A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1904 ป้อมผนึกมารกับเชอฉีกง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1904 ป้อมผนึกมารกับเชอฉีกง
“นั่นยุติธรรมมาก สหายถามมาเถิด” หานลี่ขบคิดเล็กน้อยก็เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด แต่น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่อาจออกจากผนึกมารได้ เขาย่อมตอบรับได้เต็มปาก
“เยี่ยม ข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้ป้อมผนึกมารมาได้อย่างไร?” ชายชราชุดเขียวได้ยินพลันดีใจ เอ่ยถามปัญหาที่กวนใจตนที่สุดออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ได้มาจากจอมมารสองสามตนของเผ่าท่าน” หานลี่คาดคิดเอาไว้แล้วจึงตอบทันใด
“จอมมารสองตน หรือว่าจะเป็นสมุนของเซวี่ยกวง? แต่เขาจะวางใจเอาสิ่งนี้ให้คนอื่นได้อย่างไร” ชายชราแววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยพึมพำพร้อมกับขบคิด
“ข้าน้อยตอบคำถามแล้ว นายท่านบอกชื่อมาได้หรือยัง!” หานลี่ไม่สนใจความสงสัยของชายชรา พลางเอ่ยซักถาม
“ข้าเชอฉีกง! เจ้าเป็นคนเผ่ามนุษย์ จะพบกับจอมมารเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้อย่างไร? หรือว่ายามนี้เจ้าอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา?” ชายชราตอบกลับสั้นๆ แล้วเอ่ยถามอีกสองคำรามอย่างรวดเร็ว
“เชอฉีกง ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน ยามนี้แดนมารโบราณของพวกท่านรุกรานเข้ามาในแดนวิญญาณของพวกเราอีกครั้ง ข้าน้อยพบกับจอมมารเผ่าท่านจะแปลกตรงไหน” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อะไรนะ ยามนี้เป็นวันบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์แล้ว! คาดไม่ถึงว่าข้าจะติดอยู่ในนี้มานานเช่นนี้ ยามนี้บวงสรวงศักดิ์สิทธิ์เริ่มมานานแล้วหรือยัง? หากเป็นช่วงเวลาเริ่ม เซวี่ยกวงคงไม่อาจลงมาจุติในแดนมนุษย์ทันใด หรือว่าด้วยเหตุนี้ถึงได้ให้ป้อมผนึกมารออกห่างกาย!” ชายชราพลันตกตะลึง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น
“นี่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง!” หานลี่ได้ยินคำว่า ‘บวงสรวงศักดิ์สิทธิ์’ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เอาละ เจ้าถามมาเถิด” ชายชราชุดเขียวได้ยิน ใบหน้าก็เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง แต่จากนั้นก็นึกอันใดได้ จึงระงับความโกรธเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น
“คำถามอีกข้อของข้านั้นง่ายดายมาก อยากรู้ว่าท่านอาวุโสคือหนึ่งในบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แดนมารโบราณหรือไม่?” หานลี่เอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม
“ในเมื่อเจ้าทายถูกแล้ว เหตุใดต้องถามให้มากความด้วย ตาเฒ่าไม่เพียงเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหนึ่งในบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์มาเนิ่นนานที่สุด! เทียบอายุขัยกับตาเฒ่าแล้ว ทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่แค่สามสี่คน” ชายชราชุดสีเขียวเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา
ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย รวมทั้งอิทธิฤทธิ์ที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ เขาย่อมไม่แปลกใจกับคำตอบนัก
“เจ้ายิ้มอะไร หรือว่าคิดว่าตาเฒ่าเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ มีชีวิตมาเนิ่นนานกลับถูกกักอยู่ที่นี่มันน่าขันหรือ?” เชอฉีกงมีสีหน้าเคร่งขรึม แววตาฉายแววโหดเหี้ยมขณะเอ่ย
“ข้าน้อยจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่ว่านายท่านจะมีอิทธิฤทธิ์อย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ชนรุ่นหลังจะเทียบเทียมได้ จะขำขันได้อย่างไร” หานลี่หุบยิ้ม ดูเหมือนจะตอบกลับอย่างราบเรียบ
แต่ในใจของเขากลับรู้สึกกังขา มารเฒ่าผู้นี้นิสัยแปรปรวน ต้องระวังหน่อยแล้ว
“เจ้ารู้ว่าตาเฒ่าคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ ยังมีท่าทีเยือกเย็นเช่นนี้ หรือคิดว่าตาเฒ่าจะไม่กลืนกินเสี้ยวจิตสัมผัสของเจ้า!” เชอฉีกงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
“หากท่านอาวุโสอยากลงมือก็คงลงมือตั้งนานแล้ว จะรอจนถึงยามนี้ทำไม” หานลี่มีท่าทีราบเรียบ
“เจ้าช่างชาญฉลาดนัก หากไม่ติดอยู่ที่นี่ ตาเฒ่าพบมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าคงตะปบให้ตายไปนานแล้ว เอาละ ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของตาเฒ่าเถิด การบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์เพิ่งเริ่มต้นขึ้นไม่นานใช่หรือไม่ บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นยังไม่ได้ใช้ร่างจริงลงมาจุติ?” ในที่สุดเชอฉีกงก็เยือกเย็นลงอีกครั้งและเอ่ยถามพร้อมกับแค่นเสียงหึ
“เคราะห์มารเพิ่งเริ่มขึ้นได้ไม่นาน หากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นอยากลงมาจุติด้วยร่างที่แท้จริงคงเป็นไปไม่ได้” หานลี่ไม่ได้ปิดบังพลางตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เชอฉีกงได้ยินก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจฉาบแวบผ่าน ทันใดนั้นก็จมสู้ภวังค์ความครุ่นคิดดูเหมือนว่าจะขบคิดอันใดสักอย่าง
“สหายโปรดบอกประโยชน์ของป้อมผนึกมารได้หรือไม่!” หานลี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นสถานการณ์ของชายชราพลันเอ่ยถามขึ้น
“ป้อมผนึกมาร มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่มีทางใช้ได้ เจ้าถามคำถามนี้ก็ไร้ประโยชน์” ชายชราได้ยินพลันตกตะลึงกวาดสายตามองหานลี่แวบหนึ่งฉับพลันนั้นก็เผยแววยิ้มเยาะออกมาขณะเอ่ย
“ไร้ประโยชน์กับข้าน้อยจริงหรือไม่ ข้าน้อยย่อมตัดสินใจเอง” หานลี่ยังคงเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้เช่นนี้บอกเจ้าก็ไม่เป็นไร ความจริงแล้วป้อมผนึกมารเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬที่มีไอหยินหยางบริสุทธิ์ผสมอยู่ซึ่งยังหลอมไม่เสร็จ ตัวมันไม่เพียงจะเป็นห้วงเวลา ยังมีอาคมโบราณสิบสามชั้นที่สร้างขึ้นจากปรมาจารย์ด้านเขตอาคมของแดนศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งสร้างเอาไว้ หากกักคนไว้ที่นี่นอกเสียจากจะถูกผู้ที่มีพลังจริงๆ ทลายไอที่แฝงอยู่ มิเช่นนั้นต่อให้มีคนใช้พลังภายนอกทำลายเขตอาคมสิบสามเขตก็ไม่อาจทำได้ ส่วนไอที่ผสมอยู่คือของที่ร้ายกาจระดับใดหากสมบัติชิ้นนี้หลอมเสร็จกลายเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬที่ต่อให้เทพเซียนบนสวรรค์ถูกกักอยู่ในนี้ หากไม่มีวิธีประสานกับมันก็จนปัญญา ทว่าต่อให้ตรงหน้าเป็นแค่ของกึ่งสำเร็จรูปสิ่งมีชีวิตระดับมหายานและระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าติดอยู่ในนี้ก็ไม่มีทางหนีได้แล้ว” ชายชราเอ่ยอย่างเย็นชา
“สมบัติสวรรค์ทมิฬที่ยังหลอมไม่เสร็จ!” แม้ว่าก่อนหน้านี้หานลี่จะสงบนิ่งดุจสายธารแต่เมื่อได้ยินคำนี้ก็อดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
อานุภาพของสมบัติสวรรค์ทมิฬย่อมไม่มีผู้ใดเข้าใจมันไปมากกว่าเขา แม้ว่าจะเป็นแค่สมบัติที่ยังหลอมไม่เสร็จก็เพียงพอที่จะทำให้เขาใจเต้นแล้ว
“หึๆ สิ่งที่น่าเสียดายก็คือป้อมผนึกมารนี้อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า นอกเสียจากเผ่ามารโบราณระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าใช้พลังหลักเกณฑ์ฟ้าดินของแดนศักดิ์สิทธิ์ฝืนควบคุม มิเช่นนั้นแม้ว่าคนภายนอกจะได้สมบัติชิ้นนี้ไปก็ไม่อาจกระตุ้นได้เลยสักนิด จึงเป็นได้เพียงของไร้ค่าเท่านั้น! หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีวิธีทำให้จิตสัมผัสเข้ามาในเขตอาคมได้ ส่วนตาเฒ่าก็บังเอิญใช้ปราณแท้ทลายเขตอาคมนี้และขวางเจ้าเอาไว้ เมื่อเสี้ยวจิตสัมผัสของเจ้าเข้าไปในส่วนลึกของกล่องเกรงว่าคงถูกไอที่ผสมอยู่ทำให้หายวับไปไม่ได้ประโยชน์อันใดแน่” เชอฉีกงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เช่นนี้นี่เอง มีเพียงต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกับพลังฟ้าดินของแดนมารโบราณได้ถึงจะใช้สมบัติชิ้นนี้ได้!” หานลี่เอ่ยพึมพำท่าทางครุ่นคิด
“เจ้าอย่าคิดเพ้อฝันเลย แม้ว่าเจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราและกระตุ้นไอมารเที่ยงแท้ได้ แต่นอกเสียจากจะฝึกฝนเคล็ดวิชามารจนมาอยู่ในระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจพูดถึงการเชื่อมโยงพลังฟ้าดินของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชามารจนถึงขั้นนั้นตัวคงไม่อาจอยู่ในแดนวิญญาณจะถูกบีบขึ้นไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรากลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของแดนศักดิ์สิทธิ์” เชอฉีกงราวกับมองอะไรออกจึงเอ่ยอย่างมีเลศนัย
หานลี่กล้ามเนื้อกระตุกหลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า
“จากที่สหายเชอพูด สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าเลย”
“เป็นเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงบอกว่าที่เจ้าถามประโยชน์ของสมบัติชิ้นนี้มันไม่มีความหมายและยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะสมบัติชิ้นนี้ยังหลอมไม่เสร็จจึงมีข้อจำกัดที่ถึงชีวิตที่ทำให้ของสิ่งนี้เป็นแค่ของจิ๊บจ๊อยในมือของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเรา” ชายชราชุดเขียวเอ่ยด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
“ข้อจำกัดอะไร?” หานลี่ขมวดคิ้วเอ่ยถามตามความรู้สึก
“ฮ่าๆ จุดนี้ตาเฒ่าจะไม่บอก” เชอฉีกงกลับหัวเราะร่าและปฏิเสธ
“สหายเชอไม่อยากบอกก็ช่างเถิด” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา
ตาเฒ่าหัวเราะหึๆ ไม่เอ่ยถามอีกกลับขบคิดไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามถึงสิ่งใหม่ขึ้นมา
“ตาเฒ่าอยากรู้อีกเรื่องหนึ่งหวังว่าเจ้าจะตอบให้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในละแวกนี้มี ‘บ่ออเวจีหยินหยาง’ หรือ ‘เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง’ สถานที่ที่แปลงมาจากพลังฟ้าดินอยู่หรือไม่!” เชอฉีกงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“บ่ออเวจีหยินหยาง? เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง? เหตุใดนายท่านถึงถามถึงสิ่งนี้?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ตอบคำถามของชายชรากลับย้อนถามอย่างระมัดระวัง
“เจ้าปัญหาเยอะจริง เจ้ายังไม่ตอบคำถามก่อนหน้าของข้าเลย!” ชายชราชุดเขียวหน้าเปลี่ยนสีเป็นไม่ค่อยสบอารมณ์และเอ่ยด้วยความเย็นชา
“งั้นก็คิดว่าคำถามนั้นเป็นคำถามต่อไปของข้าน้อยก็แล้วกัน” หานลี่ตอบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ชายชราได้ยินคำตอบของหานลี่ก็มีสีหน้าโกรธขึ้งปรากฏขึ้นอีกครั้ง แววตามีลำแสงสีเงินไหลโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์
“ดูแล้วนายท่านคงจะถามอีกแล้ว ข้าน้อยเป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น” หานลี่กลับเตือนอย่างไม่ใส่ใจ
“หึ หากร่างที่แท้จริงของเจ้าอยู่ที่นี่เจ้าจะมีคุณสมบัติอะไรมาต่อรองกับข้า!” เชอฉีกงแค่นเสียงอย่างเย็นชา ลำแสงสีเงินในแววตาหม่นลงเอ่ยอย่างระงับความโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมากลับไม่กล้าเอ่ยปากอันใดอีก
ส่วนชายชราชุดเขียวที่ลังเลไปชั่วครู่ถึงได้อธิบายออกมาอย่างหมดความอดทน
“สองที่นี้คือสิ่งเดียวที่สามารถบวงสรวงป้อมผนึกมารได้อีกครั้ง หากเอาสมบัติชิ้นนี้ไปวางไว้ด้านในแล้วใช้เคล็ดวิชาเผ่าศักดิ์สิทธิ์บวงสรวงก็สามารถเอาไอผสมอยู่ออกมาได้ สิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราไม่ว่าจะใช้ไอที่ผสมอยู่หลอมอาวุธหรือดูดซับให้ตนเองใช้ก็มีประโยชน์มหาศาลและเป็นเพราะแดนศักดิ์สิทธิ์มีไอมารเที่ยงแท้อยู่จำนวนมากจึงมีเพียงแดนวิญญาณที่จะมีสถานที่สองชนิดนี้ได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นป้อมผนึกมารชิ้นนี้ก็คงไม่ออกห่างจากเจ้าเซวี่ยกวงแน่และไม่มีทางตกมาอยู่ในมือของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่ง”
“นำป้อมผนึกมารไปวางไว้ในสองสถานที่นี้ก็จะสามารถดึงพลังทั้งสองที่แฝงอยู่ออกมาได้จริงหรือ?” หานลี่ได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ
ในคัมภีร์โบราณต่างๆ ก็มีบันทึกที่เกี่ยวกับไอหยินหยาง มันมีประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้เขาอดที่จะตกตะลึงระคนดีใจไม่ได้!
“เหตุใดตาเฒ่าต้องหลอกลวงเจ้าด้วย ในเมื่อเจ้ารวบรวมจิตสัมผัสเป็นร่างแยกได้ คิดดูแล้วก็คงเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ หากดูดซับพลังที่แฝงอยู่ได้ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสบรรลุระดับมหายาน! ไม่ใช่แค่นั้นอาจจะทำให้พลังยุทธ์ของเจ้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง หากใช้พลังที่แฝงอยู่บวงสรวงสมบัติ สมบัติธรรมดาแค่ไหนก็จะกลายเป็นสมบัติสะท้านฟ้าที่มีอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์ทันที!” เชอฉีกงเอ่ยอย่างราบเรียบ