A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1834 สัญญาของแดนมาร
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1834 สัญญาของแดนมาร
“เช่นนั้น ข่าวของบ่อน้ำวิญญาณนี้ก็เป็นสิ่งที่สตรีศักดิ์สิทธิ์บอกสหายหล่งและพวก แต่พี่หล่งเชื่อถืออย่างไม่สงสัยได้อย่างไร น่าจะมีเหตุผลของตนเองสินะ?” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย กลับเอ่ยถามบรรพชนตระกูลหล่งอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่ถามเช่นนี้ หญิงสาวสวมชุดขนนกและบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงก็หน้าเปลี่ยนสี อดที่มองไปทางบรรพชนตระกูลหล่งไม่ได้
“ตาเฒ่าย่อมมีวิธีของตนในการตัดสินเรื่องนี้ แต่วิธีที่ใช้กลับไม่อาจแพร่งพรายกับเหล่าสหายได้ โชคดีฟังจากคำพูดของเซียนเยี่ยก่อนหน้านี้ ก็ได้ยืนยันการมีอยู่ของบ่อชำระวิญญาณในแดนมารด้วยวิธีการอื่นแล้วเช่นกัน เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเราจะกล้าเสี่ยงอันตรายครั้งนี้แย่งชิงวาสนาใหญ่ครั้งนี้หรือไม่ ไม่ปิดบังเหล่าสหาย ตาเฒ่าและสตรีศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งพี่ฮุยร่วมยินดีที่จะเข้าไปสักตั้ง นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของแดนวิญญาณก็ออกหน้า ส่วนฝั่งเผ่ามนุษย์สามจักรพรรดิและขุมอำนาจต่างๆ ย่อมไม่มีทางให้พวกเขารู้เรื่องนี้ได้เด็ดขาด ดังนั้นถึงได้ตามหาสหายทั้งสาม หึๆ ความจริงแล้วข้าน้อยคิดจะเรียกแค่เซียนเยี่ยและพี่หลิน การปรากฏตัวของสหายหาน กลับเป็นเรื่องยินดีที่น่าเหลือเชื่อ จากนี้ก็ต้องดูว่าสหายทั้งสามจะยอมพนันเข้าไปแดนมารด้วยหรือไม่” บรรพชนตระกูลหล่งเอ่ยอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่หานลี่และพวกทั้งสามได้ฟัง ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ ครานั้นกลับไม่มีผู้ใดตอบรับอันใด สีหน้าแตกต่างกันไป
“ไม่ทราบว่าหลังจากที่เคราะห์มารปะทุพี่หล่งคิดจะไปที่แดนมารยามใด จากที่ข้ารู้เคราะห์มารครั้งนี้เหนือกว่าครั้งก่อนๆ หากไม่ระวังเผ่ามนุษย์พวกเราอาจจะถูกสังหาร หากโอกาสของพวกเราไม่ประจวบเหมาะ เกรงว่าพวกเราคงรักษาชีวิตในเคราะห์มารไว้ได้ยาก” หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดขนนกครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยพร้อมพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เรื่องนี้ตาเฒ่าย่อมขบคิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นยามที่เข้าไปในแดนมาร ก็ให้เป็นช่วงเวลายี่สิบสามสิบปีหลังจากที่เคราะห์มารปะทุ ถึงยามนั้นเผ่ามนุษย์น่าจะผ่านช่วงเวลาที่รุนแรงที่สุดของเคราะห์มารเข้าสู่ขั้นตอนการยืนกรานกันได้แล้ว ขุมอำนาจทั้งหมดต่างช่วยสนับสนุนกัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราค่อยหาโอกาสเหมาะๆ แอบเข้าไปในแดนมาร คิดดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอันใด และยิ่งไปกว่านั้นสหายหานนั้นไม่ต้องพูดถึง เดิมก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษคนหนึ่ง จึงไม่ต้องกังวล ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของตระกูลเยี่ยและตระกูลหลินก็น่าจะไม่ได้มีแค่สหายสองท่านสินะ” แววตาของบรรพชนตระกูลหล่งเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หึ ข่าวสารของตัวประหลาดเฒ่าหล่งอย่างเจ้ารวดเร็วจริงๆ! เยี่ยม หากตระกูลหลินของพวกเราไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายมากนักในยามที่เคราะห์มารปะทุ ถึงยามนั้นผู้แซ่หลินจะไปกับเจ้า” คาดไม่ถึงว่าบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงจะเป็นผู้ทำการตัดสินใจเป็นคนแรกในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน
เห็นได้ชัดว่าบ่อชำระวิญญาณและดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์มีแรงดึงดูดต่อเขามาก ทำให้ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“ในเมื่อมีวิธีการกลบกลิ่นอายเข้าไปในแดนมาร ย่อมมีอัตราการรักษาชีวิตได้มากขึ้น แต่ต่อให้พรางตัวไร้ร่องรอย หากเคลื่อนไหวในแดนมารนานเกินไป เกรงว่าคงต้องเผยร่องรอยออกมา ไม่รู้ว่าการไปแดนมารในครั้งนี้ จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ หากนานเกินไป อัตราในการเพลี่ยงพล้ำก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เกรงว่าน้องหญิงจะต้องการเวลาขบคิดก่อนถึงจะตอบตกลงได้ แน่นอนว่าหากเวลาไม่นาน ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยวาสนาในครั้งนี้ไป” หญิงสาวสวมชุดขนนกพ่นลมหายใจออกมาแล้วเอ่ยถาม
“เซียนเยี่ยถามเช่นนี้ กลับทำให้ข้าหนักใจขึ้นมา จากที่ข้ารู้ตำแหน่งของบ่อชำระวิญญาณและดอกบัวชำระพิสุทธิ์อยู่ตรงใจกลางของแดนมาร ต่อให้ทุกอย่างราบรื่น การกลับไปกลับมาก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าวัน หากพบความยุ่งยาก ก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกสองสามเท่า และพวกเราไม่อาจเคลื่อนไหวในยามที่เคราะห์มารปะทุได้ ดังนั้นในเรื่องของเวลาจึงไม่นับว่ากว้างขวางนัก” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเผยสีหน้าลำบากใจออกมาขณะเอ่ย
“ยี่สิบสามสิบปีหรือ เวลานานจริงๆ เกรงว่าข้าต้องใช้เวลาขบคิด ยามนี้ไม่อาจให้คำตอบกับสหายได้” หญิงสาวมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ถึงได้ตอบอย่างไม่มั่นใจออกมา
“ไม่เป็นไร เซียนเยี่ยย่อมกลับไปขบคิดดูได้ ทว่าเซียนมีสายเลือดหงส์สวรรค์ที่มีอิทธิฤทธิ์การทำลายห้วงเวลา เป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ในแดนมาร หากไม่ไปก็น่าเสียดายจริงๆ” บรรพชนตระกูลหล่งไม่แปลกใจกับคำตอบของหญิงสาวสวมชุดขนนก กลับตอบอย่างมีเลศนัย
“ไปหรือไม่ไป ข้าจะพิจารณาอย่างละเอียดเอง” หญิงสาวสวมชุดขนนกไม่มีเจตนาจะพูดมาก หลังจากตอบคำถามแล้ว ก็ไม่พูดจาอันใดอีก
ยามนี้สายตาของบรรพชนตระกูลหล่งและพวกย่อมตกอยู่บนเรือนร่างของหานลี่ที่ยังไม่ได้พูดอันใด
“ในเมื่อมีสมบัติอยู่ในแดนมาร ผู้แซ่หานเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษคนหนึ่ง การจะไขว่คว้าสิ่งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ต้องลังเลอันใด ทว่าอีกสองสามร้อยปี ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญอื่นซึ่งต้องใช้เวลานาน และไม่แน่ว่าจะปลีกตัวออกมาได้” หานลี่ครุ่นคิด คาดไม่ถึงว่าจะหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึงออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถึงยามนั้นสหายหานก็ดูสถานการณ์ก็แล้วกัน หากมีเวลาก็ไปสักรอบ หากไม่อาจปลีกตัวได้ ตาเฒ่าก็จะไม่ฝืนใจ ทว่าเหล่าสหาย บอกเอาไว้ก่อนนะ ไม่ว่าจะไปหรือไม่ไป ตาเฒ่าก็ไม่มีความเห็นใด แต่ก่อนที่ตาเฒ่าและสตรีศักดิ์สิทธิ์จะไปแดนมารก็หวังว่าจะรักษาความลับเอาไว้ได้ ยามนี้ผู้ที่รู้เรื่องนี้ มีแค่พวกเราไม่กี่คน หากมีการแพร่งพรายออกไปภายนอก อย่ามาโทษว่าตาเฒ่าไม่ไว้หน้า หึ ผู้แซ่หล่งไม่กลัวคนอื่นๆ จะแย่งชิงบ่อชำระวิญญาณหรอก แต่กังวลว่าหากเผ่ามารรู้เรื่องนี้เข้าถึงยามนั้นหากอยากแอบเข้าไปในแดนมาร ย่อมต้องยุ่งยากกว่านี้หลายเท่า” ไม่เหมือนกับหญิงสาวสวมชุดขนนก บรรพชนตระกูลหล่งดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับการที่หานลี่จะไปหรือไม่ไปมากนัก หลังจากเอ่ยอย่างราบเรียบสองประโยค ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หานลี่ได้ยินคำนี้หัวเราะน้อยๆ ออกมา ท่าทางไม่ใส่ใจ
หญิงสาวสวมชุดขนนกกลับขมวดคิ้วดำขลับ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พี่หล่งเห็นพวกเราเป็นคนอย่างไร พวกเราจะทำเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ทำไมกัน?”
“ตาเฒ่าจึงกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยเองก็เชื่อว่าเหล่าสหายไม่ใช่คนปิดปากไม่สนิท ในเมื่อบอกเรื่องนี้กับสหายทั้งสามแล้ว ถึงยามนั้นจะยอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้หรือไม่ ก็แล้วแต่สหายทุกท่านแล้ว ทว่าก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุจำต้องให้คำตอบที่แน่นอนกับตาเฒ่าก่อน ถึงอย่างไรเสียหากทุกท่านไม่ตกลง ตาเฒ่าก็จะไปหาสหายที่เหมาะสมคนอื่นๆ” บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” ครั้งนี้หญิงสาวสวมชุดขนนกตอบรับ
หานลี่ที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าด้วยสีหน้ามีความคิด
ในเมื่อปรึกษากันเสร็จแล้ว หานลี่และพวกย่อมไม่ได้รั้งรออันใดอีก หลังจากทักทายกันอีกสองสามประโยค หานลี่และพวกทั้งสามก็ทยอยกันขอตัวกล่าวลาไปจากตำหนักข้าง
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรเซียนฮุยย่อมเป็นคนออกมาส่งทั้งสามด้วยตัวเอง
ชั่วพริบตาในตำหนักก็เหลือเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและบรรพชนตระกูลหล่งสองคน
ส่วนหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองพลันมีสีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ชั่วครู่ก็สลายหายไป และแววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด ส่วนบรรพชนตระกูลหล่งกลับมองไปทางประตูใหญ่ และไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอันใดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะเงียบกริบไร้สุ้มเสียง!
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้ายังไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดสหายจะต้องดึงคนจากตระกูลเยี่ยมาเข้าร่วมกับพวกเรา หรือว่าพี่หล่งคิดว่าร่างแปลงหงส์สวรรค์ของนางมีประโยชน์ในการเดินทางไปแดนมารของพวกเรา! หากพูดถึงอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลา ข้าได้เชิญสหายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ มาแล้ว ไม่มีทางด้อยกว่าเซียนเยี่ยผู้นี้ หรือว่าพี่หล่งไม่เชื่อคำพูดของเชียนชิวหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าน้อยและสตรีศักดิ์สิทธิ์รู้จักกันไม่ใช่แค่ปีสองปี จะไม่วางใจได้อย่างไร ทว่าพวกเราจะไปแดนมารในตำนาน มีสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลา ถึงยามนั้นก็มีโอกาสในการรักษาชีวิตเพิ่มขึ้นแล้ว อีกอย่างเคล็ดวิชาลับของตระกูลเยี่ยลึกลับไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหล่งของพวกเรา พาสตรีผู้นี้ไปด้วยย่อมมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก” บรรพชนตระกูลหล่งมองหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองแวบหนึ่งแล้วกลับตอบอย่างเย็นชา
“ต่อให้เซียนเยี่ยผู้นี้สำคัญจริงๆ แต่สหายหานผู้นั้นเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แม้ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจก็ไม่จำเป็นต้องพาไปใช่หรือไม่ หากพี่หล่งคิดว่าจำนวนคนไม่พอ และหาสหายร่วมวิถีในเผ่ามนุษย์ไม่ได้ ข้าก็สามารถกลับเผ่าไปติดต่อกับคนในเผ่าที่มีพละกำลังให้มาร่วมการครั้งนี้ได้” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“หึๆ ข้าและสตรีศักดิ์สิทธิ์ตกลงกันไว้แล้ว จำนวนคนที่พวกเราจะพาเข้าไปในแดนมารต้องเท่ากัน เซียนคงไม่เสียดายในภายหลังสินะ! และยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้สหายเชียนชิวก็มองผิดไป! เจ้าเด็กแซ่หานผู้นี้แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นได้ไม่นาน แต่ข้าเคยทดสอบด้วยตัวเองแล้ว พละกำลังแข็งแกร่งกว่าอาวุโสฮุยแน่นอน ต่อให้ข้าและสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับขั้นปลายลงมือ อยากจะทำให้คนผู้นี้พ่ายแพ้ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าบุ่มบ่ามเชิญคนอื่นมาเข้าร่วมนั้นไม่ใช่การกระทำที่บุ่มบ่าม คนผู้นี้หลอมเทวรูปร่างทองได้ น่าจะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับเคล็ดวิชาระดับสุดยอดใดสักวิชาของเผ่ามารโบราณ และน่าจะควบคุมไอมารเที่ยงแท้ได้เช่นกัน หากพาคนผู้นี้ไปด้วยล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงในแดนมารก็ได้! แน่นอน หากเขาไม่ยอมเข้าร่วมจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ข้าจะไปหาผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอีกคนที่มีพละกำลังมาเข้าร่วมการครั้งนี้เอง” บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างมีความคิดเอาไว้อยู่แล้ว
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอาวุธวิญญาณ จะทำเรื่องที่เสียใจในภายหลังได้อย่างไร ในเมื่อพี่หล่งมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดให้มากความ ไข่มุกมารเม็ดนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ก่อน มีเพียงสหายที่รู้วิธีการควบคุมที่เรียนรู้ได้ตั้งนานแล้ว ข้าจะเป็นตัวแทนเผ่าวิญญาณและเผ่าท่านทำสนธิสัญญาข้อตกลงกัน และไม่สะดวกที่จะรั้งรออยู่ที่นี่นานอีก พรุ่งนี้จะกลับเผ่าวิญญาณทันที ส่วนเรื่องความร่วมมือของตระกูลหล่งและเผ่าอาวุธวิญญาณของพวกเรา หวังว่าสหายจะใส่ใจด้วย” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเห็นบรรพชนตระกูลหล่งมีท่าทีมีความเห็นอื่น ก็หัวเราะน้อยๆ อย่างไม่คิดเช่นนั้น
“สตรีศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ เจ้ากับข้าร่วมมือกันเป็นเรื่องที่ดีกับทั้งสองฝ่าย ผู้แซ่หล่งจะตั้งใจให้มาก แต่เจ้ากับข้าจะได้พบกันอีกครั้ง เกรงว่าคงเป็นเรื่องหลังจากที่เคราะห์มารปะทุแล้ว” บรรพชนตระกูลหล่งพยักหน้า แล้วฝืนยิ้มด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างมีมารยาทสองสามประโยค และหยัดกายลุกขึ้นจากไปเช่นกัน
แทบจะในเวลาเดียวกันหานลี่ก็มาถึงที่พัก และนอนแผ่อยู่บนเตียงขนาดใหญ่ในหอคอย หรี่ตาทั้งสองข้างลงพลางขบคิดอันใดสักอย่างอยู่