A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1882 สงครามมารปะทะมนุษย์ (4)
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1882 สงครามมารปะทะมนุษย์ (4)
หานลี่ที่กำลังบินกลับมาพลันหม่นลำแสงหลีกหนีลง คาดไม่ถึงว่าจะหยุดอยู่กลางอากาศ มองไปที่สูงด้วยสีหน้าตกตะลึง
เห็นเพียงเหนือเมืองเทวะสวรรค์ ท้องฟ้าที่เดิมมีเมฆสีดำทะมึน คาดไม่ถึงว่าจะมีดวงดารายักษ์สีแดงสดเจ็ดดวงปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้ท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นสีแดงเพลิง
แม้ว่าทั้งเมืองเทวะสวรรค์จะถูกเขตอาคมปกคลุมไว้ คาดไม่ถึงว่าก็ยังทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุ
ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มกันที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ต่างก็ทยอยกันบินออกมา พิจารณาปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้าด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
หานลี่ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ จากการใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสิ่งนี้ แน่นอนว่าย่อมเผยสีหน้าเคร่งขรึมและจ้องเขม็งไปกลางอากาศมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ
เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฎเกณฑ์ขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันกลายเป็นดวงดาราสีแดงสดเจ็ดดวง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ามีอานุภาพทำลายล้างที่น่าตกตะลึง
นี่จะไม่ทำให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร
และในยามนั้นเอง ดวงดาราสีแดงสดทั้งเจ็ดลูกก็มีลำแสงสีแดงไหลวนโคจรไปมา จากนั้นใจกลางของดวงดาราทั้งเจ็ดก็มีลวดลายเขตอาคมขนาดยักษ์ที่ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่งปรากฏขึ้น
ลวดลายของเขตอาคมนี้เป็นสีแดงเพลิง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าห่อหุ้มท้องฟ้ากว่าครึ่งของเมืองเทวะสวรรค์เอาไว้ จากนั้นพลังของกฎเกณฑ์ฟ้าดินก็สั่นสะเทือน ดวงดาราทั้งเจ็ดในลวดลายเขตอาคมรางเลือนไป คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาลวงตาวิหคเพลิงขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง มันเปล่งเสียงร้องก้องกังวานแล้วกระโจนลงมาจากที่สูง
เสียง “ปัง” ดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้น!
เมืองเทวะสวรรค์ทั้งเมืองสั่นเทา จากนั้นเมฆเพลิงสีแดงสดรูปทรงเหมือนเห็ดก็ปรากฏขึ้นจากกำแพงเมือง มีความสูงประมาณหมื่นจั้ง
แม้ว่าจะอยู่ห่างกันขนาดนี้ หานลี่ก็ยังคงมองเห็นท่าทางน่ากลัวของเมฆเพลิงได้อย่างชัดเจน เขาจึงใจหายวาบ
แทบจะในเวลาเดียวกัน เมฆเพลิงที่ห่อหุ้มการโจมตีเมืองของเผ่ามาร ก็แบ่งโลกเป็นสองใบโดยมีม่านลำแสงสีทองเป็นใจกลาง
โลกหนึ่งเหมือนกับก่อนหน้าทุกระเบียบนิ้ว ไม่มีความแตกต่างอันใด อีกโลกหนึ่งกลายเป็นมหาสมุทรเปลวเพลิง
ระลอกคลื่นเพลิงสีแดงสดแทบจะกินพื้นที่พันลี้ภายใต้การห่อหุ้มของเมฆรูปเห็ด
ฝูงอสูรมารที่ถูกระลอกคลื่นเพลิงห่อหุ้มอยู่แทบจะระเบิดออกท่ามกลางการโจมตีนี้ แล้วกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเพลิงลำแสง ไม่อาจต้านทานขั้นตอนการโจมตีนี้ได้เลยสักนิด
ส่วนมารเหล่านั้นแม้ว่าจะมีสมบัติอาคมปกป้องร่างจนทำให้ต้านทานได้อยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจหนีขอบเขตการโจมตีที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ได้และทยอยกันเปล่งเสียงร้องโอดครวญออกมา กลายเป็นดวงเพลิงแล้วเพลี่ยงพล้ำไป
มีเพียงอสูรมารระดับสุดยอดห้าตัวที่มีลำแสงวิญญาณหนาๆ ปรากฏขึ้นบนผิวกายมีท่าทางปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าเห็นได้ชัดว่าอสูรมารห้าตัวนี้ไม่อาจยืนหยัดท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุเช่นนี้ได้นานนัก
ทันใดนั้นวิหคยักษ์สีดำตัวนั้นก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แค่สยายปีกทั้งสองข้างก็กลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งออกไปร้อยลี้ พอกะพริบวาบๆ สองสามครั้งก็บินออกมานอกทะเลเพลิงด้วยความเร็วที่ยากจะเหลือเชื่อ
วานรยักษ์สีแดงสดตัวนั้นกลับย่ำเท้าทั้งสองข้างอย่างไม่ลังเล ร่างกายอันใหญ่โตกระโจนออกมาราวกับดาวตกกลายเป็นพายุหมุนๆ ไปทุกแห่งที่กวาดผ่านไป คาดไม่ถึงว่าจะแยกเปลวเพลิงออกเป็นครึ่งหนึ่ง
แม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีความเร็วที่เชื่องช้ากว่าวิหคยักษ์เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ล้าหลังนัก ไล่ตามวิหคยักษ์ออกไปติดๆ
หอยทากสีขาวและงูเหลือมสีม่วงสามหัวสองตัวนั้นกลับเคลื่อนไหวอย่างเงอะงะ ไม่อาจโชคดีเหมือนอสูรสองตัวนี้
แม้ว่าจะพยายามออกวิ่งท่ามกลางทะเลเพลิง แต่ก็วิ่งออกไปได้แค่สองสามร้อยลี้และไม่อาจประคองลำแสงวิญญาณต่อไปได้ มันเปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมาแล้วถูกเปลวเพลิงกลืนกินไปเช่นกัน
และเมื่ออสูรมารระดับสุดยอดสามตัวเพิ่งจะเพลี่ยงพล้ำไปได้ไม่นาน เสียง “สวบ” ดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างคนสีม่วงและเขียวสองสายพุ่งออกมาจากทะเลเพลิง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งออกไปโดยไม่มีท่าทีจะหยุดยั้ง เมื่ออยู่ห่างออกไปหมื่นกว่าลี้ในอึดใจเดียว ลำแสงก็หม่นแสงลงแล้วถึงได้หยุดลำแสงหลีกหนี
พวกเขาคือชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีม่วงและชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวซึ่งเป็นเผ่ามารระดับสูงสองท่าน
ทั้งสองคนคู่ควรกับที่เป็นเผ่ามารระดับสูงระดับผสานอินทรีย์ ภายใต้การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ยังเอาชีวิตรอดออกมาได้
ทว่าดูจากเสื้อผ้าที่ไหม้เกรียมและกลิ่นเหม็นไหม้ที่โชยออกมาของทั้งสองเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ก็ตกอยู่ในอันตรายจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ส่วนสองคนนั้นก็หันกลับมามองทะเลเพลิงด้วยสีหน้าเขียวคล้ำท่าทางดูไม่ได้
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเผ่ามนุษย์จะโจมตีพวกเราเช่นนี้ ประเมินค่าพวกเราสองคนสูงเกินไปจริงๆ!” ชายร่างใหญ่ที่สวมชุดเกราะสีม่วงกัดฟันเอ่ย ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“คิดไม่ถึงจริงๆ ตามหลักการแล้วแค่อสูรมารเหล่านี้เผ่ามนุษย์น่าจะไม่ใช้เครื่องมือสังหารเช่นนี้ การโจมตีเช่นนี้ต้องสูญเสียพลังวิญญาณระดับที่น่ากลัว หรือว่าเมืองนี้มีศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลงั้นหรือ หรือผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่รับหน้าที่คุ้มกันเมืองแห่งนี้เป็นผู้ที่ไม่มีเหตุผล” ชายชราชุดสีเขียวเองก็เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าซีดขาว
“หึ ผู้ใดจะสนว่าเจ้าผู้ที่คุ้มครองเมืองนั้นจะสมองมีปัญหาหรือไม่ สิ่งที่สำคัญในยามนี้ก็คืออสูรมารที่พวกเราพามาจำนวนมากล้มตายไปหมดแล้วมีแค่อสูรมารยักษ์สองตัวที่หนีออกมาได้ หากพวกเราสองคนกลับไปจะต้องถูกลงโทษแน่” เผ่ามารชุดเกราะสีม่วงเอ่ยอย่างจนปัญญา
“นั่นก็ไม่แน่ เดิมทีครั้งนี้พวกเราก็รับหน้าที่หยั่งเชิงพลังป้องกันของเมืองนี้อยู่แล้วและต้องทำให้เมืองนี้สำแดงการโจมตีทั้งหมดออกมา ยามนี้ทำให้เกิดการโจมตีย้อนกลับที่น่ากลัวเช่นนี้ก็นับว่ามีคุณงามความดีไม่น้อย หากชดเชยกันก็คงโดนลงโทษไม่หนักนัก” ชายชราชุดเขียวกลับเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง โชคดีครั้งนี้พวกเราไม่ได้พาหัวกะทิของเผ่ามาด้วย มิเช่นนั้นคงเสียเปรียบมาก” เผ่ามารชุดเกราะสีม่วงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“เหตุใดท่านสือถึงต้องโศกเศร้านัก ครั้งนี้พวกเราไม่ทันระวังตัวถึงได้ตายยกกองทัพ ครั้งต่อไปหากนำทัพมาอีก ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแน่” ชายชราชุดเขียวเอ่ยอย่างปลอบโยน
“ใช่แล้ว วันข้างหน้าหากมีโอกาสข้าจะต้องแก้แค้นให้ได้ ตั้งแต่ที่ผู้แซ่สือฝึกฝนสำเร็จก็ไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน! อาวุโสลวี่พวกเรากลับไปรายงานกันเถิด” เผ่ามารชุดเกราะสีม่วงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมและไม่รอให้ชายชราตอบอันใดก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปอีกครั้ง
ชายชราชุดเขียวใช้สายตาโหดเหี้ยมกวาดไปที่ทะเลเพลิงที่ปกป้องเมืองเทวะสวรรค์อยู่ หลังจากหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไปเช่นกัน
ส่วนอสูรมารยักษ์สองตัวที่โชคดีหนีออกมาได้ก็ตกใจกับปรากฏการณ์เมื่อครู่ไม่น้อย หลังจากที่หนีออกมาได้ก็ล่วงหน้าไปแล้วโดยไม่มีเจตนาจะหยุดยั้ง
ชั่วพริบตาบรรยากาศรอบๆ ก็กลับมาเงียบสงบ
ทว่าผู้ใดก็ไม่ทันสังเกตว่าห่างจากที่นี่ไปสองสามร้อยลี้บนยอดเขาสูงดวงแสงผลึกสีสันแวววาวลูกหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบๆ ผิวของมันเดี๋ยวสว่างไสวเดี๋ยวมืดมนเปล่งแสงวิญญาณรางๆ ออกมา
ในเวลาเดียวกันภายในหอคอยยักษ์สามเหลี่ยมในเมืองของเผ่ามารที่อยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไปตั้งไม่รู้กี่ลี้ เผ่ามารระดับสูงยี่สิบกว่าคนกำลังยืนเรียงแถวเป็นสองแถวอยู่ด้านข้างตำหนักใหญ่
บนเก้าอี้สีดำที่อยู่ปลายสุดของตำหนัก บุรุษวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
บุรุษผู้นี้มีหน้าตาเหมือนนักปราชญ์ ใบหน้าเหมือนมงกุฎหยกดูเหมือนเผ่ามนุษย์ธรรมดาๆ อย่างไรอย่างนั้น
และตรงกลางของตำหนักก็มีแก้วผลึกขนาดเท่าศีรษะลอยอยู่อีกลูก รูปร่างคล้ายกับที่ปรากฏขึ้นในเมืองเทวะสวรรค์มากแต่ผิวของมันกลับมีภาพสีแดงเพลิงปรากฏขึ้น นั่นก็คือสถานการณ์ของทะเลเพลิงอันแผดเผาที่น่าตกตะลึงของเมืองเทวะสวรรค์
คนกลุ่มนี้กำลังจับจ้องสถานการณ์ในแก้วผลึก บุรุษชุดคลุมสีโลหิตมีสีหน้าไร้ความรู้สึกดูไม่ออกว่ากำลังคิดอันใดอยู่ แต่ท่าทางของเผ่ามารระดับสูงคนอื่นๆ กลับเผยสีหน้าหลากหลายออกมา
“ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ท่านสือและสหายลวี่ไร้ประโยชน์จริงๆ คาดไม่ถึงว่าแค่การโจมตีของเขตอาคมก็จะสูญเสียกำลังทั้งหมดไป หลังจากที่กลับมาแล้วจะต้องลงโทษให้จงหนัก!” บุรุษหน้าตาสง่างามแต่ที่ศีรษะมีเขาสั้นๆ หงิกงอเขาหนึ่งงอกออกมาเอ่ยปากขึ้นด้วยความเย็นชา
“พี่ปันเจ้าพูดเกินไปแล้ว สหายสือและอาวุโสลวี่เดินทัพได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด ต่อให้เจ้านำทัพไปก็คงเป็นเช่นนี้ แต่แค่คิดไม่ถึงว่าการโจมตีกลับของเผ่ามนุษย์ในเมืองนี้จะรุนแรงเช่นนี้ อีกอย่างก็ได้ทดสอบเครื่องมือสังหารของเผ่ามนุษย์ อสูรมารระดับต่ำบาดเจ็บล้มตายไปจะมีค่าอันใดข้าว่า เขาสองคนไม่มีความผิดแถมยังมีความดีความชอบถึงจะถูก” บุรุษเผ่ามารหน้าตาดูเหมือนจะโปร่งใสอีกคนหนึ่งกลับแย้งขึ้นอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“ท่านเสวี้ยนพูดเช่นนี้ก็เกินไป แม้ว่ามารอสูรระดับต่ำเรานั้นจะเป็นแค่เป้าขนาดใหญ่ แต่เสียไปครั้งเดียวจำนวนมากขนาดนี้ก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับพวกเราไม่น้อยและยิ่งไปกว่านั้นยังมีอสูรมารล้ำค่าอีกสามตัวที่อยู่ในนั้น พวกมันแทบจะไม่ได้สำแดงอานุภาพอันใดออกมาก็เพลี่ยงพล้ำไปเสียแล้ว ความผิดนี้หากไม่ลงโทษ ครั้งหน้าคนอื่นๆ นำทัพไปก็จะได้รางวัลแล้วไม่มีโทษงั้นหรือ” บุรุษเขาสั้นแววตาฉายแววโหดเหี้ยมแล้วเอ่ยอย่างเยาะเย้ยออกมา
“หึ เช่นนั้นพี่ปันคิดว่าหากตนเองนำทัพจะทำได้ดีกว่าท่านสือและพวกทั้งสองคนหรือ นายท่านและสหายสือมีความแค้นฝังลึกกันผู้ใดจะรู้ว่าสหายมีความคิดอื่นจนเอาข้อนี้มาอ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้” บุรุษเผ่ามารใบหน้าโปร่งใสตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ทั้งสองคนพูดสลับกันไปมาจนเกิดเป็นบรรยากาศแห่งการปะทะ
เผ่ามารระดับสูงคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนั้นกลับมีสีหน้าหลากหลาย บ้างก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวกับมองไม่เห็น บ้างก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกลับขมวดคิ้ว บ้างก็เอามือกอดอกเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
แน่นอนว่าก็มีเผ่ามารระดับสูงสองสามคนที่เอ่ยปากช่วย ยามนั้นในตำหนักจึงเกิดความวุ่นวายขึ้น
“พอได้แล้ว หุบปากให้หมด!” บุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตะโกนเสียงต่ำๆ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เสียงทะเลาะเบาะแว้งในตำหนักหยุดชะงักลง เผ่ามารสองสามคนที่กำลังโต้เถียงกันพลันหน้าซีดหันไปคารวะบุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตทันที แล้วทยอยกันหุบปากไม่พูดอันใดอย่างระมัดระวัง
“หลังจากที่เขาสองคนกลับมาแล้วข้าจะจัดการเอง ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามายามนี้ก็เพื่อพิจารณาการป้องกันของเมืองเทวะสวรรค์ว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งจะทลายเมืองนี้ให้เร็วที่สุดอย่างไร ยามนี้กองทัพอื่นๆ น่าจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แบบข้าไม่อยากรั้งอยู่ด้านหลังคนอื่น” บุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยอย่างเคร่งขรึม