A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1823 อาคมทมิฬย้อนวิญญาณเที่ยงแท้
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1823 อาคมทมิฬย้อนวิญญาณเที่ยงแท้
จากนั้นแสงวิญญาณบนศีรษะนั้นก็กะพริบ คนตัวเล็กสีน้ำเงินสูงประมาณไม่กี่นิ้วผู้หนึ่งก็ถูกไอสีขาวดูดเข้าไป ใบหน้าเหมือนกับชายฉกรรจ์ในชุดผ้าแพรนั้นแทบแยกไม่ออก
นั่นก็คือดวงจิตกำเนิดที่ชายฉกรรจ์ได้ฝึกฝนภาวนาอย่างยากลำบากมานับหมื่นปี
หน้าอกของดวงจิตกำเนิดมีกุญแจหินสีขาวหยดน้ำนมอันหนึ่งแขวนไว้ ปล่อยเส้นแสงสีเงินออกมาห่อหุ้มกายชั้นหนึ่ง แต่กลับร้องไม่ขาดปากด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว
“เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้นะ สำนักวารีน้ำเงินเป็นสำนักภายนอกที่เมืองเทียนหยวนกำหนด ข้าในฐานะเจ้านิกายสำนักวารีน้ำเงิน การสังหารข้าต้องนำไปสู่การตามฆ่าของนักบำเพ็ญเพียรผู้รักษากฎหมายของชายแดนเทียนหยวน ของสองสิ่งนี้คือสมบัติสองอย่างของสำนักวารีน้ำเงิน เอามันไปเสียแล้วกัน ผู้น้อยจะนำทางท่านและมอบสมบัติทั้งหมดให้กับสหาย ขอเพียงแต่สหายไว้ชีวิต!”
ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนทันที ราวกลับสะกิดเข้าที่ใจ
ดวงจิตกำเนิดนั้นเห็นเช่นนั้น ก็วิงวอนขอร้องมากขึ้น
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดสหายจู่ๆ จึงมาลงมือกับพวกข้า แต่ดูแล้วคงจะเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบที่นิกายของพวกข้ารับช่วงต่อมา ผู้น้อยยินดีมอบวัตถุดิบทั้งหมดเหล่านี้….”
ดวงจิตกำเนิดพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันจบความ รอยยิ้มอันโหดเหี้ยมบนมุมปากของชายหนุ่มในชุดสีขาวก็ปรากฏขึ้น แขนข้างหนึ่งเลือนรางหายไปฉับพลัน วินาทีถัดมาก็ปรากฏขึ้นอยู่กลางอากาศ แล้วคว้าดวงจิตกำเนิดที่อยู่ในไอสีขาวเอาไว้ในมือ
จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็ส่องประกายสีขาว แล้วบีบเส้นแสงที่คุ้มกันกายของดวงจิตก่อกำเนิดนั้นแหลกสลาย
เมื่อแขนข้างนั้นของชายหนุ่มหดกลับอย่างรวดเร็ว ก็คว้าดวงจิตกำเนิดของชายฉกรรจ์โยนเข้าในปาก แล้วกลืนลงท้องไปทันที
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น เสียงของชายแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ดังแว่วมาจากความว่างเปล่าใกล้กับที่แห่งนั้น
“หึ ทำได้ไม่เลว! เจ้านี่รนหาที่ตายเอง ทั้งๆ ที่ชีวิตยังรักษาไม่ได้ ยังกล้ามาตั้งเงื่อนไขกับสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว ตายอย่างไร้ค่าเสียจริง!”
ยังไม่ทันขาดคำ ที่แห่งนั้นก็มีคลื่นลมลูกหนึ่งก็กระเพื่อมขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า เงาร่างสีทองเลือนรางร่างหนึ่งก็ปรากฏออกมา
นั่นคือชายฉกรรจ์หนวดเคราม้วนยาวรุงรังสวมชุดคลุมยาวสีทอง ผมมวยเป็นเขาสองข้างดูประหลาด ถึงแม้ว่าใบหน้าส่วนใหญ่จะถูกหนวดเคราเส้นผมม้วนปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง แต่ทว่าดวงตาสีเหลืองเข้มคู่นั้นที่ถูกปกปิดไว้ เมื่อใครได้เห็น คงต้องพากันหวาดกลัวจนแทบจะเป็นลม
ชายหนุ่มในชุดขาวมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาอันเยือกเย็นปราดหนึ่ง แล้วก็ยื่นมือไปคว้ากลางอากาศด้านล่างอีกครั้งโดยไม่ใส่ใจ
เสียงดัง “พรึ่บๆ” ขึ้นสองที
ลูกแก้วกลมที่เราอยู่บนพื้นดินและธงตั้งสีขาวขุ่น ทันใดนั้นก็ลอยขึ้นมา ถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้ด้านหน้าตัวเขา แล้วก็ลอยขึ้นกลางอากาศทันที
ชายฉกรรจ์หนวดเครายาวเฟื้อยผู้นั้นเห็นชายหนุ่มเย็นชาเช่นนี้ ก็ยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เขาก้าวเท้าขึ้นอย่างสบายอารมณ์ เมื่อก้าวไปหนึ่งก้าว ก็ก้าวข้ามระยะทางนับสิบจั้งไปได้อย่างน่าฉงน เพียงชั่วครู่เดียวก็ปรากฏขึ้นอยู่กลางอากาศห่างจากชายหนุ่มชุดขาวไปไม่กี่จั้ง
แต่ในเวลานั้น ที่ที่ชายหนุ่มอยู่ก็มีเสียงระงมระลอกหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ด้านหลังทันใดนั้นก็ปรากฏเงาจำแลงพร้อมปีกบางใสหกข้าง และเคลื่อนไหวด้วยความเร็วซึ่งตาเนื้อไม่อาจมองเห็น
ดาบแสงสีขาวจางๆ นับไม่ถ้วนโหมซัดประเดประดังมามากมายจากปีหกข้างนั้น กลายสภาพเป็นทะเลคมดาบ พัดโหมกลบลูกแก้วและธงตั้งนั้นจมหายไป
สมบัติวิเศษทั้งสองชิ้น เพียงแต่เปล่งแสงเพิ่มไหมภายนอกออกมาสองสามครั้ง จากนั้นต่างก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นเสียงเบาๆ ท่ามกลางทะเลคมดาบนั้น
ชายหนุ่มในชุดขาวเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ปรากฏร่องรอยของความยินดี ไหล่ของเขาขยับ ดาบแสงมากมายทั่วท้องฟ้านั้นก็หายวับในพริบตาอย่างไร้ร่องรอย
เหลือเพียงแต่ซากสมบัติวิเศษที่กลายเป็นเศษด้ายสีน้ำเงินและขาวไปแล้ว ลอยต่ำขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางอากาศ
จากนั้นเขาก็ท่องคาถา พร้อมกันหลังมือทั้งสองก็ร่ายยันต์อาคม จากนั้นก็อ้าปากเป่าลมไปยังเศษซากสมบัติพิเศษ
ฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจปรากฏขึ้น!
ชายหนุ่มผู้นั้นพ่นเปลวไฟสีทองลูกหนึ่งออกจากปาก ทันทีที่ม้วนตัว เศษซากสมบัติวิเศษทั้งสองกองก็ถูกม้วนเข้าไป เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น ก็รวมเป็นส่วนหนึ่งของเปลวไฟไป
ในเวลานี้ชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึก สูตรเปลวไฟสีทองนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง กลับเข้าสู่ภายในร่างกาย
จากนั้นผิวกายก็เกิดแสงสีทองกะพริบขึ้นอย่างทันที แสงสว่างสีทองขนาดเท่าล้อเกวียนอันหนึ่ง ปรากฏขึ้นอยู่ที่ท้ายทอยเขา แต่เมื่อขยับหมุนเป็นวงรอบหนึ่งแล้ว ก็กลายเป็นอักษรยันต์สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วสลายไปในทันที
ชายฉกรรจ์หนวดเครารุงรังเห็นภาพเช่นนี้ ความยินดีก็สายขึ้นในแววตา พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“สำนักวารีน้ำเงินนี้ถึงแม้ว่าความสามารถจะธรรมดา แต่ในฐานะสมบัติพิเศษทั้งสองแห่งนิกายท้องถิ่นอย่างลูกแก้วสีน้ำเงินและธงวารีขาว กลับเป็นของวิเศษหายากที่สร้างขึ้นจากการหลอมวัสดุชั้นดีสารพัดชนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในวัสดุที่พวกเขาขนส่งในครั้งนี้ ยังมีกำแพงแก้วมืดดำขนาดใหญ่ชิ้นนั้นที่ต้องใช้เวลาหลอมกว่าล้านปี และเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเจ้าในการหลอมร่างของวิญญาณที่แท้จริง ไหนว่าจะว่าอย่างไรก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจให้ใครช่วงชิงไปได้”
ในนาทีนั้นเอง แสงสว่างสีทองบนล่างของชายหนุ่มชุดขาวก็หายวับไป แต่ในวินาทีนี้พลังปราณจากร่างกาย ดูท่าทีจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนแรก ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกเกรงกลัว
“ศิลาแก้วมืดดำชิ้นนั้นน่ะ นอกจากสมบัติวิเศษสองชิ้นนี้แล้ว ข้าสัมผัสไม่ถึงสิ่งใดที่มีไอเยือกเย็นจากตัวผู้คนเหล่านี้ หรือว่าข่าวเจ้าจะผิดพลาด” ชายหนุ่มชุดขาวในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงเย็นเยือกไปถึงกระดูก
“มีอะไรผิดพลาดหรือ เป็นไปไม่ได้! นี่คือข่าวที่ข้าต้องเสียศิลาวิญญาณไปจำนวนมากซื้อมาจากสำนักว่านทงเชียวนะ! หากกล้าหลอกลวงข้า ไม่กลัวว่าข้าจะกลับไปล้างบางสำนักพวกมันหรอกหรือ ของสิ่งนี้คงจะถูกปิดผนึกไว้อย่างดีเป็นพิเศษเท่านั้นหรอกกระมัง ความสามารถของเจ้าในเวลานี้คงจะสัมผัสมันจากความว่างเปล่าไม่ได้ ให้ค่าช่วยสหายหกปีกหาเถอะ” ชายฉกรรจ์หนวดเฟิ้มได้ยินเช่นนี้ กลับหัวเราะออกมาลั่น
จากนั้นสายตาของพวกเขาก็มองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งเหล่านั้น ทันใดนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งก็ตวัดออกไป
จากนั้นเสียงสนั่นดัง “ครืน” ก็แว่วมา
สมบัติวิเศษที่ถูกเก็บเอาไว้ซึ่งถูกพกติดตัวมาพร้อมกับรูปสลักน้ำแข็งเหล่านั้น กลายเป็นแสงวิญญาณนับไม่ถ้วนประทุสลายไป
ข้าวของเหล่านี้ปลิวกระจัดกระจาย กลางดวงตาสีเหลืองของชายฉกรรจ์ฉายแววเยือกเย็น มือที่ถูกฟาดออกไปทันใดนั้นก็คว้าความว่างเปล่าบริเวณหนึ่งแล้วหดกลับ
เสียงดังขึ้น “พรึ่บ” สิ่งของชิ้นหนึ่งสาดส่องแสงวิญญาณออกมา กะพริบสว่าง แล้วร่วงหล่นอยู่ท่ามกลางระหว่างนิ้วทั้งห้าของชายฉกรรจ์
เมื่อดูอย่างละเอียด คือตลับสีเหลืองน่าประหลาดใจใบหนึ่ง แต่ด้านนอกมียันต์สีแดงแปะติดอย่างแน่นหนา ดูแล้วน่าประหลาดอย่างชัดเจน
ชายฉกรรจ์หนวดเครารุงรังจ้องไปที่ของสิ่งของในมือ ก็หัวเราะ “หึๆ” แล้วเอาตลับหยกโยนไปให้ชายหนุ่มชุดขาวโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
ชายหนุ่มเมื่อมองไปยังตลาดหยกสีเหลืองที่ลอยเข้ามา ความเยือกเย็นในแววตาก็เคลื่อนไหว แต่กลับไม่มีความคิดที่จะใช้มือรับมันไว้ แต่ขยับปีกแมลงข้างหนึ่งบนหลังร่างจำแลงเบาๆ
เสียงร้องแหลมดังแหวกกลางอากาศ แสงสีขาวลำหนึ่งพุ่งออกมา กะพริบหนึ่งครั้งแล้วฟันไปบนตลับหยกนั้น
เสียงดังขึ้น “แคว่ก” บนผิวนอกยันต์สีแดงชั้นหนึ่งที่เชื่อมติดกันบนตลับหยก ก็ถูกตัดขาดออกจากกันราวกับเต้าหู้ ของสิ่งหนึ่งขนาดราวกำปั้นชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมา
แต่ไม่รอให้ชายหนุ่มได้เห็นของสิ่งนั้นอย่างชัดเจน ของสิ่งนั้นก็ส่องประกายสีน้ำเงิน ทันใดนั้นก็กลายเป็นกำแพงแก้วสีน้ำเงินสูงตระหง่านเกือบหนึ่งจั้ง หนาสามศอก ร่วงลงมาจากกลางอากาศ
ชายหนุ่มในชุดขาวมองไปที่กำแพงแก้ว สีหน้านิ่งทื่อในที่สุดก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม
ชั่วนาทีต่อมา เขาก็อ้าปาก ไอเย็นสีขาวก็พวยพุ่งออกมาราวกับน้ำตก แล้วแช่แข็งกำแพงแก้วสีน้ำเงินนั้นกลางอากาศทันที
จากนั้นชายหนุ่มก็ส่งเสียงคำรามเบาๆ เสียงหนึ่งออกจากปาก ร่างกายเลือนรางชั่วครู่อย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นเงามายาซ้อนทับกันแล้วแยกออกไปซ้ายขวา แล้วกลายเป็นเงาคนจำนวนสิบสองร่างที่เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก
เงาแต่ละร่างใบหน้าเหมือนกับชายหนุ่มชุดขาวร่างแท้อย่างแยกไม่ได้ บนหน้ามีลวดลายเงินทองปรากฏบนหน้าเช่นกัน
จากนั้นเงาร่างทั้งสิบสองก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายยันอาคมขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นก็กลายเป็นตะขาบสีขาวดั่งหิมะยาวหลายศอกสิบสองตัว ชั่วพริบตาเดียวก็แทรกซึมหายไปในกําแพงแก้วที่ถูกปิดผนึกด้วยน้ำแข็ง
ชั่วคราวเดียว ส่วนต่างๆ ของกำแพงแก้วสีน้ำเงินทันใดนั้นก็ส่องแสงสีขาวสิบสองลูก ค่อยๆ ขยับหมุนไม่หยุด พร้อมกับค่อยๆ ยืดหดไม่คงรูป
และแสงสีน้ำเงินในกำแพงแก้วก็เคลื่อนหมุน พ่นใยสีน้ำเงินเสร็จแล้วเส้นเล่าออกมากลางอากาศ แล้วซึมแทรกเข้าไปในแสงสว่างสีขาวทั้งสิบสองลูกราวกับสายน้ำไหลรวมลงสู่มหาสมุทร
ชายฉกรรจ์หนวดยาวเฟื้อยที่อยู่ตรงข้ามเห็นทั้งหมด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงลงเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ เห็นลูกแสงสีขาวทั้งสิบสองลูกค่อยๆ ดูดเอาเส้นใยสีน้ำเงินนั้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาด ไม่ได้มีอะไรเกินคาดหมาย สีหน้าจึงคลายลงบ้าง สีหน้าฉายแววซับซ้อนขึ้นมา
“ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะโชคดีเช่นนี้ ดวงชะตาของตะขาบตัวนี้สวนลิขิตสวรรค์จริงๆ ดันมาพบกับข้าตอนที่ข้าได้บรรลุ ‘อาคมทมิฬย้อนวิญญาณเที่ยงแท้’ ไม่เพียงแต่มีเลือดแท้ของมังกรขาว หนำซ้ำต่อมายังเกิดทารกกลายพันธุ์เช่นนี้อีก สามารถฝึกการเห็นแจ้งสวนลิขิตสวรรค์เคล็ดวิชาลับที่เขียนไว้ตำราหยกแห่งหอทองเผ่าพันธุ์มนุษย์ปฏิปักษ์ฉบับนี้ ยิ่งบังเอิญอีกก็คือ เจ้าคือแมลงวิญญาณที่ทรยศหนีของเจ้าเด็กนั้นที่เคยพูดถึงตอนที่ข้าอวตารร่างในยมโลกเพื่อแจ้งข้อมูลไปยังอีกภพหนึ่ง ช่างน่าขันเสียจริง! ไม่รู้ว่ารอจนอาคมย้อนวิญญาณของเจ้าสัมฤทธิ์ผล กลายเป็นร่างวิญญาณเที่ยงแท้แล้ว หากได้พบกับเจ้าเด็กแซ่หานนั่นอีก สีหน้าจะเป็นอย่างไร”
“ฮึ ข้าจะมีสีหน้าได้อย่างไร ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสหาย แต่ร่างอวตารของท่านร่างนั้นในยมโลก ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้านายคนก่อนของข้า หากรู้ร่างที่แท้จริงของตัวเอง กลับทำเรื่องที่ไม่ส่งผลดีในโลกวิญญาณ คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี” เสียงดังระงมทันใดนั้นก็ดังขึ้นในหูของชายฉกรรจ์หนวดยาวเฟื้อย เสียงเยาะเย้ยถากถางของชายหนุ่มชุดผ้าแพรแว่วมา
“ฮิๆ ร่างอวตารร่างนั้น เป็นแค่พิธีการที่ข้าเตรียมเผื่อไว้เท่านั้น จะส่งผลอะไรต่อข้าที่เป็นเจ้าของร่างจริงกันเล่า มิหนำซ้ำขอเพียงเจ้าสามารถฝึกอาคมย้อนวิญญาณนี้สำเร็จ ตอนที่บุกสวรรค์ครั้งหน้าได้ อีกทั้งหากอาคมย้อนวิญญาณนี้อยากให้ข้าต้านลิข้ตสวรรค์จริง ช่วยข้าให้ผ่านการชิงอัสนีบาตรครั้งหน้าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ร่างอวตารร่างนั้นก็เป็นแค่หมากที่เตรียมทิ้ง จะสนใจมันทำไม!” ชายฉกรรจ์หนวดยาวหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“ถ้าเช่นนั้นจะสหายก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องของเจ้านายคนก่อนของข้ามากนัก ขอเพียงข้าสำเร็จวิญญาณเที่ยงแท้ ก็ย่อมจะสามารถสลายคำสาปโลหิตของชะตาในจิตวิญญาณนั้นได้ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าไม่ต้องการให้สหายพาข้าไปทำเรื่องอื่น!” ชายหนุ่มในชุดขาวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ฮิๆ ข้ามองเจ้าสูงเกินไป เจ้าเด็กแซ่หานนั่นได้เข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์แล้ว ต่อให้ข้าอยากลงมือ แล้วจะทำอะไรกับมันได้เล่า” ชายฉกรรจ์หนวดเฟิ้มได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็แค่นเสียงหัวเราะออกมาทันที
“หากเป็นคนอื่น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยตัวตนของสหาย ข้าจะไม่เชื่อได้อย่างไร” ชายหนุ่มในชุดขาวนิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วตอบกลับช้าๆ
“เจ้ารู้จักตัวตนของข้าแล้วหรือ” ชายหนุ่มหนวดเครายาวเฟื้อยสวยได้ยิน ดวงตาทั้งคู่ก็ถลึงโตขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีเหลืองสองดวงนั้นปรากฏขึ้น ขยับไปมาราวกับของจริง ท่าทางดูน่าหวาดกลัว