมองข้างจ้องมองไปยังคนร่างยักษ์ที่อยู่ในเปลวเพลิงด้านล่าง
“นักพรตเผ่าปีศาจท่านนี้ ไม่รู้เหตุใดจึงโกรธเกรี้ยวเยี่ยงนี้ เหตุใดต้องลงมือกับผู้อ่อนวัยเยี่ยงนี้ น้องสามสิบเจ็ด เจ้าทำให้ผู้อาวุโสขุ่นเคืองได้อย่างไร ยังไม่รีบมาขอโทษอีกหรือ” นี่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของทุกคนในที่นั้น เงาร่างสีเทาที่ลงมืออย่างไม่ลังเลนี้ เวลานี้กลับหันกลับมาตำหนิหญิงสาว
“ผู้น้อยเมื่อครู่รับรองได้ไม่ดี ขอผู้อาวุโสโปรดอย่าถือสาเลยนะเจ้าคะ” หญิงสาวรับใช้หมายเลขสามสิบเจ็ดผู้นั้นเหมือนเพิ่งกลับมาจากประตูอเวจี สีหน้าซีดขาวผิดปกติ แต่เมื่อได้ฟังคำสั่งของเงาร่างสีเทาที่อยู่เหนือศีรษะ ก็รีบวิ่งไปที่เปลวไฟร่างยักษ์นั้นอย่างน่าสงสาร
“เหอะ ครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ ครั้งหน้าหากยังทำเรื่องไม่ควรที่เผ่าข้าถือสา ก็อย่าโทษที่ข้าต้องกลืนเจ้าไปแล้วกัน” ร่างยักษ์ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นเหมือนถูกกระบี่ของเงาสีเทาฟาดฟันจนได้สติมามาก ความโกรธในแววตาเบาบางลงมาก แต่ว่าเขายังเปล่งเสียงพึมพำอย่างดูถูกออกมาได้
ทันใดนั้น ร่างมนุษย์ยักษ์ก็ลุกเป็นไฟ และร่างของเขาก็หดตัวลงหลายครั้ง กลายเป็นชายชุดสีแดงขนาดเท่าคนธรรมดา มีเขาประหลาดสีแดงเข้มอยู่บนศีรษะของเขา แต่ส่วนใบหน้ากลับถูกบดบังด้วยแสงสีแดงไว้
ในเวลานี้ บุคคลในเงาสีเทาเอ่ยบางอย่างกับหญิงสาวรับใช้หมายเลขสามสิบเจ็ด โดยถามอะไรบางอย่าง และสุดท้ายก็พยักหน้าเพื่อจบการสนทนา และกล่าวขอโทษร่างในเปลวเพลิงว่า
“ที่แท้สหายก็เป็นคนจากเผ่านั้นจริงๆ เมื่อครู่การกระทำของน้องสามสิบเจ็ดช่างล่วงเกินไปจริงๆ แต่โปรดเห็นแก่นางที่รู้น้อย ไม่อาจทราบถึงที่มาของเผ่าพันธุ์ของสหายได้ โปรดอย่าถือสานางเลย ข้าจะสั่งให้คนเปลี่ยนผู้ดูแลให้ที่ดีกว่าเดิม เพื่อมารับใช้สหายโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
“เหอะ แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้าหวังเพียงให้การประชุมแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนนี้ ข้าไม่หวังจะเสียเวลาในที่อาณาจักรทมิฬแห่งนี้มากนัก” นักพรตเผ่าปีศาจในอาภรณ์สีแดงส่งเสียงเย็นชา และก็ไม่ต้องให้มีคนนำเลย มันก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์กลุ่มใหญ่บินตรงไปยังศาลาหินที่ว่างเปล่าบางหลังบนท้องฟ้า และตกลงบนนั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ชายที่มีเงาสีเทาด้านล่างก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว และโบกมือให้สาวใช้หมายเลขสามสิบเจ็ดซึ่งยังอยู่บนพื้น แล้วร่างของเขาก็แกว่งไปมาเหมือนกับตอนที่เขาปรากฏตัวครั้งแรก หลังจากนั้นก็หายไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
แล้วหญิงสาวรับใช้ในผ้าคลุมสีดำก็ยืนขึ้นก่อนจะล่าถอยไปจากที่นั่น
แม้ว่าหานลี่จะสนใจต้นเหตุของความโกรธของนักพรตเผ่าปีศาจในอาภรณ์สีแดงเป็นอย่างมาก แต่เห็นว่าเรื่องนี้ได้ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องเล็กแล้ว ก็ถอนสายตากลับมาเสีย แล้วหลับตาลงช้าๆ เริ่มบำเพ็ญเพียรของตนบ้าง
ตอนนี้เองหญิงสาวในอ้อมกอดลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง นางค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วก้าวไปยืนด้านหลัง นางทุบไหล่เขาด้วยมือที่งดงามดุจหยกเบาๆ
ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของหานลี่ แทบจะไม่ต้องการการบริการนี้มาผ่อนคลายความเมื่อยล้าเลย แต่เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมของหญิงสาวบริสุทธิ์จางๆ ที่ลอยมาจากด้านหลัง กล้ามเนื้อไหล่ได้รับรู้ถึงการนวดทุบที่ทั้งผ่อนคลายทั้งร้อนรน แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายดื่มด่ำอย่างผิดปกติทีเดียว
เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้และดูเหมือนจะหลับไปจริงๆ
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างในศาลาหินหลายแห่งจึงค่อยๆ หนาแน่นขึ้น
หลังจากสามหรือสี่ชั่วโมง ศาลาหินเก้าในสิบหลังคนก็นั่งเต็มแล้ว
แม้ว่าจำนวนคนทั้งหมดจะไม่สนใจเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของคนสี่หรือห้าร้อยคน แต่เมื่อนึกถึงคนเหล่านี้ อาจมีตัวประหลาดอาวุโสหลายสิบตนที่อยู่ในช่วงผสานอินทรีย์ คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังพกสมบัติล้ำค่าของระดับหลอมสุญตามาด้วย ก็ทราบได้เลยว่างานแลกเปลี่ยนครั้งนี้ช่างคุ้มค่าแต่การรอคอยยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม จำนวนคนเพิ่มขึ้นมาก แต่นักพรตของสองเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์ในศาลาหินล้วนมีท่าทีเย็นชานิ่งเฉย ต่างก็ดื่มเครื่องดื่มของตน ไม่มีใครต้องการโต้ตอบกับผู้อื่นในบริเวณใกล้เคียง ไม่มีผู้ใดประสงค์จะติดต่อสนทนากับคนรอบด้านตน
ทั้งห้องโถงตกอยู่ในบรรยากาศที่เงียบสงบและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ผ่านไปแล้วอีกครึ่งชั่วโมง ทันใดนั้นบนแท่นสูงสีขาวที่ว่างเปล่าของห้องโถงใหญ่ แสงสีทองแสบตากลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออก เขตอาคมสีทองมุมหนึ่ง ก็ปรากฏฆ้องสีดำขนาดยักษ์และเงาคนสีเขียวปรากฏขึ้น
ฆ้องยักษ์สูงขนาดเพียงคนเท่านั้น พื้นผิวดูเก่า ทรุดโทรม และดำมืดผิดปกติ ขอบของมันก็มีร่องรอยขึ้นสนิม แต่ส่วนตรงกลางมีลวดลายมังกรประหลาดสีดำ และราวกับสามารถมองเห็นมันกำลังแกว่งไกวอยู่
เงาร่างสีเขียวที่ปรากฏตัวพร้อมฆ้องยักษ์ กลับเป็นที่ในมือถือค้อนสีม่วงเอาไว้อยู่ ร่างกายเปลือยเปล่าครึ่งท่อนบนนั้นราวกับกับวีรบุรุษในผ้าคลุมสีเหลือง
แม้ว่าตลอดกายเขาจะมีสีเขียวอ่อน ดูแล้วมิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา แต่บนร่างเขากลับไม่มีไอปีศาจกระจายออกมาเหมือนกัน ทำให้คนไม่สามารถตัดสินเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงได้ชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม ผิวของชายร่างใหญ่คนนี้เป็นสีเขียวอมสีทอง และมันเป็นประกายจาง ๆ จะเห็นได้ว่าเขาต้องมีวิธีการฝึกพิเศษในการฝึกฝนของเขาและร่างกายของเขานั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ชายผิวเขียวผู้นี้ มีสายตาเมินเฉยต่อที่ตื่นตาตื่นใจมากมายเสีย เขาเพียงสูดหายใจเข้าลึก แสงสีเขียวบนร่างกายของเขากะพริบแผ่วเบา ร่างของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และเขาก็กลายร่างใหญ่ยักษ์สูงสามจั้ง
แขนทั้งสองข้างเกร็งจนเห็นเส้นเอ็น ทำให้ลำแขนหนาขึ้นถึงหลายเท่า
เพียงมือยักษ์ขยับ มือทั้งสองข้างก็กระชับค้อนทองแดงสีม่วงในมือแน่น พลันตีไปยังฆ้องสีดำที่หนักแน่นนั้นอย่างช้าๆ
เสียง “ตึง” ที่ดังขึ้น รัศมีสีม่วงกระเพื่อมออกจากใจกลางฆ้องยักษ์ และหายไปจากอากาศในพริบตา
หานลี่ตกใจเมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ก่อนที่เขาจะเกิดปฏิกิริยาใด ๆ ร่างกายของชายร่างยักษ์ก็หดตัวลง หลังจากถูกโจมตี และในชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นชายชราผอมแห้งที่ดูราวกับโครงกระดูก ผมและเคราสีขาว ลักษณะท่าทางแปลก ๆ เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง
การตีเมื่อครู่ เหมือนกับจะใช้โลหิตและอายุขัยจำนวนมากของชายร่างยักษ์นี้ไปจนเกือบจะหมด
นักพรตต่างๆ ในศาลาหิน แน่นอนว่าต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปกันหมด
การเคลื่อนไหวนี้ของอาณาจักรทมิฬ แน่นอนว่าไม่อาจยิงธนูไปอย่างไร้ทิศทางได้
หานลี่หรี่ม่านตาลง แต่เสียงฆ้องที่เข้ามาในโสตปราสาท ก็ชัดเจนแล้วว่าธรรมดามาก ไม่มีเรื่องผิดปกติใดๆ
แต่ในเวลาต่อมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าพลังในร่างกายนั้นเดือดพล่านขึ้นมา ในขณะเดียวกันการไหลเวียนของโลหิตทั้งร่างกายเร็วขึ้นหลายเท่า และทันใดนั้นทั่วทั้งร่างกายก็ร้อนรุ่มขึ้นอย่างผิดปกติ
“นี่คือ……”
หานลี่ตกตะลึง และลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
ภายใต้การขยับของพลังปราณในร่างกายเขา เขาก็กดความผิดปกติในร่างกายทั้งหมดลงไปทันที แต่ราวกับในขณะเดียวกันก็พบว่าพลังของร่างกายตนนั้นไม่เหมือนก่อน แต่ภายหลังจากเสียงฆ้อง ก็เหมือนมีทีท่าว่าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างนั้น