A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1841 กลับมาที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินอีกครั้ง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1841 กลับมาที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นลำแสงก็ม้วนวนออกมาจากธงอาคม จากนั้นก็หมุนคว้างคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นม่านลำแสงทรงกลมขนาดยักษ์ห่อหุ้มชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งหมดเอาไว้ ดูแล้วพลังในการป้องกันตัวไม่อ่อนแอเลยจริงๆ
ทว่าชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ในม่านลำแสงคุ้มกันเหล่านี้ มองพายุทะเลที่เปล่งเสียงร้องออกมาด้านหลังแล้วก็ยังคงมีสีหน้าซีดขาว
เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ระลอกคลื่นสีเงิน’ ที่มีชื่อเสียง แม้ว่าเขตอาคมป้องกันตัวของพวกเขาจะไม่ธรรมดาแต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก
จุดนี้คนอื่นๆ ที่ออกนอกมหาสมุทรมาเพลี่ยงพล้ำในหายนะสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างเคยทดสอบมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
เมื่อเข้าไปอยู่ในระลอกคลื่นสีเงินผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าระดับเทพแปลงย่อมไม่รอด ส่วนผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงก็แค่ปกป้องตนเองได้เท่านั้น จะหนีเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ก็ต้องดูชะตาฟ้าลิขิต
หากอยากช่วยพวกเขาจำนวนมากขนาดนี้ก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาหรือไม่ก็ระดับผสานอินทรีย์ถึงจะทำได้
พวกเขาเข้ามาในส่วนลึกของมหาสมุทรเช่นนี้จะไปบังเอิญพบกับท่านอาวุโสคนอื่นๆ ที่ผ่านทางมาได้อย่างไร
ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินบุรุษและสตรีที่เป็นผู้นำระดับพลังยุทธ์ก่อกำเนิดขั้นปลายทั้งสองคนรีบปรึกษากันแต่ก็มีสีหน้าปั้นยากเห็นได้ชัดว่ายังคงทำอันใดไม่ถูก
มองเห็นพายุหมุนอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงยี่สิบสามสิบลี้จะเข้ามากลืนกินพวกเขาในพริบตา ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่งก็ร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ
“ดูเร็ว ในระลอกคลื่นสีเงินเหมือนจะมีคนอยู่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของสหายคนอื่นๆ ก็ตกตะลึงรีบหันไปมองจุดที่ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินผู้นั้นชี้ไป
เห็นเพียงในระลอกคลื่นสีเงินที่อยู่ไม่ไกลนักมีดวงลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุดท่าทางเหมือนมีคนกำลังควบคุมลำแสงหลีกหนีอยู่
แต่เป็นเพราะผลกระทบจากพลังปราณฟ้าดินที่วุ่นวายอยู่ในระลอกคลื่นสีเงิน กลับทำให้ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินไม่สามารถใช้จิตสัมผัสแยกแยะได้ว่าคนในลำแสงหลีกหนีคือผู้ใด
ทว่าลำแสงสีเขียวนั้นมั่นคงดุจภูเขาไท่ซานในระลอกคลื่นสีเงินเคลื่อนไหวจากอีกด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะทำเหมือนมองไม่เห็นสายฟ้าและลูกเห็บที่อยู่ในทะเล
ฉากนี้กลับทำให้ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินราวกับได้พบกับดวงดาวช่วยชีวิต!
ทันใดนั้นชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินระดับก่อกำเนิดบุรุษและสตรีสองคนนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความดีใจ ทั้งสองผิวปากออกมาพร้อมกัน
เสียงผิวปากทุ้มต่ำและสดใสดังสลับกันไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลบเสียงอึกทึกในระลอกคลื่นสีเงินเอาไว้ได้ ราวกับทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
เสียงผิวปากเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือสำหรับเผ่าวิญญาณเหาะเหินโดยเฉพาะ
ขอแค่คนที่อยู่ในระลอกคลื่นสีเงินไม่ได้หูหนวกก็ไม่มีทางไม่พบพวกเขาที่กำลังตกอยู่ในอันตราย
ลำแสงหลีกหนีสีเขียวที่พุ่งไปมาอยู่ในระลอกคลื่นสีเงินหยุดชะงักเมื่อเสียงผิวปากดังขึ้นดังคาด
หากมีคนอยู่ใกล้กับลำแสงหลีกหนีก็จะพบว่าด้านในมีเงาร่างคนสายหนึ่งหันหน้ามาทางเสียงผิวปาก ดูเหมือนจะมีท่าทางประหลาดใจ
“พวกเจ้าคือชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินเผ่าใด เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่!”
เสียงของบุรุษที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นในม่านลำแสงและดังก้องกังวานไปมาทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
“ชนรุ่นหลังทั้งสามเผ่าของเผ่าห้าสี หยกขาว และวิหคสวรรค์ออกมาฝึกฝน คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับระลอกคลื่นสีเงินที่พันปีจะมีครั้งหนึ่ง หวังว่าท่านอาวุโสจะมีเมตตาช่วยชีวิตชนรุ่นหลังด้วยขอรับ”
บุรุษระดับก่อกำเนิดผู้นั้นพลันดีอกดีใจแล้วรีบตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
ทว่าหลังจากบุรุษที่ไม่คุ้นเคยได้ฟังคำตอบกลับเงียบขรึมชั่วครู่ไม่ได้ตอบอันใดกลับมา
เช่นนี้ก็ทำให้ชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง หากอีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่มั่นใจว่าจะช่วยพวกเขาจากระลอกคลื่นสีเงินได้ ย่อมไม่มีทางเสี่ยงอันตรายช่วยแน่
ทว่าโชคดีที่ลำแสงหลีกหนีสีเขียวนั้นไม่ได้บินออกไป ดูเหมือนว่าจะกำลังลังเล จึงทำให้พวกเขารู้สึกมีความหวังขึ้นมา
และผ่านไปชั่วครู่พายุทะเลก็พาประจุไฟฟ้าและลูกเห็บจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมพวกเขาเอาไว้ข้างใน
ชั่วพริบตาเสียงฟ้าร้องพลันดังขึ้นสะเทือนเลื่อนลั่นเกราะคุ้มกันที่ดูหนาสั่นคลอนอย่างรุนแรงราวกับว่าจะพังทลายได้ตลอดเวลา
ชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินเห็นเช่นนี้ย่อมหน้าถอดสี
ภายใต้เสียงร้องตะโกนของบุรุษและสตรีระดับก่อกำเนิดสองคน ทุกคนก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุดกุมธงอาคมในมือแน่นบรรจุพลังปราณเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต
เกราะป้องกันที่เดิมจะพังทลายมีลำแสงหมุนวนโคจรไปมาและหนาขึ้นอีกครั้ง
ทว่าชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้สูญเสียพลังปราณไปจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก ความหวังที่จะรอดชีวิตของพวกเขาย่อมต้องฝากหวังไว้ในมือของผู้ที่จะลงมือช่วยเหลือได้ผู้นั้น
“ในเมื่อมีเด็กจากเผ่าวิหคสวรรค์ข้าก็ไม่อาจมองดูเฉยๆ ได้จริงๆ ข้าจะส่งพวกเจ้าออกไปจากที่นี่ก็แล้วกัน!”
ในที่สุดเสียงของบุรุษแปลกหน้าก็ดังขึ้นอย่างราบเรียบอีกครั้ง!
ชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้ย่อมดีใจอย่างบ้าคลั่งแต่ไม่รอให้พวกเขาอยากถ่ายทอดเสียงใดๆ ออกมาก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าเหนือศีรษะ!
ประจุไฟฟ้าขนาดหนาเท่าปากชามเปล่งแสงสว่างวาบทยอยกันปรากฏขึ้นและตัดสลับกันไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมสายฟ้าเส้นผ่านศูนย์กลางสิบจั้ง
ใจกลางของเขตอาคมอัสนีบุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวแผ่นหลังมีปีกขนนกแวววาวปรากฏขึ้น
หลังจากกวาดสายตาเย็นชาไปด้านล่าง มือหนึ่งก็ร่ายอาคมโดยไม่ปริปาก
ชั่วขณะนั้นปีกที่แผ่นหลังก็กระพือ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นกลายเป็นเขตอาคมสายฟ้าสีเงินขนาดยักษ์ร่อนลงมาด้านล่างทันที
เกราะป้องกันที่แต่เดิมแทบจะทนไม่ไหวสัมผัสกับเขตอาคมอัสนีก็ฉีกขาดออกราวกับกระดาษก็ไม่ปาน
ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งหมดพลันตกตะลึงเห็นเพียงสีเงินขาวด้านหน้าถูกสายฟ้าห่อหุ้มเอาไว้
พวกเขารู้สึกวิงเวียนแล้วหายวับไปจากเขตอาคมอัสนีพร้อมกับเสียงดังสนั่น
ครู่ต่อมาห่างออกไปหมื่นลี้ที่ระลอกคลื่นสีเงินยังมาไม่ถึงก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเขตอาคมลำแสงอัสนีฉีกห้วงเวลาปรากฏขึ้นเช่นกัน
ชนเผ่าวิญญาณที่เพิ่งติดอยู่ในระลอกคลื่นสีเงินเมื่อครู่ทยอยกันทะลักออกมาจากใจกลางเขตอาคมอัสนี คาดไม่ถึงว่าจะถูกส่งตัวมาที่นี่
ชั่วพริบตาที่พวกเขาหนีรอดพ้นจากความตายก็มองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึงเมื่อพบว่าตนอยู่ในที่ปลอดภัยก็จะดีใจแค่ไหน แค่คิดก็รู้แล้ว ทยอยกันโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ขอบพระคุณที่ท่านอาวุโสช่วยชีวิต ท่านอาวุโสคือท่านอาวุโสท่านใดจากเผ่าวิหคสวรรค์หรือ!”
ทว่าบุรุษระดับก่อกำเนิดที่เป็นผู้นำผู้นั้นกลับมองเห็นชายชุดคลุมสีเขียวที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศในปราดเดียว จากพลังยุทธ์ของเขาไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออก ทันใดนั้นก็ใจหายวาบ แล้วจึงรีบคารวะพร้อมกับเอ่ยขึ้น
คนอื่นๆ เองก็พบว่าด้านบนมี ‘ผู้ช่วยชีวิต’ จึงทยอยกันคารวะกันยกใหญ่
“เผ่าวิหคสวรรค์! หึๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ ทว่าในอดีตข้าเคยมีที่มาที่ไปเดียวกันกับเผ่าวิหคสวรรค์ ในเมื่อพวกเจ้ามีคนที่อยู่ในเผ่าวิหคสวรรค์ ข้าจึงไม่อาจไม่ช่วยได้” บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวดูราวกับมีอายุเพียงยี่สิบปีเศษ เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วเผยไรฟันขาวขณะเอ่ย
คนผู้นี้ย่อมเป็นหานลี่ที่เสียเวลาไปแปดสิบกว่าปี ถึงได้มาถึงละแวกของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน
จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในยามนี้ที่เทียบได้กับระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแล้ว จึงไม่พบอันตรายใดๆ ระหว่างทาง แต่ระหว่างทางก็พบกับความยุ่งยากต่างๆ ไม่น้อยเช่นกัน
โดยเฉพาะที่ต้องอ้อมดินแดนที่เสี่ยงอันตราย ก็จำต้องเสียเวลาเพิ่มไปสิบกว่าปี ในที่สุดถึงได้มาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราไม่มีทางลืมบุญคุณของท่านอาวุโสแน่ หวังว่าท่านจะประทานชื่อให้ ชนรุ่นหลังจะได้กลับไปรายงานเรื่องนี้กับอาวุโสในเผ่าเพื่อเป็นการขอบคุณ!” แม้ว่าชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านั้นจะมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีฐานะในเผ่า หญิงสาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินระดับก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งมีปีกห้าสีที่แผ่นหลังเป็นคนของเผ่าห้าสี กำลังเอ่ยกับหานลี่อย่างนอบน้อม
“ช่างเถิด ข้าช่วยพวกเจ้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น ขอบคุณอันใดกัน ทว่าข้าฝึกฝนอยู่ในแดนรกร้างมาตลอด จึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของเผ่าต่างๆ นัก พวกเจ้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามร้อยปีนี้ให้ฟังหน่อยได้หรือไม่” หานลี่แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อท่านอาวุโสอยากถาม ชนรุ่นหลังย่อมต้องบอก ช่วงนี้เผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเราเกิดเรื่องมากมายจริงๆ ทว่าเรื่องที่ใหญ่ที่สุดนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ราชาปีศาจสองสามท่านหายตัวไป สุดท้ายทั้งแดนก็ร่วมมือกันแก้ปัญหานี้” หญิงสาวเผ่าห้าสีครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบกลับตามความจริง
“แดนที่ถูกโจมตี เรื่องนี้ไม่เล็กเลย อธิบายให้ละเอียดหน่อย” หานลี่ใจหายวาบ แต่ใบหน้ายังคงไม่มีสีหน้าประหลาดใจพลางเอ่ยอย่างแช่มช้า
“เจ้าค่ะ ท่านอาวุโส เรื่องนี้พูดไปก็ยาว ตอนแรกบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ออกไปฝึกฝนเหมือนสองสามร้อยปีก่อนบอกว่า…” หญิงสาวเผ่าห้าสีย่อมอธิบายอย่างละเอียดตามรับสั่ง
ไม่นานนัก หานลี่ก็เปล่งแสงสีเขียว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวบินห่างชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินไป หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หายวับไปที่ขอบฟ้า
“ศิษย์น้องหญิงซวน เรื่องที่เจ้าเพิ่งเล่าไปเมื่อครู่ จะไม่มีปัญหาหรอกนะ” บุรุษระดับก่อกำเนิดผู้นั้นรอให้หานลี่หายลับไป ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“พี่เหมี่ยนหมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวเผ่าห้าสีพลันตกตะลึง อดที่จะถามย้อนกลับไม่ได้
“ไม่มีอันใด ท่านอาวุโสเมื่อครู่ไม่ยอมบอกชื่อแซ่กับเรา หน้าตาก็ไม่คุ้นเลย อาจจะไม่ใช่คนของเผ่าข้า” บุรุษระดับก่อกำเนิดลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึงออกมา
“เป็นไปไม่ได้! ท่านอาวุโสผู้นี้มีปีกวิญญาณ และยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏตัวในน่านน้ำ ไม่ใช่คนเผ่าวิญญาณเหาะเหินแล้วจะเป็นคนเผ่าใด?” คนอื่นๆ เอ่ยขึ้นทันทีด้วยเสียงอันดัง
“ก็ใช่ ท่านอาวุโสผู้นี้บอกว่าตนมีที่มาที่ไปเดียวกันกับเผ่าวิหคสวรรค์ และทั้งยังควบคุมสายฟ้าได้ นี่เป็นอิทธิฤทธิ์ที่มีแค่ในเผ่าวิหคสวรรค์ คนภายนอกไม่อาจสวมรอยได้ และยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นชนต่างเผ่าแอบเข้ามาในเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรา เหตุใดต้องลงมือช่วยเหลือพวกเรา หรือไม่ก็ก่อนจะจากไปเมื่อครู่ เหตุใดถึงไม่ลงมือปิดปากพวกเรา พี่เหมี่ยนคิดมากเกินไปแล้ว!” หญิงสาวเผ่าห้าสีเองก็หัวเราะน้อยๆ ออกมาพลางเอ่ยอย่างไม่เชื่อ
“ข้าอาจจะคิดมากไปกระมัง!” บุรุษระดับก่อกำเนิดมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แล้วถึงได้ฝืนพลางพยักหน้า
“ศิษย์พี่เหมี่ยนวางใจเถิด! ต่อให้คนผู้นี้คือชนต่างเผ่าจริงๆ เรื่องที่น้องหญิงกล่าวเมื่อครู่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันในเผ่า ไม่ใช่ความลับอันใด ยามนี้พวกเรารีบออกจากน่านน้ำเถิด หากถูกระลอกคลื่นสีเงินไล่ตามมาคงรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ไม่ได้” หญิงสาวเผ่าห้าสีมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย
“ใช่ ที่นี่ยังอันตราย รีบไปจากที่นี่เถิด!”
“ศิษย์พี่หญิงซวนพูดถูก ผู้ที่ช่วยพวกเราเมื่อครู่มีพลังยุทธ์ที่คาดเดาไม่ได้ ต่อให้เป็นชนต่างเผ่าจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะทำอันใดได้ รีบเอาชีวิตรอดจะดีกว่า”
คนอื่นๆ ก็ทยอยกันเอ่ยปาก บางคนก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาขณะมองไปรอบๆ ด้านอีกครั้ง