A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1907 สงครามเมืองอี่เทียน (1)
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1907 สงครามเมืองอี่เทียน (1)
สิ่งนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถเลียนแบบลักษณะของเมืองอี่เทียนทั้งเมืองได้เลยทีเดียว
ส่วนไอมารที่เคลื่อนที่ไปมารอบๆ ท่ามกลางแสงสว่างนั้น กลับแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของกองทัพมารที่กำลังมาถึงยังเมืองอี่เทียน
“สหายหาน เซียนหยินกวง เชิญรีบนั่งเถิด ดูเหมือนว่าศึกนี้จะเป็นการตัดสินความเป็นความตายของเมืองอี่เทียนเสียแล้ว หากถึงตอนนั้นคงต้องพึ่งสหายทั้งสองเสียแล้ว” อรหันต์ชิงหลงเมื่อเห็นพวกของหานลี่ก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมและจริงใจ
“สหายชิงหลงเกรงใจเกินไปแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเรานั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สงครามนี้ก็ถือเป็นการยื่นมือเข้าช่วยแล้วกัน” เซียนหยินกวงยกยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ
อรหันต์ชิงหลงเมื่อได้ยินก็รู้สึกยินดีอย่างมาก เอ่ยปากขอบคุณติดๆ กันไม่หยุด
และเซียนหลินหลวนเองก็มีสีหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อหานลี่และเซียนหยินกวงเพิ่งนั่งลง ถึงได้เอ่ยปากว่า
“จากข้อมูลที่ผู้ตรวจตราส่งกลับมา เรื่องการจับตามองทิศทางการเคลื่อนไหวของเผ่ามาร กองทัพใหญ่ของเผ่ามารครั้งนี้เคลื่อนพลอย่างพร้อมพรัก และไม่ได้เหลือทางหนีทีไล่อะไรไว้เลย ยังดีที่เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่พวกข้าคิดไว้อยู่แล้ว และได้เตรียมการไว้สำหรับเรื่องนี้แล้ว ขอเพียงพวกข้าสองสามคนสามารถรั้งผู้อาวุโสเผ่ามารสองสามคนเอาไว้ได้ ยังพอมีหวังที่จะโจมตีจนเผ่ามารล่าถอยไปได้ แน่นอน ครั้งนี้น้องหยินกวงและสหายหานเดินทางมายาวไกล พวกข้าทั้งสี่ก็จะไม่มีทางให้สหายทั้งสองไปเสี่ยงอันตรายนี้อย่างเสียเปล่าแน่ พวกข้าเตรียมของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้พวกท่านแล้ว หวังเพียงท่านทั้งสองจะไม่ถอนทัพไปเสียก่อน”
เพียงเอ่ยจบ หญิงผู้นี้ก็ยกมืองดงามดุจหยกขึ้นตบสองครั้ง
ทหารชุดเกราะสีเขียวสองคนเดินเข้าห้องโถงมา ในมือแต่ละข้างถือจานเงินหุ้มด้วยผ้าไหมสีทองและยกขึ้นสูงกว่าศีรษะ พร้อมมอบแก่หานลี่และเซียนหยินหวง
หานลี่มีประกายพาดผ่านในแววตา เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
ผ้าไหมสีทองขยับเล็กน้อย กลับมีวงแหวนสีน้ำเงินหลุดออกมา และมันดูดเข้าสู่มือในพริบตา
เป็นสร้อยข้อมือเก็บของชั้นสูง!
ดวงตาของหานลี่ส่องประกายขึ้นมา เขากวาดดวงจิตอย่างพอประมาณ สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในใจเขาเองก็คาดเดาได้ถึงสิ่งของที่อยู่ด้านในสร้อยข้อมือเก็บของ มูลค่าต้องไม่น้อยแน่ แต่คาดไม่ถึงว่าด้านในนั้นจะมีวัสดุหายากมากมายเทียมเท่ากับได้ครอบครองศิลาวิญญาณคุณภาพดีมากมายเลย
สี่พรรคใหญ่นี้ไม่เสียแรงที่เป็นกลุ่มกำลังที่อยู่ระดับแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพียงแค่มอบของกำนัลก็มอบของล้ำค่าถึงเพียงนี้แล้ว
นั่นเป็นเพราะสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเมืองอี่เทียน ไม่อย่างนั้นต่อให้อรหันต์ชิงหลงและเซียนหยินกวงจะอยากขอบคุณด้วยความตื้นตันเพียงใด ก็คงมิได้ใจกว้างถึงเพียงนี้เป็นแน่
และของขวัญชิ้นใหญ่สองชิ้นนี้มิได้รับไว้ง่ายอย่างนั้น หลังจากรับพวกมันมาแล้ว สงครามในไม่ช้านี้ แน่นอนว่าต้องสู้เต็มกำลังอย่างแน่นอน
หานลี่ดวงจิตเริ่มหมุนวนอีกครั้ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย
“ในเมื่อสหายทั้งสองจริงใจถึงเพียงนี้ ผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ ก็หมุนฝ่ามือ ก่อนที่สร้อยข้อมือเก็บของจะหายวับไปท่ามกลางแสงหลายเส้นที่พาดผ่าน
เซียนหยินกวงที่อยู่อีกด้าน หลังจากที่ตรวจสอบสร้อยเก็บของอยู่เหมือนกัน ในดวงตาแน่นอนว่าก็ปรากฏสีหน้ายินดีเช่นกัน หลังจากเอ่ยขอบคุณ ก็เก็บไปอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
เซียนหลินหลวนและอรหันต์ชิงหลงเมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าก็ปรากฏความพึงพอใจเช่นกัน
อรหันต์ชิงหลงเอ่ยอย่างพึงพอใจว่า
“ขอเพียงรักษาเมืองไว้ได้ในสงครามนี้ หลังจากสงครามใหญ่นี้จบลง พวกข้าสี่เหล่าพรรคยังมีของกำนัลชิ้นใหญ่อีกอย่างที่จะมอบให้ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณใหญ่หลวงที่ท่านทั้งสองนั้นให้ความช่วยเหลือ”
“ใช่แล้ว ขอเพียงโจมตีเผ่ามารให้ล่าถอยไปได้ เมื่อวันที่ห้าอาทิตย์กลายเป็นดวงจันทร์ผ่านไป เขตอาคมเก้าตะวันตัดดาราอาทิตย์กลับฟื้นคืนสู่ปกติอีกครั้ง เมืองนี้ก็จะมีกำลังในการปกป้องตนเองมากขึ้นหลายส่วน แต่ก่อนหน้านั้น พวกข้าทั้งสี่แน่นอนว่าต้องมีเรื่องลำบากให้ต้องเผชิญแล้ว หวังว่าของสิ่งนี้ คงพอที่จะจะตอบแทนสหายทั้งสองในการช่วยเหลือยิ่งใหญ่ครั้งนี้ได้” หลินหลวนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย
“ของขวัญของสหายสองคนนั้นไม่สำคัญ ผู้น้อยจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน แต่กองทัพของเผ่ามารก็แล้วไปเถิด แค่คิดว่ามีกองทัพหุ่นเชิดของเมืองท่านคุ้มกันอยู่ น่าจะหายห่วงไปได้ส่วนหนึ่ง แต่สงครามแห่งมารเจียหลุนต่างก็เป็นสัตว์แห่งมารที่กระหายเลือดอย่างแท้จริง มิใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทัดเทียมได้ และก็มิใช่ว่าพวกข้าน้อยจะระวังมากไป ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปเกรงว่าจะไม่อาจต่อกรสงครามมารเจียหลุนได้” หานลี่เอ่ยอย่างช้าๆ ในคำพูดนั้นราวกับมองเห็นได้ถึงความกังวลใจ
“ข้อนี้พี่หานขอได้โปรดวางใจ พวกข้าเองก็ทราบดีว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปต่อให้อยู่ในระดับเดียวกันก็มิอาจต่อกรกับสงครามมารเจียหลุนได้ ดังนั้นนอกจากการรวบรวมกองกำลังชั้นยอดในพรรคของเราแล้ว ยังเตรียมวิธีการอื่นต่างหากอีกด้วย เชื่อว่าด้วยความพยายามร่วมกันของทั้งสอง พวกเขาควรจะสามารถจัดการกับสงครามมารเจียหลุนเหล่านั้นได้แน่” อรหันต์ชิงหลงกล่าวด้วยสีหน้าลึกลับ
“อ่อ ที่แท้อรหันต์เองก็มีแผนในใจแล้วนี่เอง เป็นข้าเองที่กล่าวมากไป ต่อไปข้าและเซียนหยินกวงก็ขอฟังความเห็นของสหายทั้งสองก่อนแล้วกัน” หานลี่ยกยิ้ม ก่อนตอบอย่างสุขุม
“แน่นอนว่าควรเป็นเยี่ยงนั้น ในมหาสงครามครั้งนี้ ข้าได้สั่งให้กองกำลังควบคุมอื่นๆ ในเมือง นอกจากเขตอาคมเก้าตะวันตัดดาราอาทิตย์แล้ว เขตอาคมอื่นๆ ทั้งหมดให้ใช้พลังสิบสองส่วนของศิลาวิเศษได้อย่างไม่ต้องเสียดาย นอกจากนี้ หุ่นเชิดสามสิบสองตัวที่มีคุณสมบัติการฝึกฝนเสมือนจริงก็ถูกระดมมาจากคลังด้วย…” อรหันต์ชิงหลงพยักหน้า ก่อนเริ่มอธิบายการจัดการต่างๆ ในเมืองต่อไปทันที
เซียนหลินหลวนเองก็อยู่ข้างกาย เขาเอ่ยปากเพิ่มเติมบ้างเป็นบางครั้ง
หานลี่และหยินกวงเองตอนนี้กลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา พวกเขาจดจ่อฟังอย่างตั้งใจ
กว่าครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ก็เริ่มมีผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงจำนวนมากเดินเข้าออกห้องโถงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนสีหน้าเคร่งขรึมอย่างน่าประหลาด ต่างก็กลายร่างเป็นแสงบินออกไปยังที่ต่างๆ ตามคำสั่งที่ได้รับมาต่างๆ กัน
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้นก็ดังขึ้นทุกที่ในเมือง
กองทหารของเผ่าพันธุ์มนุษย์และแสงหลีกหนีที่แตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากทุกส่วนของเมือง และพุ่งเข้าหาหัวของเมืองราวกับกระแสน้ำ
ในเวลาเดียวกัน ในมุมที่เงียบสงบของเมืองและบนพื้นที่ว่างระหว่างบ้านเรือน ปรากฏสิ่งปลูกสร้างขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กโผล่ออกมาจากพื้นดินอย่างน่าประหลาด เกิดประกายฉายแสงวูบวาบ
และยังมีสิ่งปลูกสร้างบางอย่างที่หลังจากเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ก็ทยอยเปลี่ยนรูปร่างไป
พวกมันต่างก็เปลี่ยนรูปต่างเป็นยักษ์ตัวสูงใหญ่ บ้างก็กลายร่างเป็นยานพาหนะสงครามขนาดใหญ่และ เรือบินได้ขนาดยักษ์
ณ จุดศูนย์กลางของเมืองอี่เทียน ห้องโถงที่เดิมใช้เป็นที่สำหรับหารือเรื่องต่างๆ หลังจากการสั่นไหวที่ราวกับสามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้ กลับค่อยๆ ถอนตัวออกมาจากพื้นดินอย่างช้าๆ ทั้งยังขึ้นไปลอยเคว้งอยู่กลางอากาศอย่างน่าสะพรึงทันที
ไม่เพียงแค่อย่างนั้น ทั่วทั้งห้องโถงลวดลายภายนอกที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ภายหลังจากเกิดคลื่นที่ราวกับลมแผ่วเบา ก็เคลื่อนไหวเปล่งประกายออกมาทันที แต่ละสิ่งปลูกสร้างยังรวมตัวกันเป็นอักษรทั้งห้าสีที่ลึกลับ
“ปัง” เสียงดังสนั่น ประกายแสงห้าสีที่ปกคลุมปรากฏขึ้นมาจากด้านใต้ของห้องโถงใหญ่ และหลังจากเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ก็ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงถูกปกคลุมอยู่ด้านใน
หลังจากที่เกิดเสียงจากห้องโถงใหญ่ ภายใต้การสั่นสะเทือน กลับกลายเป็นดวงแสงขนาดใหญ่ท่ามกลางแสงทั้งห้าสี ก่อนพุ่งตรงไปยังด้านหนึ่ง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทันใดนั้น ห้องโถงขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือกำแพง และยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น
และบนกำแพงเบื้องล่างและในเมืองที่อยู่ด้านหลังวังเต็มไปด้วยกองทัพคนจำนวนมากและอรหันต์ระดับล่างในชุดเกราะที่เตรียมพร้อม มองทอดไปแทบจะไม่เห็นปลายแถว คาดเดาว่าน่าจะมีถึงนับล้านคน
ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้านบน กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงที่อาจสูงกว่าผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสูงด้านล่างเสียด้วยซ้ำ มีถึงเจ็ดแปดพันนายเลย และก็ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศราวกับเหยียบอยู่บนวัตถุล้ำค่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังจะมาถึง
ในมุมหนึ่งของกองทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์วิเศษหน้าตาประหลาดก็หมอบอยู่ท่ามกลางโคลนดิน
แม้ว่าดวงตาทั้งสองของพวกมันจะมีประกายสังหารพาดผ่าน ราวกับไม่อยากทนดูสถานการณ์ตรงหน้า และก็กลับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นควบคุมอยู่ แต่ละตัวทำได้เพียงส่งเสียงคำรามต่ำอย่างอดทนไม่กล้าส่งเสียง
ลึกลงไปในพื้นดินที่สัตว์ร้ายเหล่านี้ปีนขึ้นไป ในทางเดินใต้ดินขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนใยแมงมุม มีหุ่นเชิด สวมชุดเกราะต่อสู้ และถืออาวุธต่างๆ อยู่
ท่ามกลางกองทัพหุ่นเชิดเหล่านี้ หุ่นเชิดสีทองที่สูงกว่าร้อยจั้งทั้งสามสิบสองตัวก็ยืนอยู่ในที่เดียวกันอย่างเงียบๆ ด้วยมือเปล่า
ในเวลาเดียวกัน ในจัตุรัสขนาดใหญ่ที่มีผู้คุ้มกันหลายชั้นในเมืองอี่เทียน ผู้บำเพ็ญเพียรมากกว่าสิบคนในอาภรณ์สีขาวยังยุ่งอยู่ท่ามกลางเขตอาคมสีม่วงแดง
เขตอาคมนี้แทบจะประกอบขึ้นจากหินหยกสีม่วงหลายชิ้น และหินหยกเหล่านี้ทุกชิ้นล้วนมีอักษรหลากสีสลักอยู่ ราวกับในเขตอาคมนี้ยังกลายเป็นเขตอาคมที่ไม่เหมือนกันอีกเก้าอย่าง
นั่นคือเขตอาคมลูกโซ่ที่น้อยคนนักที่จะทราบ
แต่จุดศูนย์กลางของลูกโซ่ในเขตอาคมทั้งเก้าหลังนั้น กลับมีเขตอาคมขนาดเล็กที่เกิดจากการรวมตัวของอักษรสีฟ้าตลอดร่าง เขตอาคมเล็กๆ นี้ เปล่งประกายไอเย็นที่น่าสะพรึงออกมา และราวกับมีกลิ่นสาบออกมาจากในนั้นอยู่เนืองๆ
เขตอาคมทั้งหลัง เปล่งประกายมืดมน เขตอาคมทั้งเก้าหลังนั้นราวกับไม่กะพริบแสงเลยแม้แต่สักกระผีก ราวกับหยุดการเคลื่อนไหวไปเสียโดยสิ้นเชิง
มีเพียงเขตอาคมสีฟ้าหลังนั้นที่อยู่จุดศูนย์กลาง กลับเปล่งประกายเสียแสบตา ราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนดั่งแสงแดดจ้าที่หมุนวนไม่หยุด
ผู้บำเพ็ญเพียรอาภรณ์ขาวสิบกว่าคนนั้นมองเขตอาคมเหล่านั้นราวกับน้ำท่วมหลาก แต่ละคนต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้แม้สักกะผีก ต่างก็นำศิลาสีทองที่ไม่ทราบชื่อบรรจุโดยรอบเขตอาคมทั้งหลังอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แค่ชั่วครู่ก็ผ่านไปสามสี่ชั่วยามแล้ว
และในเวลานี้เอง ขอบฟ้าราวกับปรากฏเสียงแห่งกลองสงคราม
เสียงกลองรบนับวันยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และเหล่าผู้คนที่ได้ฟัง ราวกับเลือดในกายจะเดือดพล่านขึ้นมาอย่างนั้น
จากนั้นเส้นสีดำก็ปรากฏขึ้นในพริบตา และมันก็หนาขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็กลายเป็นทะเลมารที่ประกอบด้วยไอมารสีดำสนิท โผบินไปทางขอบอย่างกลิ้งเกลือก
ท่ามกลางทะเลมาร เงามารนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่มองเห็นได้เลือนรางนักภายใต้การปกคลุมของไอมาร ราวกับมองเห็นได้เพียงเรือรบขนาดยักษ์ลอยนิ่งราวกับภูเขาเล็กๆ ก็มิปาน
ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในอากาศเหนือเมืองอี่เทียน เกิดแสงสว่างวาบ เงาร่างมนุษย์สิบกว่าร่างปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ ต่างมองไปยังทิศทางที่มีทะเลมารอยู่ด้วยสีหน้าแตกต่างกันออกไป