A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1859 แขกผู้มาเยือน
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1859 แขกผู้มาเยือน
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหยวนจื่อจินเยี่ยนโหวก็แววตาเปล่งประกายดูเหมือนว่าจะถูกทำให้ถูกใจ ยามนั้นจึงตกอยู่ภวังค์ความครุ่นคิด
หานลี่ได้ฟังคำว่า อัสนีวัชระสังหารมาร ก็มีสีหน้าแปลกประหลาดฉายแวบผ่าน
มิน่าล่ะเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายของอาวุธทั้งสามชิ้น ที่แท้วัตถุดิบหลักของพวกมันก็คือใบของไผ่อัสนีสีทองที่เขามอบให้ครั้งที่แล้ว
ใบไผ่เหล่านี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับรากของไผ่อัสนีทองแม้ว่าจะผ่านการหลอมทีหลังกลิ่นอายย่อมไม่แตกต่างกันมากนัก
ส่วนอัสนีวัชระสังหารมารนั้นแม้ว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับมารสวรรค์ในแดนนอกที่ยอดเยี่ยม แต่มารสวรรค์จะมาปรากฏแค่ยามที่ทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานรวมทั้งเคราะห์สวรรค์ของระดับมหายานเท่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องตระเตรียมในยามนี้
ส่วนวิธีในการหลอมสมบัติชิ้นนี้หานลี่ก็บังเอิญหาพบในย่านร้านค้าของชนต่างเผ่าอื่น
แต่แค่ตอนนั้นถูกวัตถุดิบธาตุอัสนีจำนวนมากที่มันต้องการทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง
เขามั่นใจว่าในตอนนั้นไม่มีทางรวบรวมวัตถุดิบที่ต้องการได้และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีกำลังที่จะหลอมได้จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปด้วยความเสียดาย
ยามนี้ได้ฟังว่าแม้แต่ชิงหยวนจื่อที่มีพลังยุทธ์ระดับมหายานยังหลอมได้แค่เจ็ดแปดชิ้น แต่ต้องใช้เวลาไปสองสามร้อยปีก็ทำได้แค่หัวเราะอย่างขมขื่นในใจเท่านั้น
ดูแล้วก่อนที่จะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายก็อย่าคิดถึงอัสนีวัชระสังหารมารอีกเลย
“จากมูลค่าของอัสนีวัชระสังหารมารทั้งสามชิ้นก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับดินแห่งลมหายใจ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ นมของแม่น้ำยมโลกสหายก็มีมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาขอแลกเปลี่ยนกับข้า” จินเยี่ยนโหวเอ่ยปากอีกครั้งน้ำเสียงแฝงไปด้วยความฉงน
“นมของแม่น้ำยมโลกของข้าน้อยถูกคนหนึ่งยืมไปเมื่อร้อยปีก่อน ยามนี้สหายน้อยหานต้องการสิ่งนี้ในการทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์และเพราะผู้แซ่เจียงเคยตอบรับเรื่องนี้เอาไว้กับเขาจึงทำได้เพียงต้องมาหาสหายถึงที่” ชิงหยวนจื่อเอ่ยอย่างแช่มช้า
“สหายเจียงถึงกับยอมมอบนมแม่น้ำยมโลกให้? ดูแล้วความสัมพันธ์นี้คงไม่ธรรมดาสินะ!” จินเยี่ยนโหวตกตะลึงส่งเสียงจุ๊ๆ ขณะเอ่ยและกวาดตามองหานลี่อีกครั้ง
หานลี่ค้อมตัวลงเผยสีหน้านอบน้อมออกมา แต่ในใจก็นึกถึงคำพูดของชิงหยวนจื่อจึงไม่ได้เอ่ยปากอันใด
“อืม มีความสัมพันธ์สนิทสนมกันจริงๆ เอาล่ะสิ่งที่ข้าน้อยควรพูดก็พูดไปหมดแล้วหากพี่จินยังไม่สนใจก็ต้องไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่นแล้ว ผู้อื่นไม่รู้แต่ข้าคิดว่าตัวประหลาดเฒ่าเยี่ยนที่ใกล้จะฟาดเคราะห์อัสนีก็คงยินดีที่จะทำการแลกเปลี่ยนเช่นกัน” ชิงหยวนจื่อใช้นิ้วชี้เคาะบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“พี่ชิงล้อเล่นแล้ว ข้าปฏิเสธตอนไหนกัน ในเมื่อสหายจริงใจขนาดนี้ประกอบกับที่เราเคยสนิทสนมกัน ข้าน้อยจะรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้” จินเยี่ยนโหวครุ่นคิดเล็กน้อยในที่สุดก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“พี่จินยินดีเช่นนี้ย่อมถูกแล้ว การแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีประโยชน์กับเราสองคนเป็นอย่างมาก!” ชิงหยวนจื่อได้ยินก็ตอบด้วยความดีใจ
บุรุษผู้สวมรัดเกล้าสีทองหัวเราะหึๆ อ้าปากออกพ่นลำแสงวิญญาณสี่ลูกออกมา
สีขาวสามลูก สีเหลืองหนึ่งลูก!
คือขวดหยกสีขาวสามขวดและกล่องหยกสีเหลืองหนึ่งกล่องดังคาด!
สะบัดแขนเสื้ออีกครั้งของทั้งสี่ชิ้นบินมาทางชิงหยวนจื่อ ในเวลาเดียวกันอีกมือหนึ่งก็กวักไปทางกล่องหยกบนโต๊ะและอัสนีวัชระสังหารมารอีกสองชิ้น
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น! ของบนโต๊ะสั่นเทาทันที ถูกจินเยี่ยนโหวดูดเข้าไปในมือ
แทบจะในเวลาเดียวกันชิงหยวนจื่อก็รับขวดและกล่องหยกที่บินเข้ามาในมือเช่นกันและทันใดนั้นก็ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบอย่างละเอียด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใบหน้าของชายชราก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ของไม่มีปัญหา ตาเฒ่าขอบคุณพี่จินด้วย! สหายน้อยหานนี่คือนมของแม่น้ำยมโลกสามขวดเจ้ารับไว้เถิด” หลังจากที่ชิงหยวนจื่อตรวจสอบแล้วก็เอ่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจ จากนั้นเขาพลันหันมาสะบัดข้อมือโยนขวดน้ำนมแม่น้ำยมโลกสามขวดให้หานลี่
หานลี่พลันตกตะลึงแต่ทันใดนั้นก็รับขวดไว้อย่างยินดี ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยปากขอบคุณไม่หยุด
ตอนแรกที่ตกลงกับอีกฝ่ายมันแค่สองขวดเท่านั้น ยามนี้อีกฝ่ายให้เขาสามขวด เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการขอบคุณที่เขารวบรวมวัตถุดิบมาได้ครบ
ดูแล้วที่เขาตัดสินใจรวบรวมวัตถุดิบให้ครบนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
แม้ว่านมวิญญาณเหล่านี้จะล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับชิงหยวนจื่อกลับไม่มีประโยชน์อันใดนักจึงไม่ได้คิดอันใดกับการกระทำของเขานัก
จินเยี่ยนโหวก็พึงพอใจกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้เช่นกัน จากนี้จึงพูดคุยเล่นกับชิงหยวนจื่อด้วยสีหน้าเบิกบาน
หนึ่งในนั้นยังมีทั้งความลับที่น้อยคนนักจะรู้ในแดนวิญญาณและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญเพียร นี่จึงทำให้หานลี่ที่อยู่ด้านข้างฟังอย่างออกรส
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็วชิงหยวนจื่อดูเหมือนจะรู้สึกว่าพอสมควรแล้ว ในที่สุดก็หยัดกายลุกขึ้นเอ่ยลา
จินเยี่ยนโหวก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งไว้แต่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน คิดจะไปส่งชิงหยวนจื่อที่ประตูตำหนักแล้วค่อยว่ากัน
และในยามนี้บนเกาะก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นจากนั้นทั้งตำหนักก็สั่นคลอน ดูเหมือนว่าสิ่งที่ห่อหุ้มเกาะจะถูกอันใดสักอย่างโจมตีจนทลายอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองคนที่เพิ่งจะยืนขึ้นในห้องโถงพลันตกตะลึงอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
ผู้ใดบังอาจนัก คาดไม่ถึงว่าจะกล้ามาหาเรื่องถึงที่
ต้องเข้าใจว่าแม้ชิงหยวนจื่อจะใช้ไอกระบี่สับสิ่งที่ห่อหุ้มเกาะอยู่ กลับแค่ดูยิ่งใหญ่เท่านั้นแต่ความจริงแล้วไม่ได้มีอานุภาพใดๆ แต่สถานการณ์เมื่อครู่กลับเห็นได้ชัดว่าถูกพลังจากภายนอกโจมตีเขตอาคมจนพังทลาย
จินเยี่ยนโหวได้สติกลับคืนมาก็ตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่พูดจาดูเหมือนว่าจะต้องการกระตุ้นอิทธิฤทธิ์อันใดสักอย่าง
แต่ครู่ต่อมาเสียงของบุรุษคนหนึ่งก็ดังก้องทั่วห้องโถง
“จินเยี่ยน ชิงหยวนจื่อ พวกเจ้าสองคนอยู่ไหมรีบออกมาพบข้า!”
เสียงหยาบกระด้างอู้อี้แต่กลับทำให้หน้าเปลี่ยนสีหลังจากมองสบตากันก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“อันใดยังไม่ออกมารับข้าอีก! จินเยี่ยนหรือจะให้ข้าถอนรังเจ้าออกจริงๆ?”
บุรุษผู้นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความอดทนนัก สิ้นเสียงด้านนอกตำหนักก็มีเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วทั้งเกาะเอาไว้
ยามนี้ด้านนอกตำหนักมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าจินเยี่ยนโหว จากนั้นพลันหม่นแสงเผยผู้คุ้มกันสวมชุดเกราะสีทองที่มีสีหน้าลนลานออกมา
“รายงานนายท่าน ด้านนอก…”
“ข้ารู้แล้วด้านนอกมีแขกผู้มีเกียรติ! เจ้าออกไปก่อน พี่เจียงดูแล้วเจ้าคงไปไหนไม่ได้แล้วพวกเราออกไปพบตัวประหลาดเฒ่ากันเถิดมิเช่นนั้นเกาะของข้าคงถูกเขาถอนออกจริงๆ” จินเยี่ยนโหวโบกมือให้ลูกน้องแล้วหันกายมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นกับชิงหยวนจื่อ
“ในเมื่อตัวประหลาดเฒ่ามาถึงนี่ก็ต้องไปพบสักหน่อย ทว่าทุกครั้งที่พบเขาข้าต้องปวดหัวไปหลายวัน” ชิงหยวนจื่อมุมปากกระตุกตอบกลับอย่างจนปัญญา
จินเยี่ยนโหวถอนหายใจแต่ก็ร่ายอาคมเปล่งแสงสีทอง เปลวเพลิงสีทองไหลวนอยู่ทั่วเรือนร่างห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้
เสียงอึกทึกดังขึ้นเปลวเพลิงระเบิดออกสลายหายไป
จินเยี่ยนโหวหายไปเช่นกัน
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเคล็ดวิชาเพลิงหลีกหนีที่หาได้ยาก!
ชิงหยวนจื่อนั้นง่ายดายกว่า สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปที่ประตูห้องโถง แต่หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป
ทั้งห้องโถงจึงเหลือเพียงหานลี่คนเดียว
“ตัวประหลาดเฒ่า! ผู้ที่ทำให้ทั้งสองเรียกขานเช่นนี้ได้ยากจะคาดเดาว่าคือผู้ใดจริงๆ ถึงแม้จะไม่อยากพบแต่ก็คงเป็นไปไม่ได้” หานลี่ถอนหายใจใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำออกมา จากนั้นแผ่นหลังก็มีลำแสงอัสนีสว่างวาบ ปีกแวววับปรากฏขึ้นเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวหายวับไป
กลางอากาศห่างจากเกาะไปพันจั้งเศษชิงหยวนจื่อและจินเยี่ยนโหวกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมหึมาความยาวเกินร้อยจั้ง ด้วยสีหน้านอบน้อม!
สิ่งมหึมานี้คือแมลงเกราะยักษ์เปล่งแสงสีดำทมิฬตัวหนึ่ง และเหนือศีรษะของแมลงเกราะก็มีชายชราร่างกายผ่ายผอมยืนอยู่คนหนึ่ง
คนผู้นี้ดูเหมือนจะมีอายุหกสิบปีเบ้าตาลึกโบ๋ จมูกเชิดรั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังสวมชุดคลุมยาวหลากสีสัน สวมสร้อยไข่มุกสีเงินระยิบระยับอยู่ตรงคอ ไข่มุกทุกเม็ดล้วนมีขนาดเท่าไข่ไก่ ดูแล้วสะดุดตายิ่งนัก
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือไม่เพียงเขตอาคมป้องกันลำแสงสีขาวของเกาะเดิมจะหายวับไป นอกจากนี้ผู้คุ้มกันชุดเกราะสีทองก็ถูกเส้นไหมสีขาวที่แมลงเกราะพ่นออกมารัดเอาไว้แน่น และหมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่หยุดราวกับลูกข่างที่ไม่อาจหยุดหมุนได้
เมื่อหานลี่กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวมาปรากฏกายด้านหลังชิงหยวนจื่อ จินเยี่ยนโหวกลับทำเป็นมองไม่เห็นลูกน้องทั้งสามคนพลันส่งยิ้มฝืนๆ ให้กับชายชราบนแมลงเกราะแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พี่ซวีหลิง ท่านเป็นแขกที่หายาก เหตุใดถึงมีเวลาว่างมาที่นี่ ทว่าในเมื่อมาแล้วก็เข้าไปนั่งด้านในก่อนเถิด!”
“หึๆ จินเยี่ยนเจ้าพูดเช่นนี้แต่ในใจคงอยากให้ข้าไม่มาตลอดกาลสินะ” ชายชราหัวเราะเสียงแหลมน้ำเสียงไม่เกรงใจเลยสักนิด
“ผู้แซ่จินจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร กลับเป็นสหายรู้ได้อย่างไรว่าพี่จินมาเป็นแขกของศิษย์น้อง” จินเยี่ยนโหวมีสีหน้าเขียวคล้ำสลับกับซีกขาวรีบร้อนดึงหัวข้อสนทนาไปที่ชิงหยวนจื่อ
ชิงหยวนจื่อได้ฟังก็ก่นด่าบุรุษสวมรัดเกล้าสีทองในใจ แต่ภายใต้ความจนปัญญาก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ผู้แซ่เจียงเองก็สงสัยเหตุใดพี่ซวีหลิงถึงรู้ว่าข้าน้อยอยู่กับพี่จิน หรือว่าสหายไปที่ถ้ำพำนักของศิษย์น้องมาแล้ว?”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่แค่ไปที่ถ้ำพำนักของเจ้า แต่ข้าไปที่พักของทุกคนมาหมดแล้ว และมีแค่เจ้าสองคนที่ไม่เคยมาหามาก่อน มีอยู่สองคนมันคิดจะกักตนไม่ยอมออกมาพบหน้าผลคือถูกข้าพังรังของพวกมันไปเกือบหมด ถึงได้ยอมปรากฏตัว หากรู้เช่นนี้เหตุใดถึงไม่ทำตั้งแต่แรก!” ชายชรานามว่าซวีหลิงหัวเราะร่าและเอ่ยอย่างเกียจคร้าน