A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1870 มหาเมธีตระกูลมู่
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1870 มหาเมธีตระกูลมู่
ชายหนุ่มหน้าตาคมขำดวงตาทั้งคู่ส่องประกายสีทองเงินระยิบระยับ แต่เห็นได้ชัดว่ามีพลังปราณอันเย็นแปลกประหลาดกระแสหนึ่งแผ่ซ่านออกมาไม่ขาดจากร่างกาย
ทันใดนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งถือยันต์ ตวัดดัง “พรึ่บ” เพลิงวิญญาณสีทองชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นออกมาจากภายในร่างกาย ค่อยๆ ขยับหมุน จากนั้นก็กลายเป็นชุดคลุมยาวสีทองงดงามหรูหราตัวหนึ่ง ปกคลุมเรือนร่างทั้งหมดเอาไว้
จากนั้นชายหนุ่มก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปขวาลูกแก้วน้ำลูกนั้นกลางอากาศ
ทันใดนั้นของสิ่งนั้นก็ส่งเสียงแหลมดัง แล้วก็ถูกดึงออกไป เพียงชั่วจังหวะเดียว ก็ซึมแทรกเข้าไปในร่างกายจนไม่เหลือร่องรอยอย่างน่าประหลาดใจ
“ช่างกล้าชิงเอาไป ตอนนั้นข้าเพื่อตามหาสิ่งนี้แล้วเกือบสูญเสียสมบัติวิเศษที่แดนเซียนไปเสียแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะตามหาเจ้าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวเพื่อกำจัดเจ้าให้สิ้นซากไปจากโลกนี้เสีย! ในเมื่อผู้อาวุโสได้กลับมาจุติแล้ว ที่แห่งนี้คงจะอยู่ต่อไปไม่ได้”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น แล้วพูดพึมพำเสียงเบา ทั้งๆที่สิ่งที่พูดควรจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่สีหน้ากับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ สีหน้าดูเป็นปกติอย่างน่าประหลาด
ชั่วนาทีต่อมา เขาก็บิดมือทั้งสองข้างขึ้นมาทันใด แสงสีทองส่องกะพริบ จากนั้นก็ชูขึ้นกลางอากาศ
ลูกแสงสีทองลูกหนึ่งทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้น ตอนแรกขนาดเพียงแค่เท่ากำปั้น แต่เมื่อส่องกะพริบสองสามครั้ง ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาทันที
เสียงอื้ออึงดังก้องขึ้นมาทันทีไปทั่วทั้งห้องลับ
เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว ตำหนักลึกลับลึกใต้ท้องสมุทรแห่งนี้ก็ส่งเสียงดังระงม เสาแสงสีทองหลายลูกพุ่งออกมาจากภายใน พุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
จากนั้นเสียงดังสนั่นก็แว่วออกมาอย่างไม่ขาดสาย แสงสีทองอีกจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากด้านใน ตำหนักทั้งหลังชั่วพริบตาเดียวก็ถล่มลงอย่างสิ้นซาก
ทั่วทั้งบริเวณล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองอันน่าประหลาดนี้จนมิด
แสงสีทองทั้งหมดดับลง เหลือเพียงชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองคู่นั้น ยืนอยู่บนที่ว่างซึ่งเดิมเป็นซากตำหนักนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เขาลดแขนทั้งคู่ที่ชูอยู่ลง ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ไม่ได้ขยับไปที่ไหนเลยแม้เพียงก้าวเดียว
เพียงครู่เดียว ผิวน้ำที่อยู่ใกล้ๆ แสงลูกหนึ่งพุ่งลอยออกมาจากกลางทะเล หมุนวนรอบ จากนั้นก็พุ่งไปยังทิศทางแน่ชัดทิศหนึ่ง
ทิศทางที่แสงพุ่งไปนั้น นั่นก็คือดินแดนเฟิงหยวน
……
อาณาเขตตระกูลมู่ในดินแดนเฟิงหยวน หญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวเปลือยเท้าทั้งสองนางหนึ่ง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ขนาดใหญ่สีเขียวชะอุ่มสูงนับหมื่นจั้งต้นหนึ่งอย่างสง่างาม กำลังประจันหน้ากับชายชราทรงอำนาจในชุดสีครามผู้หนึ่ง
และพื้นด้านล่างหญิงสาวต่ำลงไปนับหมื่นจั้ง มีชายฉกรรจ์อัปลักษณ์ในชุดเกราะสีดำทั้งตัวผู้หนึ่ง ก็ถูกคู่ชายหญิงวัยกลางคนใบหน้าซีดขาวอีกสองคนล้อมเอาไว้
ชายฉกรรจ์กอดอกด้วยแขนทั้งสอง ดวงตาจ้องไปยังคนทั้งสองส่องประกายเหี้ยมโหด
และคู่ชายหญิงนั้น ผู้ชายสุขุมสง่างาม ผู้หญิงสวยสดชวนหลงใหล มองไปยังชายฉกรรจ์ด้วยสีหน้าตื่นตัวระแวดระวัง ดูเหมือนจะมีความรู้สึกกลัวอยู่มาก
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าสหายเป็นใครมาจากไหน แต่ลอบเข้ามาในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลมู่ของพวกข้า หนำซ้ำยังเด็ดเอาบุปผาวิญญาณหลายสิบดอกไปเสีย สหายคิดหรือว่าตระกูลของพวกเราจะไม่มีมหาเมธีอยู่ดูแลอย่างนั้นหรือ” ชายชราชุดสีครามถมึงทึงไปยังหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้ากล้าเข้ามายังที่แห่งนี้ จะไม่ได้สืบสานเรื่องราวของตระกูลท่านมาก่อนเลยเชียวหรือ ท่านก็คือผู้อาวุโสตระกูลมู่สินะ! แต่สหายอูเองก็จะไม่ขี้เหนียวไปหน่อยหรือ แค่บุปผาวิญญาณสีดำน้อยนิดเพียงนี้เป็นเรื่องใหญ่จึงถึงกับต้องโกรธกันด้วย!” หญิงสาวในชุดสีขาวสีหน้าสบายอารมณ์ นางพูดตอบอย่างไม่รู้สึกร้อนรน ราวกับจิตใจไม่รู้สึกอะไรใดๆ กับศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า
“ฮึ ท่านพูดง่าย บุปผาวิญญาณสีดำมีอิทธิฤทธิ์อันน่ามหัศจรรย์ ต้นบุปผาวิญญาณสีดำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลข้า เวลานับหมื่นปีผลิบานเพียงแค่ไม่กี่ร้อยดอก หากเด็ดเอาไปเสียทีเดียวจำนวนกว่าครึ่งขนาดนี้ ไม่คิดจะบอกกล่าวข้าเลยจริงๆ หรือ” ชายชราชุดสีครามสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย
ผู้อาวุโสตระกูลมู่ผู้นี้ เดิมทีเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในสถานที่ลับแห่งหนึ่งใกล้ๆ มาโดยตลอด หากไม่ใช่จู่ๆ เกิดเรื่องขึ้นจำเป็นต้องออกมา คงไม่มีทางพบว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีคนนอกลักลอบบุกรุก ซ้ำยังเด็ดเอาบุปผาวิญญาณของตระกูลไป
แต่ถึงแม้เขาจะโกรธจัดที่ถูกคนมาขัดขวางเป้าหมาย แต่พลังของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้านั้นไม่อาจคาดคะเน ทำให้ระดับมหาเมธีเช่นเขารู้สึกกลัวได้มากเพียงนี้ จึงไม่ได้ปะทะมือกับนางโดยทันที
“บอกกล่าว บอกกล่าวอะไรกัน! ข้าเพียงเด็ดบุปผาวิญญาณสีดำไปแค่ครึ่งเดียว ถือว่าออมมือมากแล้ว ระดับการบำเพ็ญเพียรของท่านก็ไม่ได้ด้อย แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือข้า จะพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้ให้ได้อะไรกันหรือ” หญิงสาวชุดขาวเลื่อนสายตา พูดถ้อยคำที่ทำให้ชายชราในชุดสีน้ำเงินเดือดดาลเป็นอันมาก
“ดี ดีมาก ในเมื่อสหายไม่ได้เห็นตระกูลมู่ของพวกข้าในสายตา ผู้น้อยก็คงต้องทดสอบอิทธิฤทธิ์ของสหายสักหน่อยแล้ว หากท่านมีฝีมือจริง ข้าก็จะรีบออกคำสั่งระงับไม่ให้ทั้งตระกูลมู่สู้กับสหาย และยอมให้ท่านจากไป” ชายชราในชุดสีน้ำเงินพูดขึ้นพลางโกรธจัดจนหัวเราะออกมา
“หากท่านไม่ใช่คู่มือของข้า ตระกูลมู่คนอื่นจะมาต่อสู้กับข้าก็แค่รนหาที่ตายเท่านั้น แต่ถ้าว่าท่านจะทดสอบฝีมือกันที่นี่จริงๆ หรือ” หญิงสาวในชุดขาวกวาดสายตามองลงไปยังต้นไม้ขนาดยักษ์ด้านล่าง ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเย้ายวน
หญิงสาวผู้นี้เดิมทีงามสะคราญหาที่เปรียบไม่ได้ รอยยิ้มนั้นงามราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลมู่ที่อยู่ด้านหน้าเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะจิตใจสั่นไหว แต่ก็ตั้งสติกลับได้อย่างรวดเร็ว แล้วพูดตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“การต่อสู้ของเจ้ากับข้าทรงอํานาจเพียงใด แน่นอนว่าจะสู้กันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไม่ได้ ในเมื่อสหายมีอิทธิฤทธิ์เหนือผู้ใด เช่นนั้นก็ขอสหายตามข้าไปอีกที่เถอะ”
ทันทีที่พูดจบ แขนเสื้อของชายชราในชุดสีน้ำเงินก็สะบัดขึ้นพุ่งสูงไปกลางอากาศ ชั่วครู่เดียวลำแสงสีน้ำเงินขนาดราวปากถ้วยลำหนึ่งก็พุ่งออกไป
เสาแสงลำนี้ส่องแสงรำไร กะพริบไหวอยู่เล็กน้อย กลายสภาพเป็นดาบยักษ์สะท้านฟ้ายาวนับร้อยจั้ง เพียงขยับเบาๆ ก็ฟาดฟันลงไปกลางอากาศ
เสียงดังก้องสนั่นหวั่นไหว บริเวณที่ซึ่งดาบยักษ์ฟันส่องแสงสีขาว กระแสคลื่นอันน่าสะพรึงลูกหนึ่งออกมา จากนั้นช่องโหว่ยาวราวสิบกว่าจั้งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มีแสงหม่นสีเหลืองอ่อนต้องออกมารำไรจากด้านใน
ผู้อาวุโสตระกูลมู่ผู้นี้โจมตีเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้กลางอากาศแหวกออกเป็นช่องว่างช่องหนึ่ง
จากนั้นชายชราก็ขยับกาย เข้าไปในช่องแหวกนั้นก่อน ราวกับคิดว่าในช่องว่างไม่มีสิ่งใดเป็นอันตราย
หญิงสาวในชุดขาวเห็นเช่นนั้น ก็ยกมุมปากยิ้ม ในรอยยิ้มจางๆ นั้นแสงด้วยความเย้ยหยันดูแคลน นางก้มหน้าลงไปกำชับศักดิ์ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านล่างด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เจ้ารออยู่ตรงนี้ดีๆ แล้วกัน เดี๋ยวข้าก็กลับมา!”
“ขอรับ ท่านเซียน!” ชายฉกรรจ์ถึงแม้ว่าสีหน้าจะโหดเหี้ยม แต่ต่อหน้าหญิงสาวกลับมีท่าทีนอบน้อมถึงที่สุด เขารีบของตัวคำนับรับคำ
จากนั้น เรือนขาเรียวงามราวกับหยกของหญิงสาวในชุดขาวก็ย่ำลงไปบนกลางอากาศเบาๆ ชั่วพริบตาเดียวดอกไม้มหัศจรรย์สีชมพูดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอยู่ใต้ฝ่าเท้า ประคองรองรับเรือนตัวเอาไว้ จากนั้นก็ลอยเข้าไปกางรอยแยกนั้น
เพียงครู่เดียว กลางรอยแยกก็เกิดเสียงพายุดังขึ้นใหญ่โต ตามด้วยเสียงปะทุระเบิด เสียงดังครึกโครมสลับไปมา แสงสว่างสะท้อนดวงตาสาดพุ่งออกมาจากรอยแยกนั้นโดยตรง ราวกับข้างในนั้นเกิดโลกาวินาศขึ้น
ชายหญิงวัยกลางคนตระกูลมู่ทั้งสองนั้นเมื่อได้เห็นเช่นนี้ ต่างมองหน้ากัน หน้าถอดสีอย่างห้ามไม่ได้
แต่ชายฉกรรจ์อัปลักษณ์นั้นกวาดสายตามองคนทั้งสองด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม ไม่มีท่าทีกังวลเลยแม้สักนิด ดูราวกับมั่นใจในหญิงสาวชุดขาวนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมากมายที่แว่วออกมาจากรอยแยกนั้นดำเนินต่ออยู่ไม่นาน เพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป แสงสว่างทั้งหลายก็ดับลง กลับคืนสู่สภาพหมองหม่นเหมือนเช่นเดิมในตอนแรก พร้อมกับเงียบสงบวังเวงขึ้นมา
ชายหญิงวัยกลางคนคู่นั้นแหงนหน้าขึ้นไปมองยังรอยแยก สีหน้าประหม่าขึ้นมาทันทีพร้อมกัน
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำกลับสีหน้านิ่งเฉยเหมือนปกติ เพียงแต่มองไปยังคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาฉายแววยิ้มเย็นชา
ชั่วครู่เดียวหลังจากนั้น ในรอยแยกก็มีแสงสีน้ำเงินส่องกะพริบ เงาคนร่างหนึ่งลอยออกมา
นั่นก็คือชายชราในชุดสีน้ำเงินผู้นั้น
ผู้อาวุโสตระกูลมู่ผู้นี้ดูจากสภาพภายนอกดูสมบูรณ์ไม่บาดเจ็บ แต่สีหน้ากับดูซีดเผือดอย่างชัดเจนกว่าตอนแรก เมื่อยืนมั่นคงแล้ว สีหน้าที่เหลียวกลับไปมองรอยแยกเจือด้วยความหวาดกลัว
ในเวลานี้ หญิงสาวในชุดขาวจึงได้เหยียบลงบนดอกไม้มหัศจรรย์บินลอยออกมาจากรอยแยก แต่สีหน้ากลับสุขุมนิ่ง ไม่ได้แตกต่างจากตอนแรกเลยแม้สักนิด
ชายหญิงวัยกลางคนตระกูลมู่คู่นั้นเห็นเช่นนี้ ก็ย่อมรู้สึกหนักอึ้งในใจ
“สหาย ตอนนี้ข้าไปได้แล้วใช่ไหม!” หญิงสาวในชุดขาวทันทีที่ออกมา ก็ถามชายชราด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“มู่จวิน มู่เฉียว กระจายคำสั่งออกไป ผู้คนทั้งหมดในตระกูลมู่อย่าได้ต่อสู้กับทั้งสองคนนี้เป็นอันขาด ปล่อยให้พวกเขาไปจากอาณาเขตตระกูลมู่ของพวกเรา” สีหน้าของผู้อาวุโสตระกูลมู่ที่เย็นยะเยือกราวกับน้ำ ในที่สุดก็เริ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่านผู้อาวุโส บุปผาวิญญาณสีดำเหล่านั้นสำหรับตระกูลพวกเรา…” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ชายตระกูลมู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรขึ้นมาด้วยความร้อนรนใจ
“หุบปาก! เจ้ากล้าเคลือบแคลงในคำพูดของข้าหรือ” ชายชราในชุดสีน้ำเงินได้ยิน ก็โกรธขึ้ง ตะคอกสั่งให้หยุดพูดด้วยใบหน้าอันดุดันและเสียงอันน่ายำเกรงทันที
“หามิได้ขอรับ! ผู้น้อยจะรีบดำเนินการตามสั่ง!” ชายผู้นั้นรู้สึกตื่นตระหนก รีบโค้งตัวคำนับ
“ฮึ ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกระจายข่าวแต่โดยดี” ชายชราแค่นเสียงพูด
ครั้งนี้ ชายวัยกลางคนก็พลิกมือข้างหนึ่งทันทีโดยไม่ลังเล ยันต์เวทสีน้ำเงินส่องประกายปึกหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
ตวัดมือวาดไปบนอากาศสองสามที สะบัดข้อมือ ยันต์เวทเหล่านี้ก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงินบินพุ่งออกไป ชั่วพริบตาเดียว ต่างซึมแทรกหายไปในความว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอย
หญิงสาวในชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ใช้มือข้างหนึ่งเหน็บเส้นผมดำขลับบนหน้าผาก ยิ้มบางหนึ่งที แล้วกวักมือไปยังชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำ จากนั้นก็เคลื่อนตัวบินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะลั่น จากนั้นผิวกายก็แผ่ไอสีดำ กลายร่างเป็นพลังลมอันชั่วร้ายตามไปติดๆ
มองดูแล้ว ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำเป็นเพียงระดับผสานอินทรีย์ เปล่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจต่อหน้าตน ชายชรารู้สึกชาไปทั้งใบหน้า แต่ได้เพียงต้องไปยังแสงที่ค่อยๆ ไกลออกไปของหญิงสาวและชายฉกรรจ์ทั้งสองคน ไม่มีความคิดที่จะทำเรื่องอื่นใดแม้สักนิด
“มู่เฉียว ดวงตาแห่งปัญญาสีฟ้าที่เจ้าฝึกฝนนั้น มีอำนาจลึกลับเหนือสามัญ มองเห็นอะไรจากทั้งสองคนนั้นบ้างหรือไม่” ชายชราชุดครามถามขึ้นมาท่านใด
“เฉียวเอ๋อร์เกรงว่าจะทำให้ท่านผู้อาวุโสต้องผิดหวังเสียแล้ว ถึงแม้ว่าเมื่อครู่ข้าจะใช้ดวงตาแห่งปัญญามองอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่กลับมองไม่เห็นอะไรมากนัก หญิงสาวระดับมหาเมธีผู้นั้น เมื่อมองไปมีเงาจำแลงบุบผาจำนวนนับไม่ถ้วนคอยบดบังยิ่งกว่าที่เห็นภายนอก มองไม่เห็นร่างแท้ของนางเลยแม้แต่น้อย หรือว่านางจะเป็นผู้ฝึกฝนวิญญาณไม้ มีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับตระกูลมู่ของเราหรือเจ้าคะ” หญิงตระกูลมู่ใบหน้าสดสวยผู้นั้น ทันทีที่ได้ยิน ก็ตอบกลับอย่างลังเล
“ฮึ นางไม่มีทางเป็นคนตระกูลมู่ของพวกเราเป็นอันขาด ดูท่าน่าจะเกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์ที่ฝึกฝน แต่ถ้าว่าอิทธิฤทธิ์ของสตรีนางนี้จะดูเบาไม่ได้เป็นอันขาด จู่ๆ มาปรากฏตัวใกล้ๆ กับตระกูลมู่ของพวกเราก่อนเกิดเคราะห์มารเช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย” ชายชราในชุดสีน้ำเงินพูดพลางถอนหายใจ