A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1957 ธนูเทวะทำร้ายศัตรู
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1957 ธนูเทวะทำร้ายศัตรู
เป่าฮวาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่มือก็ตะปบไปทางจานหยกทันที
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบกลางอาทิตย์สีขาว คาดไม่ถึงว่าจะมีมือยักษ์ขนาดร้อยจั้งเศษยื่นออกมา กางนิ้วทั้งห้าออก เปลวเพลิงสีขาวลุกโชนบนมือของเขา แล้วตะปบไปทางจานหยกด้านล่าง
ในจานหยกมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของเซวี่ยกวงดังออกมาอีกครั้ง ลวดลายสีดำขาวสั่นเทาแล้วหยุดออกมาจากจานหยก ขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่าแล้วพุ่งไปหามือยักษ์ ส่วนจานหยกเองก็ส่งเสียงอึกทึกออกมา บรรยากาศรอบด้านบิดเบี้ยวเลือนราง แล้วเปล่งแสงสว่างวาบเคลื่อนกายหนีไปอีกครั้ง
เมื่อลำแสงสีดำขาวและเปลวเพลิงสีขาวของมือยักษ์สัมผัสกัน ลำแสงที่ห่อหุ้มร่างก็สั่นเทาอย่างรุนแรง นิ้วทั้งห้าประกบเข้าหากัน ส่งเสียงอึกทึกแล้วระเบิดออก
เปลวเพลิงสีขาวหมุนวน ชั่วพริบตาเศษลำแสงสีดำขาวก็หายไป จากนั้นก็กระโจนลงมา ห่อหุ้มจานหยกด้านล่างไว้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
แม้ว่าร่างแยกของเซวี่ยกวงทั้งสามในจานหยกจะตกตะลึง ส่งเสียงร้องขอความเมตตาออกมาพร้อมกัน แต่ภายใต้เปลวเพลิงสีขาวที่ลุกโชนจานหยก แทบจะในพริบตาก็เปลี่ยนจากสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกเป็นสีแดงเพลิง
แม้กระทั่งนิ้วทั้งห้าของฝ่ามือใหญ่ก็ตะปบไปบนนั้นอย่างแรง มังกรเพลิงสีขาวห้าตัวพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว แค่หมุนวนจานหยกรอบหนึ่ง ก็ทำให้สมบัติชิ้นนี้เริ่มหลอมละลายเป็นชั้นๆ
“ไม่”
เสียงร้องด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากจานหยก จากนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ หอคอยขนาดสองสามชุ่นบินอกมาจากจาน พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นภาพลวงตาเจ็ดสีสูงร้อยจั้งเศษ กั้นมังกรเพลิงห้าตัวเอาไว้
แม้ว่ามังกรเพลิงห้าตัวจะสะบัดหัวสะบัดหาง ปากพ่นเปลวเพลิงสีขาวออกมาไม่หยุด แต่กลับทำอันใดเงาลวงตาหอคอยยักษ์เจ็ดสีไม่ได้
ไม่ใช่แค่นั้น ผิวของเงาลวงตายักษ์มีรัศมีลำแสงเจ็ดสีหมุนวนอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะดูดเปลวเพลิงสีขาวจำนวนไม่น้อยเข้าไปข้างใน ทำให้ตัวมันขยายใหญ่ขึ้นสองสามส่วน
แต่ในยามนั้นเองอาทิตย์ยักษ์ที่ถูกเป่าฮวากระตุ้น พลันร่อนลงมาราวกับภูเขาขนาดยักษ์
แม้ว่าเงาหอคอยเจ็ดสีจะลึกลับมาก แต่เมื่ออยู่ในมือของร่างแยกเซวี่ยกวงทั้งสามกลับกระตุ้นอานุภาพได้ไม่ถึงสิบส่วน ภายใต้แรงกดของอาทิตย์ยักษ์ ก็ทำได้เพียงยืนหยัดได้เพียงไม่กี่วินาที แล้วปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ดวงลำแสงเจ็ดสีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วรวมตัวกัน แล้วกลายเป็นหอคอยสูงสองสามชุ่นดังเดิมอีกครั้ง พลางปรากฏตัวที่เดิมพร้อมกับลำแสงที่หม่นแสงลง
ภายใต้การร่อนลงมาของอาทิตย์สีขาวยักษ์ จานยักษ์ที่อยู่ด้านล่างไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกดวงอาทิตย์ยักษ์กลืนกินไป
ท่ามกลางลำแสงสีขาวที่เจิดจ้าจนแสบตา จานหยกหลอมละลายอีกครั้ง แต่ชั่วพริบตาที่กำลังจะหลอมเหลวจนหมด ลำแสงสีโลหิตสามสายก็พุ่งออกมาจากจานหยก แต่เมื่อถูกเปลวเพลิงสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ ชั่วขณะนั้นก็ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาแล้วกลายเป็นไอสีดำสามกลุ่มถูกเปลวเพลิงสีขาวกลืนกินไปจนเกลี้ยง
ส่วนลำแสงสีโลหิตสามสายก็คือร่างแยกทั้งสามของเซวี่ยกวง!
ร่างแยกทั้งสามทุกตนล้วนมีอิทธิฤทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเป่าฮวาผู้นี้กลับเห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้
แน่นอนว่าประการแรกเป็นเพราะทั้งสามเป็นร่างแยกส่วนเป่าฮวาเป็นร่างจริง ประการที่สองเดิมอิทธิฤทธิ์อาทิตย์ลวงตาก็มีผลในการควบคุมเคล็ดวิชามารส่วนใหญ่
มิเช่นนั้นแม้ว่าเป่าฮวาจะเคยมีชื่อเสียงเลื่องลือแดนมาร แต่ภายใต้สถานการณ์ที่พลังยุทธ์ลดลงในยามนี้ย่อมไม่อาจสังหารร่างแยกเซวี่ยกวงทั้งสามที่มีสมบัติล้ำค่าคุ้มครองร่างได้อย่างง่ายดาย
และแทบจะในเวลาเดียวกันที่ร่างแยกของเซวี่ยกวงเพลี่ยงพล้ำ ในหอคอยยักษ์เผ่ามารบริเวณรอบของเมืองเทวะสวรรค์ ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิตอีกคนหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ศิลาตรงใจกลาง ฟังจอมมารระดับผสานอินทรีย์สองสามคนอธิบายผลงานการกวาดล้างขุมอำนาจเผ่ามนุษย์ของกองทัพมารในบริเวณรอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้เขตใหญ่ของเผ่ามารไม่เพียงจะกวาดล้างขุมอำนาจใหญ่รอบๆ เมืองเทวะสวรรค์ไปได้ แม้แต่ขุมอำนาจเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในสำนักตระกูลต่างๆ ตามที่ลับก็ถูกกำจัดไปเจ็ดแปดส่วน และเริ่มวางแผนว่าจะโอบล้อมเมืองเทวะสวรรค์อย่างไร
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิตฟังอย่างตั้งใจ และบางครั้งก็พยักหน้า ส่งสัญญาณว่าเห็นด้วย ฉับพลันนั้นก็ยืนขึ้นด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้งออกมา
“เป็นไปไม่ได้ พวกเขาทั้งสามร่วมมือกัน จะเกิดเรื่องได้อย่างไร!”
จอมมารเผ่ามารอื่นๆ เห็นชายหนุ่มชุดคลุมสีโลหิตมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว ย่อมตกใจจนสะดุ้งโหยง ยามนั้นก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
“ใต้เท้าเซวี่ยกวงเกิดเรื่องอันใดกันแน่ เหตุใดถึงทำให้ใต้เท้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวเพียงนี้?” ชายชราเผ่ามารที่มีฐานะไม่ต่ำต้อย ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่เป็นอันใด ทั้งสามคนถูกข้าลงผนึกจิตสัมผัสเอาไว้ เรื่องที่มอบหมายให้พวกเขาทำย่อมถูกทำลายแล้ว ทว่าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปอีก” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมโลหิตขบคิดอย่างรวดเร็ว สีหน้าโกรธเกรี้ยวมลายหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติพลางเอ่ย
เมื่อเห็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิตกล่าวเช่นนี้ แม้ว่าจอมมารตนอื่นๆ จะยังรู้สึกลังเล แต่ย่อมไม่กล้าซักถามอันใดให้ละเอียด จึงทำได้เพียงกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง แล้วอธิบายหัวข้อบทสนทนาเมื่อครู่ต่อ
ส่วนเวลาหลังจากนั้นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิตก็มีสีหน้าราบเรียบ ราวกับการระเบิดความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่เป็นแค่การเสียอาการเท่านั้น
……
ในส่วนลึกของทะเลสาบสีโลหิตในแดนมารโบราณ พลันมีเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
เสียงกรีดร้องนั้นแสบแก้วหู จนทำให้ผิวน้ำในบริเวณรอบสั่นกระเพื่อมไม่หยุด แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา เสียงกรีดร้องก็หยุดลง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก!
……
แดนวิญญาณ ชั่วพริบตาที่หยวนซาร่อนลงมาจากดวงอาทิตย์ยักษ์ กระจกโบราณสีดำกลายเป็นม่านลำแสงแวววาว ชั่วขณะนั้นก็ปริแตกออกเช่นกันอย่างไม่อาจประคับประคองได้
เปลวเพลิงสีขาวที่แผ่ออกมาจากอาทิตย์ยักษ์ ก็ม้วนออกมาเช่นกันอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
หยวนซาหน้าเปลี่ยนสีเป็นซีดขาว และไม่อาจทนได้อีกพลางเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือ
ภายในตำหนักหินด้านล่าง พลันมีลำแสงสีดำสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งพุ่งออกมา พอรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหยวนซา และยกแขนเรียวชูขึ้นกลางอากาศ
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ไข่มุกทรงกลมสีทองขนาดเท่ากำปั้นพลันบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป จมหายเข้าไปในดวงอาทิตย์ยักษ์อย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเสียงปริแตกก็ดังสนั่นขึ้น รัศมีลำแสงสีทองระเบิดออกท่ามกลางดวงอาทิตย์ยักษ์ ไม่รู้ว่ารัศมีสีทองนี้มีอานุภาพอันใดแฝงอยู่ ชั่วพริบตาที่ระเบิดออกก็ระเบิดดวงอาทิตย์ยักษ์จนกลายเป็นรูที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้ง
คิดดูแล้วสำหรับดวงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขา ย่อมไม่เห็นค่าอันใดของรูนี้ แต่ฉับพลันนั้นเงาร่างคนสีดำกลับหมุนคว้าง กลายเป็นลำแสงสีดำห่อหุ้มหยวนซาเอาไว้ข้างใน และกลายเป็นสายรุ้งจมหายเข้าไปในรู
“ลิ่วจี๋!” เป่าฮวาที่เดิมมีสีหน้าราบเรียบ ชั่วพริบตาที่เงาร่างคนสีดำปรากฏขึ้น รูม่านตาก็หดเล็กลง ปากบางส่งเสียงเย็นชาออกมา จากนั้นสองมือก็ตะปบไปด้านล่างพร้อมกัน
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ดอกไม้ยักษ์ใต้ฝ่าเท้ามีกลีบสองกลีบร่อนลงมาแล้วพุ่งไปที่ทั้งสองมือ
ผลคือลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลีบหนึ่งกลายเป็นคันธนูยักษ์สีเขียวมรกต อีกกลีบหนึ่งมีลำแสงสีขาวเจิดจ้า แล้วกลายเป็นคันธนูยาวสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่ง
เป่าฮวาดูเหมือนจะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า แต่สองมือแค่ดึงออกจากกัน ก็ยิงธนูยาสีขาวออกมาโดยไม่แม้แต่จะเล็ง
เมื่อลูกธนูยาวหลุดออกจากมือ เปลวเพลิงสีขาวก็กลายเป็นลำแสงแวววาวสลายหายไป
ยามนี้เงาร่างคนในลำแสงสีดำเพิ่งจะห่อหุ้มหยวนซาเปล่งแสงสว่างวาบออกมาจากรูนั้น ก็ได้ยินเสียงเพรียกดังขึ้นที่ข้างหู ทันใดนั้นก็ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” เสียงหลง จากนั้นลำแสงสีฟ้าพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ในเวลาเดียวกันก็โล่ขนาดเล็กแวววาวแปดโล่ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน
โล่ทุกใบล้วนมีสีฟ้าอ่อน ราวกับว่าสร้างขึ้นจากผลึกน้ำแข็ง และชั่วพริบตาก็ต้านทานอยู่ด้านหน้าเงาร่างคนสีดำเป็นชั้นๆ
เสียงกรีดร้องเสียดแก้วหูพลันหยุดลง!
ลำแสงแวววาวสีขาวพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าโล่ทั้งแปด และเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป
ครู่ต่อมาเสียงเพรียกยาวๆ ก็ดังมา โล่ทั้งแปดระเบิดออกพร้อมกัน
เงาร่างคนในลำแสงสีดำพลันซวนเซ ตรงกลางอกมีรูโลหิตขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้น และส่งเสียงดัง “ปัง” เปลวเพลิงสีขาวระเบิดออกมาจากรูโลหิต ห่อหุ้มเงาร่างสีดำเอาไว้พลางลุกโชน
ยามนี้ถึงได้มองเห็นใบหน้าของเงาสีดำชัดเจน คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นสวมชุดเกราะสีดำขลับใบหน้าสวมหน้ากากบดบังไว้เช่นกัน เผยแค่ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง เผยท่าทีลึกลับออกมา
แม้ว่านักรบหญิงผู้นี้จะมีเปลวเพลิงสีขาวห่อหุ้มอยู่ แต่แววตาไม่มีความลนลานเลยสักนิด กลับอ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา กลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
ทุกแห่งที่หมอกโลหิตกวาดผ่านไป เปลวเพลิงสีขาวที่ดูเหมือนร้ายกาจ ก็หายวับไปอย่างน่าตกตะลึง พริบตานั้นก็ถูกทำลายจนไม่เหลือ
แต่นักรบสตรีกลับไม่สนใจบาดแผลของตนเองเลยสักนิด แค่ใช้มือข้างหนึ่งร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีดำเจิดจ้าขึ้น ห่อหุ้มหยวนซาและพุ่งไปยังจุดที่ไกลออกไปอีกครั้ง
ความเร็วแค่ชั่วพริบตาลำแสงสีดำก็มาอยู่ที่ปลายฟ้า และพลิ้วไหวพลางสลายหายไป
ยามนี้เสียงสดใสของนักรบสตรีถึงได้ดังขึ้น
“เป่าฮวา จากพลังของร่างเดิมเจ้าทำร้ายร่างแยกสองสามตน จะนับว่ามีฝีมืออันใด หากกล้าจริง ก็รอให้ข้าลงมาจุติ แล้วค่อยมาตัดสินกับเจ้า!”
เป่าฮวาได้ยินคำนี้ก็มีสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แต่แววตาเย็นชากลับเพิ่มขึ้นสามส่วน!
กลางอากาศภายในตำหนักหินพลันมีรัศมีลำแสงห้าสีหมุนวน อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันที่ด้านล่างกลายเป็นเขตอาคมขนาดยักษ์
ตำหนักหินตรงใจกลางของเขตอาคม พลันรางเลือนแล้วถูกส่งไป
“หึ พวกนางไปได้ แต่พวกเจ้าสองคนต้องอยู่ก่อน” เป่าฮวาร้องตะโกนทันใด
คันธนูในมือหายไปในเวลาเดียวกัน และใช้นิ้วชี้ไปกลางอากาศ!
แต่ดวงอาทิตย์ยักษ์กลางอากาศพลันกลายเป็นม่านเพลิงสีขาว ก็บดบังท้องฟ้าเอาไว้
จากนี้ด้านล่างตำหนักหินพลันมีรัศมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ดอกไม้ยักษ์สีชมพูอีกดอกหนึ่งปรากฏขึ้น และมีกระบี่ไอสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกมาจากบริเวณรอบ แล้วสับลงมาที่เขตอาคมลำแสงยักษ์
ชั่วพริบตาที่มุมของเขตอาคมลำแสงปริแตก ตำหนักหินที่แต่เดิมรางเลือนพลันพลิ้วไหวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง
เสียงคำรามสองเสียงดังออกมาจากตำหนักหิน เสียงหนึ่งสั่นเทาแล้วแยกออกเป็นสองส่วน และหมุนวนกลายเป็นมนุษย์หินยักษ์สีเทาขาวสองตัว
มนุษย์หินยักษ์ทุบอกที่เหมือนกำแพงทั้งสี่ ร้องคำรามใส่เป่าฮวาและชายร่างใหญ่ไม่หยุด แต่ภายใต้ความหวาดกลัวของทั้งสอง ก็ไม่กล้ากระโจนเข้ามาจริงๆ