A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1956 อิทธิฤทธิ์อาทิตย์ลวงตา
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1956 อิทธิฤทธิ์อาทิตย์ลวงตา
แต่เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของชายร่างใหญ่มันสายไปเสียแล้ว!
แม้ว่าขวานยักษ์สีดำจะดูยิ่งใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวของเหลยอวิ๋นจื่อกลับรวดเร็วกว่าหลายส่วน
หลังจากที่ได้ยินเสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ในเขตอาคมอัสนีก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เขาและหานลี่หายวับไปท่ามกลางสายฟ้าสีเงิน
หลังจากที่ลำแสงสีดำม้วนวนแล้วฉีกเขตอาคมอัสนีออกเป็นชิ้นๆ แต่ก็ไม่อาจทำอันใดหานลี่และพวกทั้งสองได้แม้แต่ปลายเล็บ
หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้ขัดขวางการโจมตีของชายร่างใหญ่ แต่ตนก็ไม่คิดจะลงมือ หลังจากที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คาดไม่ถึงว่าจะหลับตาลงอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอันใดอยู่
ชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเห็นการโจมตีไม่ประสบผล ใบหน้าก็เผยสีหน้าไม่ยินยอมออกมา แต่เมื่อเห็นการกระทำของหญิงสาว กลับหุบปากสนิทและคอยรักษาการณ์อยู่ด้านข้าง ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ อีก
ทว่าหลังจากผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ แพขนตาก็ขยับหญิงสาวลืมตาคู่งามขึ้น และเอ่ยอย่างราบเรียบ
“มากสุดก็อีกห้าหกครั้ง ข้าจะทำให้คนผู้นี้หนีไม่รอด ยามนี้ข้าหาตำแหน่งที่น่าจะถูกส่งตัวไปได้สองสามแห่ง พวกเรารีบไปกันเถิด ยามที่พวกเราพบหน้ากับพวกเขาอีกครั้ง มากสุดก็แค่สองสามเค่อเท่านั้น”
“ขอรับ ใต้เท้าเป่าฮัว! ชนต่างเผ่าในแดนวิญญาณเหล่านี้จะรู้ความร้ายกาจของใต้เท้าได้อย่างไร ทว่าเหตุใดสมบัติของใต้เท้าถึงไปอยู่ในมือของชายเมื่อครู่?” เฮยเอ้อร์รีบเข้ามาประจบ แต่ก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“แปลกอันใด? ตอนนั้นใบมีดสมประสงค์สวรรค์ทมิฬของข้าถูกวานรมารชิงไป และยามที่ข้าตื่นขึ้นมาไปตามหาที่ซ่อนของวานรมารอีกครั้ง กลับพบว่ามันเพิ่งเพลี่ยงพล้ำไป สมบัติที่ถูกมันชิงไปย่อมตกอยู่ในมือของคนที่สังหารมัน ตอนนั้นก่อนที่ข้าจะตื่นขึ้น ก็มีชาวเมฆาสวรรค์จำนวนไม่น้อยบุกเข้าไปในเทือกเขา ผู้ที่สังหารมันก็เป็นหนึ่งในนั้น เดิมข้าคิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในชาวเมฆาสวรรค์ แต่เป็นเพราะตอนนั้นมีข้อตกลงกับอาวุโสของเผ่าเมฆาสวรรค์ จึงไม่สะดวกที่จะตรวจสอบเรื่องสมบัติชิ้นนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเศษของสวรรค์ทมิฬจะมาตกอยู่ในมือของเผ่ามนุษย์ และไม่รู้ว่าตอนแรกเขาปะปนเข้ามาในเทือกเขามารสีทองได้อย่างไร แต่เช่นนั้นข้าย่อมต้องเอาสมบัติกลับมา” หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ตอนแรกที่ข้าน้อยได้ปะหน้ากับชาวเมฆาสวรรค์เหล่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่สังหารวานรมารระดับผสานอินทรีย์ตัวนั้นได้” ชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวในภายหลังขึ้นมาสองสามส่วนไม่ได้
“เอาล่ะ พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ไปชิงดอกถวานฮวาสวรรค์มาให้ได้ก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แต่อาศัยบุปผานี้ที่สามารถควบคุมบาดแผลของข้าได้ ก็ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าทำนายเอาไว้เมื่อสองสามวันก่อน สมุนไพรวิญญาณที่มีประโยชน์ที่แท้จริงที่ข้าตามหา ดูเหมือนจะอยู่ในบริเวณนี้ เฮยเอ้อร์เจ้าเองก็ช่วยข้าดูด้วย หากช่วยข้าหาสมุนไพรวิญญาณพบ ให้ข้าฟื้นฟูพลังปราณให้หมด ย่อมต้องตอบแทนเจ้าอย่างงาม” หญิงสาวแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“ใต้เท้าวางใจ เฮยเอ้อร์จะพยายามช่วยใต้เท้าตามหาสมุนไพรวิญญาณอย่างเต็มกำลัง แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือใต้เท้าเองก็ไม่รู้ว่าสมุนไพรวิญญาณในคำทำนายคือสิ่งใด มิเช่นนั้นคงประหยัดเวลาไปได้เยอะ” ชายร่างใหญ่เอ่ยด้วยความร้อนใจ
“แม้ว่าข้าจะรู้จักเคล็ดวิชาการทำนาย แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญนัก น่าเสียดายที่ตอนนั้นแม่ทัพอวิ๋นและหลงทั้งสองที่อยู่ข้างกายข้าถูกสังหารไปนานแล้ว มิเช่นนั้นหากมีพวกเขาช่วยลงมือ เหตุใดข้าต้องออกจากภูเขาด้วยตนเอง” หญิงสาวกระโปรงสีขาวแววตางดงามเปล่งประกายแล้วเอ่ยอย่างอ้างว้าง
“ชื่อเสียงของใต้เท้าอวิ๋น และหลง ข้าน้อยเคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าแม้ว่าใต้เท้าทั้งสองจะไม่ใช่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ แต่อิทธิฤทธิ์ที่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ยังต้องหวาดกลัวไปหลายส่วน โดยเฉพาะเคล็ดวิชาการทำนายของใต้เท้าอวิ๋น เลื่องชื่อว่าเป็นอันดับสองของแดนศักดิ์สิทธิ์ และมีเพียงใต้เท้าเสวียนกวงที่พัฒนาระดับขั้นจากเคล็ดวิชาการทำนายผู้นี้ ถึงได้พอเอาชนะได้” เฮยเอ้อร์ได้ยินหญิงสาวเอ่ยถึงสองคนนั้น ใบหน้าย่อมอดที่จะเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาไม่ได้
“หึๆ แม้แต่เจ้าก็รู้จักชื่อเสียงของพวกเขา! นั่นก็ไม่แปลก ตอนนั้นชื่อเสียงของพวกเขายิ่งใหญ่มาก ไม่เป็นรองบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป” หญิงสาวหัวเราะอย่างราบเรียบ แววตาเปล่งประกายจมเข้าสู่ภวังค์
ชายร่างใหญ่หัวเราะแห้งๆ กลับไม่กล้าเอ่ยปากอันใดต่อ
ไม่นานนัก แววตาของหญิงสาวก็เปล่งประกาย แล้วออกคำสั่ง
“ไปกันเถิด หากไม่เคลื่อนไหว เกรงว่าจะไล่ตามเจ้าเด็กนั่นลำบาก”
ชายร่างใหญ่ย่อมไม่มีความเห็น ทันใดนั้นก็ค้อมตัวลงตอบรับ ร่างกายพลิ้วไหวเปล่งแสงสว่างวาบสับลงมาที่ดอกบัวยักษ์ ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวห่างออกไปสองสามจั้งอย่างรอบคอบ
เป่าฮวาสะบัดแขนเสื้อ ดอกไม้ยักษ์ใต้ร่างหมุนคว้าง รัศมีลำแสงสีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนม้วนวนแผ่ออกมา ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมจากดอกไม้ก็แผ่ออกมา
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น รัศมีสีชมพูก็สลายออก ชั่วขณะนั้นดอกไม้ยักษ์ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในช่วงเวลาต่อจากนั้นดอกไม้ยักษ์ก็มาปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องสามสี่แห่ง แต่ล้วนปรากฏตัวแล้วสลายหายไปอีกครั้ง
สองชั่วยามต่อมากลางป่ารกก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ยามที่ดอกไม้ยักษ์สีชมพูปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็มีเสียงร้อง “เอ๋” เบาๆ ของดังออกมาจากดอกไม้!
จากนั้นรัศมีลำแสงของดอกไม้ยักษ์พลันหม่นแสงลง กลีบของดอกไม้ยักษ์บานออก เป่าฮวาและชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ปรากฏตัวขึ้นทันที
“อันใด ใต้เท้าหาสองคนนั้นพบแล้ว!” เฮยเอ้อร์พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความดีใจ
“เปล่า แค่พวกเราดูเหมือนจะพบกับแขกมิได้รับเชิญคนหนึ่ง!” หญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวมองไปยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ย
“แขก?” เฮยเอ้อร์ย่อมรู้สึกงุนงง รีบหันไปมองทิศทางเดียวกัน แต่ก็ไม่เห็นอันใดเลยสักนิด ในใจจึงอดที่จะรู้สึกกังขาไม่ได้
แต่ครู่ต่อมาท้องฟ้าพลันมีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีขาวสองกลุ่มปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน กะพริบวาบๆ แล้วมาอยู่กลางอากาศใกล้เคียง
ความเร็วของมันน่าตกตะลึงยิ่ง!
“จานอาคมเฉียนคุน ตำหนักศิลามาร!” ยามแรกชายร่างใหญ่ยังไม่ได้สนใจ แต่รอจนลำแสงสีขาวมาอยู่ตรงหน้า และมองเห็นสิ่งมหึมาด้านในทั้งสอง กลับร้องอุทานออกมาเสียงหลง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
ด้านในลำแสงสีขาวคือตำหนักศิลาและจานหยกขนาดยักษ์ใบหนึ่ง!
เป่าฮวามองทั้งสองด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน แต่ใบหน้าก็มีสีหน้ากระจ่างชัดปรากฏขึ้น
ตำหนักศิลาและคนที่อยู่ในจานหยกย่อมพบการดำรงอยู่ของดอกไม้ยักษ์ในเวลาเดียวกัน และรีบหยุดสมบัติลงด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี จากนั้นเหนือทั้งสองสิ่งก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างคนสี่สายปรากฏขึ้นพร้อมกัน
นั่นก็คือร่างแยกของสี่ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ หยวนซาและเซวี่ยกวง พวกเขามองหญิงสาวกระโปรงสีขาวในดอกไม้ยักษ์ สีหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้
“พี่หญิงเป่าฮวา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า!” หลังจากที่หยวนซาหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างต่อเนื่อง ถึงได้พ่นคำพูดออกมาทีละคำๆ น้ำเสียงแข็งทื่อ
“หยวนซา ที่แท้ก็เป็นเจ้า คิดไม่ถึงว่า เจ้ากับข้าจะได้พบกันอีก และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสถานที่ในแดนวิญญาณ ดูแล้วการบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าจะเริ่มแล้ว ทว่าเรียกข้าว่าพี่หญิง ข้ากลับไม่กล้ารับไหว” เป่าฮวาฟื้นฟูสีหน้ากลับมาราบเรียบ และเอ่ยอย่างราบเรียบ
หยวนซาได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นซีดขาว ท่าทางเป็นใบ้หมดคำพูด
เมื่อร่างแยกทั้งสามของเซวี่ยกวงที่อยู่ด้านข้างจำฐานะของเป่าฮวาได้ กลับร้องอุทานว่าแย่แล้วอยู่ในใจ เมื่อสายตาของเป่าฮวากวาดมาที่เขาอย่างเย็นชา ใบหน้าทั้งสามก็อดที่จะเผยรอยยิ้มแหยๆ ออกมาไม่ได้ ร่างแยกตรงกลางที่เป็นผู้นำรีบเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“เซวี่ยกวง คารวะใต้เท้าเป่าฮวา!”
“หึๆ ฝีมือของเจ้าพัฒนาขึ้นแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนร่างแยกได้มากขนาดนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้างกายของข้ายังขาดคนรับใช้อยู่สองสามคน นับพวกเจ้าเข้าไปด้วยก็แล้วกัน” หญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวเลิกคิ้วดำขลับ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เซวี่ยกวงและร่างแยกทั้งสามได้ยิน ก็หน้าถอดสีเป็นไร้สีโลหิต
หลังจากที่พวกเขามองสบตากัน ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจอันใดสักอย่าง ไม่รอให้เป่าฮวาเอ่ยอันใดอีก ก็ผิวปากกลายเป็นไอสีดำสามสายพุ่งลงไปด้านล่าง
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทั้งสามจมหายเข้าไปในจานหยกพร้อมกัน
หลังจากที่จานอาคมเฉียนคุนส่งเสียงกังวานขึ้น ผิวก็มีไอสีดำขาวทะลักออกมา กลายเป็นลวดลายขนาดยักษ์พลิ้วไหว แล้วสลายหายไป
“จานอาคมเฉียนคุนลึกลับมาก แต่น่าเสียดายในเมื่อเจ้าไม่ใช่เจ้าของเดิมของสมบัติชิ้นนี้ ร่างเดิมก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ ยังคิดจะหนีไปต่อหน้าข้าอีก ไม่คิดว่าจะโชคดีเกินไปหน่อยหรือ?”
เป่าฮวามีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างเย็นชา มือข้างหนึ่งตะปบออกไปยังเบื้องบน
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
ดวงอาทิตย์ร้อนแรงเจ็ดดวงที่เดิมลอยอยู่บนที่สูงพลันขยายใหญ่ขึ้น และผิวของมันก็เริ่มบิดเบี้ยวเลือนราง เหนือเป่าฮวาและพวกสองสามคนพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์สีขาวขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางพันจั้งปรากฏขึ้น!
ผิวของดวงอาทิตย์สีขาวเจิดจ้าจนแสบตา ส่องแสงทั่วท้องฟ้า อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่แท้จริงถูกหญิงสาวดูดให้เข้ามาใกล้ในพริบตา
“เคล็ดวิชาอาทิตย์ลวงตา”
หยวนซาเห็นสถานการณ์นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะร้องอุทานออกมาไม่ได้ จากนั้นสีหน้าก็บัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
เป่าฮวามองหญิงสาวแวบหนึ่งอย่างเย็นชา ไม่ได้เอ่ยอันใด กลับใช้นิ้วชี้ๆ ไปที่ดวงอาทิตย์ยักษ์
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
ดวงอาทิตย์ยักษ์หมุนคว้าง เส้นไหมลำแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ทยอยกันทะลวงอากาศด้านล่าง รัศมีที่ทำการโจมตีราวกับห่อหุ้มทุกหนแห่งเอาไว้เพียงแค่กวาดตามอง
หยวนซาชูมือข้างหนึ่งขึ้น กระจกโบราณสีดำปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ กลายเป็นม่านลำแสงสีสันเรืองรอง ห่อหุ้มร่างกายของตนเองเอาไว้
แม้ว่าเส้นไหมลำแสงเหล่านั้นจะดูเป็นอมตะทำลายไม่ได้ แต่เมื่อโจมตีไปที่ม่านลำแสงนี้กลับกระเพื่อมแล้วถูกฉีกออกจนสลายหายไป ทว่าอาคมในมือของหญิงสาวผู้นี้ยังคงร่ายไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก
ส่วนห่างออกไปพันจั้งเศษ ชั่วพริบตาที่เส้นไหมลำแสงทะลวงผ่านกลางอากาศ เสียงระเบิดก็ดังออกมา!
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ชั่วขณะนั้นจานหยกยักษ์พลันซวนเซปรากฏขึ้น
รัศมีลำแสงรอบๆ เห็นสถานการณ์นี้ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว พุ่งไปราวกับห่าฝน
ชั่วพริบตานั้นจานหยกทั้งหมดล้วนถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพายุลำแสง และดูเหมือนจะถูกกลืนเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
ในจานหยกมีเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวของเซวี่ยกวงดังออกมา จานหยกหมุนคว้าง ไอสีดำขาวทะลักออกมา แล้วกลายเป็นสิ่งมหึมาอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะไม่อาจต้านทานการโจมตีของเส้นไหมลำแสงได้