A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1821 การนัดพบ
อักษรจ้วนทองคำและอักษรลูกอ๊อดสีเงินที่แตกต่างกัน คาดว่ามนุษย์และปีศาจจากทั้งสองเผ่าที่สามารถอ่านอักษรวิญญาณเหล่านี้ได้คงนับได้ไม่เกินสิบนิ้ว
พวกเขาทั้งหมดเห็นอักษรวิญญาณนี้เป็นเหมือนของล้ำค่าอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่อนุญาตให้คนนอกรับรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องแม้แต่น้อย
ดังนั้นเราจึงรู้ว่าต้องมีใครสักคนในสองเผ่านี้ที่เข้าใจอักษรจ้วนทองคำ แต่จะเป็นใครนั้น ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นรู้
แต่อย่างน้อยที่สุดชายในลำแสงสีเลือดนั้นก็คงไม่เข้าใจอักษรนี้ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทางได้ม้วนคัมภีร์โบราณนี้มาได้เช่นนี้
หากไม่ใช่เพราะหานลี่ได้ร่ำเรียนอักษรวิญญาณนี้ในตอนที่เขาอยู่แดนกว้างเย็น ตอนที่เห็นอักษรสีทองเหล่านี้ในวันนี้ ก็คงทำได้เพียงจ้องมองด้วยสายตาโง่งมเท่านั้น
หานลี่จ้องมองไปที่อักษรสีทองเหล่านี้อยู่ครู่หนึ่ง และอักษรจ้วนสีทองก็เลือนหายไปอีกครั้งในชั่วพริบตา
เขาย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย สะบัดนิ้วออกสองสามครั้งโดยไม่ได้คิดอะไร รัศมีกระบี่สีเขียวก็เปล่งออกมาเจ็ดถึงแปดครั้ง
ภายใต้พลังของกระบี่ อักษรสีทองก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้น และดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย
หานลี่ใจเต้นเล็กน้อย แสงดาบในมือถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสายโดยไม่หยุดหายใจ จนกลายเป็นเงาดาบสีเขียวที่ที่ตวัดอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทันใดนั้นเงาแสงสีเขียวก็กลืนม้วนคัมภีร์โบราณเข้าไป
ในทันใดนั้น ม้วนคัมภีร์โบราณสีทองก็สั่นเล็กน้อย ปรากฏให้เห็นแสงสีทองทะลุขึ้นมาจากรอยแตกบนพื้นผิวของม้วนคัมภีร์โบราณ และในขณะเดียวกันก็มีข้อความจารึกที่สมบูรณ์ปรากฏขึ้น
แสงสีน้ำเงินประกายวาบขึ้นในดวงตาของหานลี่ เขาจ้องมองไปยังอักษรสีทองเหล่านั้นโดยตาไม่กะพริบ หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร กระบี่ที่กวัดแกว่งอยู่ในมือของเขาก็หยุดการเคลื่อนไหวลง
รัศมีบนม้วนคัมภีร์โบราณบรรจบรวมเข้ากันอีกครั้ง ก่อนที่อักษรสีทองจะกระจัดกระจายและเลือนหายไป
หานลี่คว้ามันไว้ด้วยมือเปล่า มีเสียง “สวบ” ดังขึ้น เขาหยิบม้วนคัมภีร์โบราณไว้ในมือแล้วเขาก็แสดงสีหน้าไตร่ตรอง
อักษรจ้วนสีทองเมื่อสักครู่นี้ เขาท่องจำข้อความทั้งหมดได้แล้วอย่างเงียบๆ และเหลือบมองดูอยู่ครู่หนึ่ง
หากเขาเดาไม่ผิด อักษรวิญญาณบทนี้บรรยายถึงการจัดเรียงเขตอาคมลึกลับ
ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างคลุมเครือ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากทำความเข้าใจอักษรจ้วนทองคำบทนี้ทั้งหมดแล้ว ก็น่าจะสามารถสร้างเขตอาคมทั้งหมดขึ้นมาได้อีก
แม้ว่าเขตอาคมนี้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่ในส่วนของความลึกลับที่ละเอียดอ่อนนั้นดีกว่ามาก หานลี่เคยเห็นเขตอาคมมากมายในแดนวิญญาณมาก่อน
หากมิใช่เพราะเขาเคยอ่านและเข้าใจถึงข้อความต้องห้ามในอักษรที่ถูกทิ้งไว้บางส่วนที่เขาได้รับมาจากแดนกว้างเย็น เมื่อครู่เขาคงไม่มีทางเข้าใจความหมายทั้งหมดของอักษรจ้วนทองคำนั้น
ท้ายที่สุดเมื่อได้รู้อักษรจ้วนทองคำและเข้าใจเขตอาคมต้องห้ามที่เขียนในอักษรจ้วนทองคำ แท้จริงแล้วทั้งสองสิ่งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน!
และตามที่หานลี่คาดการณ์ไว้ หากต้องการเข้าใจเขตอาคมนี้อย่างแท้จริงแล้ว หากไม่ทำการพินิจพิเคราะห์มาเป็นสิบปีคงไม่มีทางทำให้สำเร็จได้ แม้ว่าเขาจะสนใจสิ่งที่ถูกผนึกไว้ในม้วนคัมภีร์โบราณเล่มนี้มาก แต่ก็ไม่สามารถเสียเวลามากมายขนาดนั้นได้
หานลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และใส่ม้วนคัมภีร์สีทองลงในกำไลเก็บของ
ในเวลาต่อมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ประสานมือและแยกออกอีกครั้ง มีไม้ที่ยาวครึ่งฉื่อปรากฏขึ้นในมือของเขา ความหนาเท่านิ้วโป้ง และเป็นไม้รูปร่างประหลาดสีดำและสีแดงทั้งหมด
ไม้ท่อนนี้ดูเยือกเย็นและหมองหม่น มีหมอกสีเลือดลอยออกมาจางๆ ไม่หยุด เป็นไม้ที่เคยประมูลมาได้ก่อนหน้านี้ มันคือ พฤกษาหยาดน้ำตาโลหิต
หลังจากหยิบสิ่งนี้ออกมา สร้อยข้อมือเก็บของของหานลี่ก็ยังคงเปล่งแสงต่อไป วัสดุบางอย่างที่เป็นขวดและกล่องก็ปรากฏออกมาบนพื้นในห้องลับนั้น
หานลี่มองดูของเหล่านั้นโดยมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก ทันใดนั้นเขาก็โยนพฤกษาหยาดน้ำตาโลหิตในมือขึ้นไปบนอากาศ เขาเปิดปากและพ่นลูกไฟสีเงินออกมา
เปลวไฟสีเงินได้ห่อหุ้มไม้โลหิตไว้ ภายใต้การผสมผสานของหมอกโลหิตและเปลวไฟสีเงินนั้น ก็มีเสียง “เปรี๊ยะ” ดังขึ้น
หานลี่จับเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็บินลงไปบนพื้นหยิบจับวัสดุอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นวัสดุเสริมสีสันต่างๆ ก็บินขึ้นทีละชิ้นแต่ยังไม่พุ่งเข้าไปในเปลวเพลิงสีเงิน
แสงสีฟ้าในตาของหานลี่สั่นไหวไม่หยุด เขาจ้องมองไปยังเปลวไฟสีเงินบนท้องฟ้าอย่างไม่วางตาด้วยใจที่ไม่ว่อกแว่ก
เมื่อถึงเวลาเย็นแล้ว หานลี่ก็ไม่ได้ก้าวออกจากห้องลับแม้เพียงครึ่งก้าว แม้แต่การสอนไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อทั้งสองคนตามปกตินั้น ก็ยังส่งผ่านประตูใหญ่ของห้องลับนั้น
หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่เจ็ดถึงแปดวันติดต่อกัน ในที่สุดหานลี่ก็เดินออกมาจากห้องลับ
แต่ทันทีที่เขาพ้นธรณีประตูมา เขาก็ใช้ประโยชน์ของค่ำคืนอันมืดมิดนั้น ส่งไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อไปยังสถานที่ที่ห่างไกลจากเขาเก้าเซียนถึงหนึ่งล้านลี้ในลมหายใจเดียว จากนั้นในเวลาเดียวกันก็ให้ยาและศาสตรายุทธ์จำนวนหนึ่งแก่ทั้งสองคนด้วย และส่งพวกเขาไปยังเส้นทางของเมืองเทียนหยวน
และตัวเขาเองนั้นก็กลับไปยังเขาเก้าเซียนอีกครั้ง
แต่ในสองวันถัดมา ตาเฒ่ากระดูกขาวก็มาเยี่ยมอย่างลึกลับ
หานลี่พูดคุยกับเขาที่ห้องโถงใหญ่ด้วยเสียงต่ำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จากไปพร้อมกับเขาแล้ว
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ในพระราชวังอื่นๆ บนเขาเก้าเซียนก็ผู้บำเพ็ญเพียรผสานอินทรีย์ที่อยู่อย่างสันโดษ ก็ออกจากที่นั่นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันและหายตัวไปพร้อมๆ กัน
จนกระทั่งครึ่งวันถัดมา ตัวประหลาดเฒ่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษผสานอินทรีย์กลุ่มหนึ่งรวมทั้งหานลี่ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เนื่องจากเวลาค่อนข้างสั้น นอกจากผู้คนที่ให้ความสนใจแล้ว ย่อมมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ค้นพบเรื่องราวที่แสนประหลาดนี้
ในงานประมูลหมื่นสมบัติครั้งต่อไป หานลี่ออกไปข้างนอกบ่อยครั้งและมักจะได้ของติดไม้ติดมือกลับมา และซื้อวัสดุบางอย่างกลับมาให้เห็นเป็นระยะๆ
ในช่วงเวลาที่เหลือ เขาก็กลับมาคบค้าสมาคมกับการคงอยู่ของเหล่าผสานอินทรีย์อีกครั้ง และเข้าร่วมการชุมนุมแลกเปลี่ยนเล็กๆ แบบลับๆ เป็นครั้งคราว แต่ก็ยังได้กำไรอยู่บ้าง
ในช่วงเวลานี้ สาวน้อยไต้เอ๋อร์มาหาหานลี่ทุกๆ สองสามวัน แม้ว่าจะไม่มีเรื่องเร่งด่วน แต่ทุกครั้งก็คุยกันกลับมีความสุขและกลับบ้านอย่างสนุกสนาน
แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าของไต้เอ๋อร์กับหนานกงหวั่นที่เหมือนกันราวกับแกะ ภายในใจของเขาย่อมรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าการชุมนุมหมื่นสมบัติกำลังจะจบลงแล้ว จักรพรรดิเสวียนอู่ป้าและจักรพรรดิเทียนหยวนเซิ่ง ได้ส่งคนออกไปเชิญผู้บำเพ็ญเพียรผสานอินทรีย์ไม่กี่คนจากเผ่ามนุษย์อีกครั้ง และยังรับปากต่อเงื่อนไขจำนวนมากอย่างที่สุด
ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนต่างก็โดนชักจูงใน ต่างคนต่างก็เข้าร่วม
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมปฏิเสธคำเชิญในครั้งแรก และภายในไม่กี่หลังจากที่การประมูลหมื่นสมบัติจบลง เขาก็ได้ออกจากเขาเก้าเซียนโดยไร้ร่องรอย
และสิ่งที่หายไปพร้อมกับเขาก็คือ ไป๋กั่วเอ๋อร์ผู้ที่มีร่างกายเป็นไขกระดูกน้ำแข็งผู้นั้น
ทั้งสองท่านหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาเดียวกัน!
จนเมื่อการประมูลหมื่นสมบัติสิ้นสุดลง การรวมตัวกันของมนุษย์และปีศาจทั้งสองเผ่าที่เขาเก้าเซียนก็ค่อยๆ แยกย้ายกระจัดกระจายออกไป
การมีอยู่ของสามจักรพรรดิและราชาปีศาจทั้งเจ็ดได้ออกจากเทือกเขาทีละแห่งในวันที่การชุมนุมสิ้นสุดลง
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เขาเก้าเซียนที่เดิมทีมีคนจากทั้งสองเผ่ารวมตัวกันเกือบล้านคน ทิ้งไว้เพียงเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันดูแลเมืองและความสงบเรียบร้อยเฉกเช่นในอดีตก็กลับคืนมาสู่เทือกเขาแห่งนี้
และข่าวลือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลหมื่นสมบัตินี้ เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป คนก็จะค่อยๆ พูดถึงมันน้อยลงเช่นกัน
ในชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านมาถึงสี่ปีแล้ว
ในวันนี้ ใกล้ยอดเขาที่ซ่อนอยู่ห่างไกลออกไปในดินแดนเทียนหยวน ทันใดนั้นก็มีเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจากเผ่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งบินขึ้นมาจากทางทิศหนึ่ง มีทั้งบุรุษและสตรีทุกวัย เครื่องแต่งกายแตกต่างกัน แต่ที่มุมแขนเสื้อทุกตัวกลับมีตัวอักษร “หุบเขา” สีฟ้าปักไว้
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และทุกคนก็รูปร่างสง่างาม สวยงามราวกับดอกไม้
ผู้บำเพ็ญเพียรนับร้อยท่านนี้ ร่อนลงมาบนยอดเขานี้โดยตรง!
คนกลุ่มหนึ่งในนั้น สร้างเขตอาคมป้องกันแบบง่ายๆ ขึ้นมารอบด้าน คนอีกกลุ่มใหญ่กลับมองหาก้อนหินสะอาด และนั่งขัดสมาธิลงบนนั้น หลับตาลงและตั้งสมาธิ
ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ มีชายชราผมสีเหลืองและหญิงสาวผิวขาวในชุดพระราชวังสีฟ้ายืนอยู่กลางยอดภูเขา
ทั้งสองเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในช่วงสุดท้ายของระดับหลอมสุญตา พวกเขายืนอยู่ตรงนั้น และมีเสียงพูดอะไรบางอย่างอยู่แม้ปากจะขยับเพียงเล็กน้อย
“ผู้นำตระกูลเสี่ยวเฟิง สถานที่นัดพบที่คนผู้นั้นให้ท่านมา ก็คือยอดเขาวั่งกุยแห่งนี้ ไม่ผิดแน่ใช่ไหม ดูเวลาแล้ว คาดว่าคงอื่นไม่นานแล้วล่ะ” ชายชราผมสีเหลืองผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วพูดกับหญิงสาวผู้นั้นออกมาสองสามคำ
“ผู้อาวุโสเซียววางใจเถิด ด้วยสถานะปัจจุบันของคนผู้นั้น เขาไม่มีทางผิดสัญญาแน่ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มส่งข้อความเหล่านี้ก่อน ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นได้” หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ตอบโดยไม่ต้องคิด
“อืม เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว ครานี้ ผู้อาวุโสไท่ซั่งกลับมาโดยบังเอิญพร้อมกับอาการบาดเจ็บดินแดนอสูรประหลาด หลังจากกลับมาแล้วเขาก็จำพรรษาเข้าฌานเป็นเวลากว่าร้อยปีทันที หากเป็นเช่นนี้ พวกข้าก็พลาดงานพิธีจิตวิญญาณแท้ที่สามพันปีมีเพียงหนึ่งครั้งของเหล่าตระกูลจิตวิญญาณแท้แล้ว! และผู้อาวุโสไท่ซั่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผสานอินทรีย์เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลกู่ของเรา หากเขาไปลงมาบัญชาการด้วยตนเองแล้วละก็ โอกาสที่จะได้เข้าร่วมพิธีใหญ่นี้ก็คงไม่มีแล้ว! และโชคดีที่ผู้นำตระกูลมองการณ์ไกล และยังนัดผู้อาวุโสผสานอินทรีย์อีกท่านมาช่วยได้อย่างว่องไว มิเช่นนั้นครอบครัวกู่ของเราก็คงจะไม่ได้เข้าร่วมในพิธีอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้!” ชายชราผมเหลือถอนหายใจและพูดออกมา
“ถูกแล้ว พิธีจิตวิญญาณแท้เกี่ยวข้องกับข้าและคนอีกจำนวนมากจากตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่สามารถเข้าไปในถ้ำซ่อนวิญญาณและได้ผลประโยชน์อื่นๆ ไม่มีทางยอมแพ้ได้ง่ายๆ ครั้งที่แล้วเป็นเพราะผู้อาวุโสไท่ซั่งลงมือ ดังนั้นอันดับของตระกูลกู่ของเราจึงไม่เลวร้ายนัก ครั้งนี้ข้าอยากจะยืมมือคนภายในนอกมาช่วยชก เผื่อว่าจะไต่อันดับขึ้นไปได้อีกหน่อย แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ผู้อาวุโสไท่ซั่งจะไม่สามารถเข้าร่วมได้เช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงรักษาอันดับเท่าก่อนหน้านี้ได้ก็นับว่าไม่แย่นัก” หลังจากหญิงสาวฝืนยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความข่มขื่นประมาณหนึ่ง
“นั่นก็จริง ผู้อาวุโสหานท่านนี้ที่ผู้นำตระกูลนั้นกล่าวไว้นั้น แท้จริงแล้วเพิ่งเข้าสู่ขั้นผสานอินทรีย์ได้ไม่ถึงสิบปีเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นคนเก่งเพียงใดก็ตาม แต่ยังเทียบไม่ได้กับผู้อาวุโสไท่ซั่งที่มีชื่อเสียงมาแล้วกว่าหมื่นปี ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสไท่ซั่งยังมีสายเลือดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ และเมื่อกระตุ้นออกไปแล้ว ระหว่างสองคนนี้ก็ยิ่งไม่มีทางเปรียบเทียบได้เลย” ชายชราผมเหลืองยิ้มแหยๆ และพูดขึ้น
“แต่ถ้าหากไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรผสานอินทรีย์แม้สักคนคอยกดเขตอาคมไว้ในพิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ พวกเราคงยิ่งตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้กว่าเดิมแน่” หญิงสาวพูดขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้ามืดมน
“นี่ก็จริง! ห้าอันดับตระกูลใหญ่ในพิธีจิตวิญญาณแท้อันยิ่งใหญ่ มีตระกูลใดบ้างที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ลงมาทำพิธีด้วยตนเอง” มุมปากของชายชราผมเหลืองกระตุกราวกับจนปัญญา
กล่าวมาถึงตรงนี้ ทั้งสองท่านก็มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อในเวลานี้ ราวกับว่าหมดความสนใจในการสนทนาอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง!
ในสองชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าที่อีกฟากหนึ่งก็มีแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้น และเมื่อสายรุ้งสีเขียวปรากฏขึ้น ใบหน้าของหญิงสาวก็มีความเบิกบานใจ อดที่จะพูดพึมพำออกมาไม่ได้ “มาแล้ว! คนผู้นี้ช่างตรงต่อเวลาจริงๆ !”
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายชราผมสีเหลืองก็กะพริบตา จ้องมองไปยังรุ้งสีเขียวที่ส่องประกายอย่างระมัดระวัง
แต่รุ้งเขียวนั้นช่างเจิดจ้าจริงๆ มองเห็นเพียงแต่คนรูปร่างของคนสองคนในลำแสงสีฟ้าที่คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยเท่านั้น
วินาทีถัดมา ก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นเหนือยอดเขา
ต่อมาก็มีแสงสีเขียวและสายรุ้งสีเขียวปรากฏขึ้นอยู่เหนือเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร เมื่อแสงล่องหนไปครู่หนึ่ง ก็มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าและเด็กผู้หญิงท่าทางน่ารักที่อายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปีปรากฏขึ้น