A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1845 ความเปลี่ยนแปลงของหุบเหวลึก
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1845 ความเปลี่ยนแปลงของหุบเหวลึก
“จุดนี้สหายโปรดวางใจ ข้าน้อยมั่นใจในการแปลงกายของตน นอกเสียจากจะพบกับท่านอาวุโสระดับมหายานของเผ่าท่าน มิเช่นนั้นเคล็ดวิชาลับที่ใช้ตรวจสอบก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับผู้แซ่หาน” หานลี่เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
มิน่าล่ะเขาถึงเอ่ยเช่นนี้!
โลหิตวิญญาณคุนเผิงที่ผสมอยู่ในร่างของเขา ประกอบกับปีกวายุที่ฝึกฝนจนอยู่ในขั้นที่ใช้ได้ตามประสงค์ ย่อมหลอกว่าเป็นผู้คุ้มกันจากเผ่าวิหคสวรรค์ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีช่องโหว่อันใด
“อืม สหายกล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องดี บุตรศักดิ์สิทธิ์หลัน รอจนถึงหุบเหวลึกต้องรบกวนบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว” จินเย่ว์พยักหน้า แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับหญิงสาวชุดสีเงิน
“อาวุโสโปรดวางใจ หลันเอ๋อร์มีเคล็ดวิชาลับที่ต้องอาศัยไอน้ำแข็งทมิฬฝึกฝนอยู่จริง เมื่อยี่สิบถึงสามสิบปีก่อนก็เคยเข้าไปในหุบเหวลึกด้วยเหตุนี้ คิดดูแล้วผู้คุ้มกันเหล่านั้นคงไม่สงสัยอันใด” หญิงสาวสวมชุดสีเงินเอ่ยกับจินเย่ว์อย่างนอบน้อม แต่แววตางดงามพลันกลอกไปมา อดที่จะกวาดมองมาทางหานลี่แวบหนึ่งไม่ได้ ใบหน้างดงามยังคงเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
แม้ว่าก่อนออกเดินทางนางจะรู้ว่าหานลี่ที่ช่วยพวกเขาอีกแรงในปีนั้น กลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางกลับมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่ยามนี้ได้เห็นกับตาของตัวเอง ก็ยังคงตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบ
แม้ว่านางจะมองออกว่าหานลี่มีอิทธิฤทธิ์มากมายตั้งแต่แรกที่อยู่ในหุบเหวลึก และเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกัน แต่ภายในเวลาสองสามร้อยปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ก็มีพลังยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ!
ทว่าหญิงสาวที่กลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ได้เผยท่าทางเสียอาการออกมา ยามที่พบกับหานลี่ก็แค่คารวะดังคนรุ่นหลังและขอบคุณบุญคุณที่เคยช่วยไว้ในหุบเหวลึกในปีนั้น แล้วกดความฉงนเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
ส่วนบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์อีกคนหนึ่ง ‘ไป๋ปี้’ ว่ากันว่ากำลังกักตนฝึกฝนเคล็ดวิชาอันใดสักอย่างจึงไม่อาจมาพบกับหานลี่ได้
เมื่อได้ยินเหลยหลันกล่าวเช่นนี้ จินเย่ว์ก็เผยรอยยิ้มออกมา พยักหน้าไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ดังนั้นกลุ่มคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินไปอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็สลัดเมืองศักดิ์สิทธิ์ไปไม่เห็นเงา
……
สองสามเดือนต่อมาในที่สุดกลุ่มของหานลี่ก็เห็นเมืองยักษ์ที่คุ้มครองหุบเหวลึกรวมทั้งกำแพงเมืองที่มีเงาร่างคนสวมชุดเกราะเรียงแถวอยู่
จินเย่ว์หรี่ตาทั้งสองข้างลง ทันใดนั้นก็พาหานลี่และเหลยหลันตรงไปยังประตูเมืองด้านล่างกำแพงเมือง
ตรงประตูเมืองสีเขียว มีผู้คุ้มกันหุบเหวลึกติดปีกหลากสีสันสิบกว่าคนกำลังใช้สายตาระแวดระวังเงยหน้าขึ้นพิจารณาพวกเขา
ทันทีที่ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง ทั้งสามคนกลับปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าผู้คุ้มกันเหล่านั้น
หานลี่เปลี่ยนหน้าตาไปเล็กน้อยตั้งนานแล้ว ในเวลาเดียวกันก็กดพลังปราณในร่างให้อยู่ในระดับหลอมสุญตาชั่วคราว
“ท่านอาวุโสคือคนของเผ่าวิหคสวรรค์ ไม่ทราบว่ามาทำอันใด? ยามนี้ยังไม่ถึงยามเปลี่ยนเวร!” ผู้คุ้มกันระดับหลอมสุญตาขั้นกลางที่เป็นผู้นำคารวะจินเย่ว์ แล้วเอ่ยอย่างไม่เอาแต่ใจและไม่เอาใจ
แม้ว่าจากพลังยุทธ์ของเขาจะไม่อาจมองพลังยุทธ์ที่แท้จริงของจินเย่ว์ออก แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์
ส่วนหานลี่และเหลยหลันกลับดูเหมือนจะถูกคนผู้นี้มองข้ามไปอย่างไรอย่างนั้น
มิน่าล่ะอีกฝ่ายถึงได้มีท่าทางเช่นนี้
เป็นเพราะผู้คุ้มกันที่นี่รบราฆ่าฟันกับเหล่าปีศาจเป็นเวลานาน กำลังที่แท้จริงและเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันในเผ่า แน่นอนว่าปกติแล้วจึงไม่รู้สึกว่าคนอื่นๆ ในเผ่าต่างๆ มีความหมายอันใด
จินเย่ว์เห็นเช่นนั้นก็ไม่โกรธ เพียงหัวเราะน้อยๆ ออกมา ยกมือขึ้น ชั่วขณะนั้นคัมภีร์สีฟ้าม้วนหนึ่งก็บินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วร่อนลงในมือของอีกฝ่าย
ผู้คุ้มกันที่เป็นหัวหน้าผู้นี้รับคัมภีร์ไปด้วยความฉงน หลังจากเพ่งพินิจมองก็หน้าเปลี่ยนสี ส่งคัมภีร์คืนให้ แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ที่แท้ก็เป็นอาวุโสจินอาวุโสใหญ่ของเผ่าวิหคสวรรค์ ชนรุ่นหลังเสียมารยาทแล้ว”
“ตามที่เผ่าต่างๆ ทำสัญญากันไว้ ใช้คุณสมบัติอาวุโสใหญ่อย่างพวกเราเข้าออกที่นี่ คงไม่มีปัญหาอันใดสินะ” จินเย่ว์เก็บคัมภีร์ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วขอรับ ชนรุ่นหลังจะกล้าขัดขวางได้อย่างไร” ผู้คุ้มกันผู้นี้ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด จากนั้นก็โบกมือ ผู้คุ้มคนอื่นที่เดิมขวางอยู่ตรงประตูเมืองพลันเบี่ยงกายออกเป็นสองแถว เผยทางเดินเข้าไป
จินเย่ว์เองก็ไม่เกรงใจ หลังจากพยักหน้า ก็พาหานลี่และพวกทั้งสองก้าวเข้าไปในประตูเมืองอย่างแช่มช้า
อีกด้านของประตูเมือง แน่นอนว่ายังคงเหมือนกับที่หานลี่มาเมื่อสองสามร้อยปีก่อน หอคอยรูปทรงกลมสูงใหญ่ประมาณสามสิบสี่สิบจั้งเรียงรายกินพื้นที่กว่าครึ่งของเมืองปรากฏขึ้นสู่สายตา
ทว่าเงาร่างคนที่สัญจรไปมาในเมืองกลับมีอยู่หร็อมแหร็ม มีเพียงผู้คุ้มกันที่สามารถบินต่ำๆ คอยตรวจตราทั้งเมืองยักษ์แห่งนี้ได้
“ไปกันเถิด พวกเราไม่จำเป็นต้องค้างคืนที่นี่!” จินเย่ว์ถ่ายทอดเสียงมาที่ข้างหูของหานลี่และพวกทั้งสอง จากนั้นก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง แล้วบินไปอีกด้านของเมืองยักษ์
หานลี่และเหลยหลันก็ตามมาติดๆ โดยไม่พูดอันใด
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสามคนก็มาอยู่ตรงหน้ากำแพงยักษ์สีเขียวอีกด้าน นี่คือกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งที่สุด มีเขตอาคมขนาดยักษ์สีเงินระยิบระยับสลักอยู่
ตรงหน้าเขตอาคมมีผู้คุ้มกันสวมชุดเกราะหลากสีสันอีกกลุ่มหนึ่งยืนอยู่
ทว่าที่แปลกประหลาดก็คือนอกจากผู้คุ้มกันที่ยืนตัวตรงกลุ่มนี้แล้ว ด้านหลังของพวกเขากลับมีบุรุษวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีเขียวคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่บนฟูก
เมื่อเห็นบุรุษผู้นี้หานลี่ก็ใจหายวาบ รูม่านตาของจินเย่ว์อดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
บุรุษผู้นี้ก็คือจินเฟิงหัวนายทหารผู้บัญชาการผู้คุ้มกันที่นี่ที่หานลี่เคยพบในตอนนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
เหตุใดคนผู้นี้ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ท่าทางเหมือนเป็นผู้ดูแลทางเข้าหุบเหวลึกด้วยตัวเอง
จินเย่ว์มีความคิดนับหมื่นสายไหลวนโคจรอยู่ในหัว แต่ใบหน้ายังไม่เผยสีหน้าแปลกประหลาดใดๆ ออกมา กลับฉีกยิ้มแล้วเอ่ยปาก
“คาดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการจินจะอยู่ที่นี่ ช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ ไม่ได้พบหน้ากันสองสามร้อยปี สหายยังสบายดีหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของจินเย่ว์ บุรุษเกราะสีเขียวก็เลิกคิ้ว ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“ข้าก็ว่าผู้ใด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเซียนจินจากเผ่าวิหคสวรรค์ สหายไม่ได้ฝึกฝนอยู่ที่เผ่าวิหคสวรรค์หรือ เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่” บุรุษเอ่ยถามด้วยสีหน้าเถรตรง
“เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นน้องหญิงที่ควรถามถึงจะถูก ทางเข้าหุบเหวลึกให้ผู้บัญชาการจินมาดูแลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” จินเย่ว์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อืม ปกติแล้วข้าย่อมไม่ออกหน้าด้วยตัวเอง แต่ที่นี่ในยามนี้นอกจากเรื่องใหญ่แล้ว ข้าก็จำใจต้องออกโรงด้วยตัวเอง” จินเฟิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เรื่องใหญ่?” จินเย่ว์พลันตกตะลึง
“สองสามเดือนก่อนข้าได้รับข่าวคราวมาว่า มีคนจะขโมยคลังแร่ในส่วนลึกของหุบเหวลึก ขุดแร่หายากอายุหลายร้อยปีไปจนเกลี้ยง ผู้คุ้มกันกลุ่มนั้นถูกคนผู้นี้สังหารไปกว่าครึ่ง เจ้าโจรนั่นมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งนัก ไม่ธรรมดาเลย ข้าจึงต้องส่งผู้คุ้มกันจำนวนมากเข้าไปในหุบเหวลึก ที่นี่เป็นทางเข้าออกหุบเหวลึกทางเดียว และยามนี้ในเมืองก็ว่างเปล่านิดหน่อย เกรงว่าผู้คุ้มกันทั่วๆ ไปคงไม่อาจขวางทางคนผู้นี้ได้ ข้าจึงต้องมานั่งบัญชาการด้วยตนเอง!” จินเฟิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย! หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เหมืองแร่ของหุบเหวลึก ไม่ใช่มีอาวุโสฉินคอยนั่งบัญชาการอยู่หรือ! หรือว่าจากพลังยุทธ์ของท่านอาวุโสฉิน ก็ไม่อาจทำอันใดเจ้าโจรนั่นได้!” จินเย่ว์ตกตะลึง แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าโจรนั่นเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ถือโอกาสที่ท่านอาวุโสฉินไปจากเหมืองแร่ได้ครึ่งวันลงมือ รอจนท่านอาวุโสฉินได้รับข่าวแล้วกลับมา เขาก็หนีเตลิดไปไกลแล้ว ยามนี้เซียนจินบอกเจตนาที่มาได้แล้วสินะ แม้ว่าอาวุโสใหญ่จะมีอำนาจเข้าออกหุบเหวลึก แต่ก็ต้องมีเหตุผลถึงจะได้” บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แววตาเปล่งประกาย พลางจ้องเขม็งไปที่จินเย่ว์
“ไม่ใช่ว่าข้ามีเรื่องต้องไปที่หุบเหวลึก แต่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลันของเผ่าข้าที่ต้องอาศัยไอน้ำแข็งทมิฬฝึกฝน จึงจำใจต้องเข้าไปในหุบเหว” จินเย่ว์ชี้ไปที่เหลยหลัน แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หญิงสาวสวมชุดสีเงินก้าวไปข้างหน้า คารวะแล้วทักทายบุรุษสวมชุดเกราะสีเงินอย่างเชื่อฟัง
“เหลยหลันคารวะท่านอาวุโสจิน!”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลัน! อืม ข้าจำบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินลูกน้องรายงานว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยเคยเข้าไปฝึกฝนในหุบเหวลึกจริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมเข้าไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นมีเซียนจินไปด้วย แม้ว่ายามนี้สถานการณ์ในหุบเหวจะอันตราย คิดดูแล้วก็คงปลอดภัยไม่มีปัญหา ทว่าคนผู้นั้นคือใคร หรือว่าก็จะเข้าไปในหุบเหวด้วย?” บุรุษชุดเกราะสีเขียวพลันพยักหน้า แต่หลังจากกวาดสายตามาที่หานลี่ ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“ผู้นี้คือชนรุ่นหลังของข้า คุณสมบัตินับว่าไม่เลว ยามนี้รับหน้าที่เป็นผู้รับใช้ข้างกายบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลัน เลยต้องเข้าไปด้วย” จินเย่ว์มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง พลางเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ในเมื่อมีเซียนจินไปด้วยแล้ว เหตุใดต้องมีผู้คุ้มกันอีก ข้าว่าเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไป ถึงอย่างไรเสียยามนี้สถานการณ์ในหุบเหวก็สลับซับซ้อน ให้คนเข้าไปน้อยหน่อยก็จะดีกว่า” บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวหรี่ตามองหานลี่สองแวบ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
เมื่อได้ยินคำนี้ เหลยหลันก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หานลี่ก็หน้ากระตุก
จินเย่ว์กลับไม่ลนลานใดๆ แค่สั่นศีรษะแล้วเอ่ยว่า
“เกรงว่าจะไม่ได้! แม้ว่าศิษย์หลานหานจะเป็นแค่ผู้คุ้มกันคนหนึ่ง แต่มีความเกี่ยวข้องกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสำคัญต่อการฝึกฝนในครั้งนี้มาก จำต้องเข้าไปในหุบเหว หากไม่ได้ข้าจะพาเขามาที่นี่ด้วยทำไมกัน”
“หรือว่าเซียนจินล้อเล่นแล้ว! เขาเป็นผู้คุ้มกันคนคนหนึ่งจะมีความสัมพันธ์กับการฝึกฝนของบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยได้อย่างไร” บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแหบแห้งขณะเอ่ย ท่าทางไม่เชื่อถือนัก
จินเย่ว์เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ทันใดนั้นก็ขยับริมฝีปาก แต่กลับไม่มีเสียงใดถ่ายทอดออกมา คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงไปหาบุรุษผู้นั้นโดยตรง
หลังจากที่ผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าฉงนของบุรุษชุดเกราะสีเขียวก็พลันเปลี่ยนไป และมุมปากกระตุกรอยยิ้มบางๆ ออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่รู้จะพูดอันใดแล้ว ให้ทั้งสามเข้าไปข้างในเถิด” ผู้บัญชาการจินผู้นี้เอ่ยไปพลางใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปบนเรือนร่างของหานลี่และเหลยหลันสองสามรอบไปพลาง
แม้ว่าใบหน้าของหานลี่และเหลยหลันจะไม่ได้เผยอันใดออกมา แต่ในใจก็พอจะคาดเดาได้รางๆ
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมปล่อย ทั้งสองย่อมเอ่ยขอบคุณตามลำดับ