A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1881 สงครามมารปะทะมนุษย์ (3)
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1881 สงครามมารปะทะมนุษย์ (3)
ม่านลำแสงสีทองยังคงตั้งตระหง่านท่ามกลางระเบิด แต่กลับเปล่งแสงสว่างวาบภายใต้การกัดกร่อนของหมอกสีเขียว แม้ว่าจะเชื่องช้าแต่ก็ทำให้อานุภาพของม่านลำแสงค่อยๆ หายไป
ทว่าในยามนั้นเองในที่สุดเขตอาคมบนป้อมปราการก็ถูกกระตุ้นเสร็จ ดวงแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันสลายหายไปจากใจกลางของเขตอาคม
ครู่ต่อมากลางอากาศเหนือป้อมปราการไปยี่สิบสามสิบจั้งก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ดวงแสงสีเงินเหล่านั้นทยอยกันปรากฏออกมาหมุนคว้างแล้วส่งเสียง “เปรี๊ยะๆ”
ประจุไฟฟ้าสีเงินทะลักออกมาเป็นสายๆ และกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าขนาดยักษ์ห่อหุ้มไปฝั่งตรงข้าม
ไม่ว่าจะเป็นดวงเพลิง ใบมีดวายุหรือว่าหมอกสีเขียวที่สัมผัสกับตาข่ายไฟฟ้าก็ถูกสายฟ้าฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วหายวับไปท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง
จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นอสรพิษสีเงินร่อนลงมาที่ไอมารจำนวนนับไม่ถ้วน
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไอมารและประจุไฟฟ้าสีเงินตัดสลับกันไปมาจากนั้นก็ทยอยกันระเบิดออก
แม้ว่าอสูรมารสองชนิดจะหลบหลีกอย่างรวดเร็วแต่ภายใต้การโจมตีที่หนาแน่นเช่นนี้ก็ยังคงบาดเจ็บล้มตายมากมาย กิ้งก่ามารและแมลงพิษจำนวนไม่น้อยทยอยกันกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางการโจมตีด้วยประจุไฟฟ้า
แต่อสูรมารที่ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของสายฟ้ากลับมีมากมายหลายเท่า ร่างที่ไม่สมบูรณ์ของอสูรมารจำนวนไม่น้อยในไอมารนอนลงเป็นคลื่นๆ ปากก็ร้องโหยหวนออกมา
แม้ว่าอสูรมารที่ร่างกายไม่สมบูรณ์จะยังคงทำการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างบ้าคลั่ง แต่ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ไม่สามารถทำอันใดม่านลำแสงสีทองได้
ถึงอย่างไรเสียดวงแสงที่ปรากฏตัวกลางอากาศเหนือป้อมปราการก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินปรากฏขึ้นเป็นสายๆ
ชั่วพริบตานั้นอสูรมารทั้งสองชนิดก็ได้รับบาดเจ็บไปกว่าครึ่ง
เผ่ามารเกราะสีม่วงที่อยู่กลางอากาศเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเขียวคล้ำยกมือหนึ่งขึ้นกวักเรียกโดยไม่ปริปากออก
ธงเล็กๆ ที่เรียงแถวกันอยู่ตรงหน้าสองด้านพลันสั่นเทาแล้วถูกเขาดูดเข้ามาอยู่ในมือ สองมือร่ายไปมากลายเป็นควันสีเขียวสองกลุ่มแล้วสลายหายไป
จากนั้นเขาก็ดีดนิ้วอีกครั้ง ธงเล็กๆ ด้ามอื่นส่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา กว่าครึ่งเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย!
หอยทากขนาดยักษ์สีขาวโพลนที่อยู่ในกองทัพมารอสูรสองตัวพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ จากนั้นหมวกยักษ์สองสายก็ชูขึ้นกลางอากาศ ปากก็เปล่งเสียงร้องราวกับกระทิงคำรามออกมา พ่นเสาลำแสงสีขาวโพลนสองสายออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปที่ม่านลำแสงสีทองอย่างแรง
ม่านลำแสงที่เดิมมั่นคงดุจภูเขาไท่ซานราวกับผิวน้ำที่ถูกโยนก้อนหินสองก้อนลงไป เกิดเป็นระลอกคลื่นครู่ต่อมาก็สั่นเทา เสาลำแสงทะลวงผ่านไป
ชั่วพริบตาผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในป้อมปราการสิบกว่าแห่งด้านหลังม่านลำแสง ก็มีลำแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปกลายเป็นเถ้าถ่านไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ไม่ใช่แค่นี้ฝูงอสูรมารขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเกิดความวุ่นวายขึ้น ในที่สุดก็วิ่งมาพร้อมเสียงคำรามตรงเข้ามาหาเมืองเทวะสวรรค์
เหล่ามารที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเปล่งแสงสว่างวาบ บินมาด้านหน้าอย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกันก็มีลำแสงสีดำหรือไม่ก็ไอมารลอยออกมาจากร่างของพวกเขา ยามนั้นดูท่าทางน่าตกตะลึง
เสียงกลองสีทองดังขึ้นเหนือไอมาร รถเหาะสีดำมะเมื่อมร้อยกว่าคันบินออกมาด้านบนรถมีเผ่ามารระดับสูงสวมชุดเกราะหลากสีสันยืนอยู่สองสามตน บ้างก็สิบกว่าตน ทุกตนล้วนมีสีหน้าโหดเหี้ยม ในมือถือขวานยาว หอกยาว สีหน้าเคียดแค้น
เสียงแหลมสูงดังขึ้น ด้านหลังรถเหาะร้อยกว่าคัน เป็นรถเหาะขนาดใหญ่ความยาวร้อยจั้งที่มีอสูรประหลาดขนาดยักษ์สองตัวลากอยู่ และเป็นรถเหาะที่ออกมาจากไอมาร
อสูรประหลาดสองตัวด้านหน้ารถยักษ์คันนี้ดูเหมือนแรด แต่เขาเดี่ยวที่อยู่เหนือจมูกเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ ไม่อัปลักษณ์เลย
ส่วนบนรถยักษ์มีนักรบชุดเกราะนับร้อยคนยืนตระหง่านอยู่ ตรงใจกลางคือเผ่ามารที่สวมชุดเกราะสีม่วงและชายชราชุดเขียว
ทั้งสองล้วนมีสีหน้าเยือกเย็น!
หลังจากที่เผ่ามารลองหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็เริ่มทำการโจมตีอย่างแท้จริง
เหล่าชายชราแซ่กู่ที่มองดูทุกอย่างอยู่จากแท่นสูง กลับอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
ตรงหน้ามีผู้ที่มีความสามารถของเผ่ามารมาปรากฏตัวจำนวนไม่น้อย อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ ไม่สอดคล้องกับการโจมตีระลอกแรกในเคราะห์มารก่อนหน้าเลยจริงๆ
แม้ว่าอสูรมารเหล่านั้นจะดุร้ายมาก แต่พละกำลังนี้อยากจะโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ ย่อมเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน
มองเห็นอสรพิษสายฟ้าสีเงินที่ร่อนลงมาจำนวนมากจากฝั่งตรงข้ามเหนือกองทัพอสูรมาร ใช้ท่าทีไม่สนใจความบาดเจ็บ พุ่งเข้ามาที่ม่านลำแสงสีทอง บ้างก็กระตุ้นพลังปราณโจมตี บ้างก็ใช้กายเนื้อที่แข็งแกร่งโจมตีตรงๆ
เผ่ามารเหล่านั้นที่กำลังกระตุ้นอาวุธมารกลางอากาศ กลายเป็นเมฆมารต่างๆ พยายามต้านทานประจุไฟฟ้าที่ร่อนลงมา เพื่อลดความเสียหายของอสูรมารด้านล่าง
ส่วนรถเหาะเผ่ามารที่บรรทุกนักรบชุดเกราะกลับหยุดอยู่ห่างจากม่านลำแสงไปสิบกว่าลี้ แล้วทยอยกันกระตุ้นใบมีดในมือทำการโจมตี
ชั่วขณะนั้นสายรุ้งยาวสีดำพลันพุ่งออกมาจากรถเหาะ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหมุนวนอยู่ด้านหน้าม่านลำแสงสีทอง ยามนั้นพลันมีเสียงรบราฆ่าฟันดังสนั่นฟ้า
หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง และหันหน้าไปขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยกับพระอาจารย์จินเย่ว์
“เหล่าสหาย ดูแล้วเผ่ามารคงเปลี่ยนกฎเกณฑ์การปฏิบัติจากครั้งก่อน คาดไม่ถึงว่าการโจมตีครั้งนี้จะเป็นแค่การโจมตีหยั่งเชิงเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หานก็ขอกลับก่อน ข้าน้อยกำลังหลอมสมบัติในช่วงเวลาสำคัญ หากทำเสร็จ น่าจะช่วยต้านทานเผ่ามารได้”
“การโจมตีระลอกนี้ไม่ได้น่ากลัวว่าที่คิดไว้ พวกเราตกใจจากตำนานเกินไป ในเมื่อสหายหานมีธุระติดตัวก็ไปจัดการก่อนเถิด เผ่ามารมีความคิดที่จะต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ดูแล้วคงไม่จำเป็นต้องให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของพวกเราลงมือในระยะอันสั้นนี้” พระอาจารย์จินเย่ว์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้หานลี่ขณะเอ่ย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจการโจมตีของเผ่ามารตรงหน้านี้
“เป็นเช่นนี้จริง! หากเผ่ามารทำการโจมตีเมืองของเราเต็มอัตราตั้งแต่ยามแรก ตาเฒ่าก็ยิ่งวางใจ สถานการณ์ตรงหน้าต้องระวังให้มากหน่อย พวกเราเป็นพลังการรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง แต่ก็มีเรื่องต่างๆ ต้องจัดการ ไม่อาจถูกดึงเข้ามาเสียเวลาในการโจมตีของเผ่ามารทั้งหมดได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันขอแค่เผ่ามารไม่ทำการโจมตีเมืองของเราเต็มกำลัง พวกเราก็แบ่งผลัดกันออกไปต้านทานการโจมตีก็แล้วกัน สหายหาน เจ้าไม่ใช่สมาชิกในเหล่าอาวุโสของเมือง จึงไม่ค่อยเข้าใจการรับมือป้องกันของเมือง จึงไม่จำเป็นต้องเข้าเวร ทว่าถึงยามที่เมืองตกอยู่ในอันตราย ก็หวังว่าสหายจะลงมือช่วย” อาวุโสกู่ครุ่นคิด จึงคิดแผนการรับมือนี้ออกมา
“แผนการพี่กู่ยอดเยี่ยมมาก!”
“ผู้แซ่หานไม่มีความเห็นใด!”
คนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ ก็เอ่ยเห็นด้วยอย่างยินดีปรีดา
หานลี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย!
ดังนั้นแม้ว่าการโจมตีของอสูรมารที่อยู่ไกลออกไปจะยังคงรุนแรง หานลี่ก็ประสานมือคารวะกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวจากไป
หลังจากนั้นไม่นานพระอาจารย์จินเย่ว์และเซียนหยินกวงก็ทยอยกันจากไปตำหนักหยกขาว
ชั่วพริบตาด้านบนตำหนักจึงเหลือเพียงอาวุโสกู่และชายร่างใหญ่สวมชุดหนังซึ่งเป็นอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์
“พี่กู่พวกเราจะยืนนิ่งรอดูต่อไปหรือ แบบนี้ไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำหรือ และยิ่งไปกว่านั้นการคุ้มกันจากคันฉ่องอาทิตย์สีทองถูกการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ศิลาวิญญาณที่เสียไปมันมากเกินไป” ชายชราชุดดำที่ไม่ได้เอ่ยอันใดตั้งแต่ต้นจนจบ มองการต่อสู้อึกทึกไกลออกไปแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา
“หึ สหายวางใจ คาดไม่ถึงว่าเผ่ามารเหล่านี้จะเอาอสูรมารมาเป็นเป้า คิดจะหยั่งเชิงพลังป้องกันของเมือง อาวุโสเองก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาผิดหวัง จึงต้องใช้เขตอาคมเจ็ดเพลิงดาราให้พวกเขาดูสักหน่อย ปลุกกำลังใจทหารสักหน่อย” อาวุโสกู่ได้ยินแววตาพลันเปล่งประกาย แค่นเสียงหึขณะเอ่ย
“เขตอาคมเจ็ดเพลิงดารา! จะใช้เขตอาคมนี้จริงๆ หรือ นี่เป็นหนึ่งในเครื่องมือสังหารของเมืองเรา ยามนี้ได้เผยออกมา คงไม่ดีกระมัง” ครานี้ถึงยามที่ชายร่างใหญ่ชุดดำตกตะลึง และลังเลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ข้าแค่กระตุ้นพลังหนึ่งในสิบส่วน เช่นนี้ทั้งสามารถให้เผ่ามารเห็นความร้ายกาจ ยังไม่ได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงได้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ผู้นำของเผ่ามารคาดเดาผิด และอาจจะมีประโยชน์อย่างอื่น” อาวุโสกู่กลับโบกมือ แล้วเอ่ยอย่างมีแผนการ
“อืม พี่กู่พูดมีเหตุผล เอาตามคำพูดของสหายก็แล้วกัน” หลังจากที่ชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำครุ่นคิด ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใด และพยักหน้าอย่างเห็นด้วยๆ สีหน้าเคร่งขรึม
สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่เหลือทั้งสองคนมีความเห็นตรงกัน ย่อมออกคำสั่งลงไป โดยไม่มีอุปสรรคอันใด
ภายในห้องลับส่วนลึกใต้ดินของหอคอยยักษ์สีแดงสดในเมืองเทวะสวรรค์แห่งหนึ่ง ชายชราผมขาวสวมชุดคลุมยาวสีแดงสดเจ็ดคนกำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่ตามตาเขตอาคมต่างๆ บนเขตอาคมลวดลายสีทอง
พวกเขาเจ็ดคนล้วนมีเพลิงหมุนวนอยู่ทั่วเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนธาตุเพลิงเป็นหลัก และยิ่งไปกว่านั้นจากพลังแรงกดที่แผ่ออกมาจากร่าง ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตา
คนหนึ่งที่ดูแล้วเป็นชายชราที่แก่ที่สุดพลันถ่ายทอดเสียงดังกังวานราวกับระฆังออกมา
ชายชราผู้นี้มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น รูม่านตาเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ราวกับมีเปลวเพลิงหมุนวนก็ไม่ปาน
มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ในมือของชายชรามีจานสีขาวปรากฏขึ้น ก้มหน้าลงกวาดมองแวบหนึ่ง หางตาอดที่จะกระตุกไม่ได้
“เริ่มกระตุ้นเขตอาคม ขอแค่กระตุ้นพลังเพลิงบริสุทธิ์หนึ่งในสิบส่วนของเจ็ดดวงดาราได้ก็พอแล้ว” ชายชราเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ขอรับ พี่ใหญ่!” ชายชราอีกหกคนได้ยินก็ลืมตาขึ้นเอ่ยตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
จากนั้นชายทั้งเจ็ดก็เอาสองมือร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงสีแดงเพลิงออกมา มือหนึ่งตบไปที่หน้าผาก
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เหนือศีรษะของทั้งเจ็ดคนเปิด ทารกวิญญาณสีแดงสดเจ็ดตนปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด
ใบหน้าของทารกวิญญาณเหล่านี้ล้วนเหมือนกับใบหน้าของทั้งเจ็ดคนทุกระเบียบนิ้ว และยิ่งไปกว่านั้นสองมือต่างถือสมบัติสีแดงเรืองรองเอาไว้ แบ่งเป็นสมบัติอาคมที่รูปร่างไม่เหมือนกันเจ็ดชนิดทั้งวงแหวน ธง กระบี่ ดาบ หอคอย แผ่นป้าย ไข่มุก ผิวของพวกมันมีลำแสงสีแดงหมุนวน ระลอกคลื่นร้อนฉ่าแผ่ออกมาจนบีบคั้นผู้คน เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติธาตุเพลิงที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
ทารกวิญญาณทั้งเจ็ดบริกรรมคาถา สมบัติอาคมธาตุเพลิงทั้งเจ็ดชิ้นเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้าขึ้นหลายเท่า และบินออกมาจากมือของทารกวิญญาณ พลางหมุนวนไปร่อนลงตรงใจกลางของเขตอาคม