A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1960 โจมตีเมือง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1960 โจมตีเมือง
เมื่อหานลี่พยักหน้าอย่างเงียบๆ เชอฉีกงชูแขนขึ้นทันที ลำแสงสีขาวบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งไปฝั่งตรงข้าม
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก ดูดลำแสงสีขาวเข้ามาอยู่ในมือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เป็นคัมภีร์ผลึกสีขาวบริสุทธิ์ม้วนหนึ่ง
“ข้าน้อยจะเรียนรู้คาถานี้ก่อน หากได้ผลอย่างไรจะรีบมาพบกับทั้งสองท่าน ขอตัวก่อน!” หานลี่ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบคัมภีร์หยก แค่ประสานกำปั้นแล้วกล่าวลา
จากนั้นผิวของเขาพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายกลายเป็นดวงลำแสงสลายหายไป
“พี่เชอ เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนั้นจะรักษาสัญญาหรือไม่?” เมื่อหานลี่ออกไปจากมิติเวลา ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามชายชรา
“เคล็ดวิชาการหลอมไอหุ้นตุ้น นอกจากพวกเราและเซวี่ยกวงแล้ว ใต้หล้านี้ก็มีคนรู้อยู่แค่ไม่กี่คน หากเขาอยากหลอมเจ้าสิ่งนี้เอามาใช้ ย่อมไม่มีทางทำลายสัญญา แม้ว่าจะต้องจ่ายเป็นไอหุ้นตุ้น ก็ยังดีกว่ามีของแต่ไม่อาจนำมาใช้การได้เป็นร้อยเท่า และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เป็นยามที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ เขาย่อมไม่อาจละทิ้งวิธีการเพิ่มพลังยุทธ์ในทันทีไปได้” เชอฉีกงเอ่ยอย่างเชื่อมั่น
“หวังว่าจะเป็นดังที่พี่เชอพูด หึๆ ขอแค่มีไอหุ้นตุ้น วันเวลาที่เจ้ากับข้าก็จะออกไปได้ก็เหลืออีกไม่นานแล้ว ถึงยามนั้นพวกเรามาร่วมมือกันจับเป็นเจ้าเด็กนี้ แล้วเอาไอหุ้นตุ้นที่หลอมอยู่ในร่างของเขาอีกครึ่งหนึ่งมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้เขาย่อมไม่อาจหลอมไอหุ้นตุ้นได้จริงๆ” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำดวงตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้ต่ำต้อยคนหนึ่งคิดจะมีสิ่งนี้ แม้ว่าเจ้าเด็กนั้นจะชาญฉลาดแค่ไหน ก็คงคิดไม่ถึงว่าเจ้ากับข้าจะทลายเขตอาคมต้องห้ามทั้งหมดของป้อมปราการมารแล้ว ยามนี้ขาดแค่ไอหุ้นตุ้นเท่านั้น อีกไม่นานขอแค่ให้เวลาพวกเราหลอมไอหุ้นตุ้นสักครึ่งปี ก็เพียงพอจะออกจากป้อมปราการมารได้แล้ว หึ ถึงยามนั้นเจ้าเด็กเซวี่ยกวงนั้น…” เชอฉีกงยืดคอขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
“ฮ่าๆ หวังว่าวันนั้นจะมาถึงไวๆ!” เฟิงเซวี่ยเองก็ฉีกยิ้มอย่างเคร่งขรึม
แทบจะในเวลาเดียวกัน ด้านนอกป้อมปราการมาร หานลี่ที่เก็บเสี้ยวจิตสัมผัสมาตั้งนานแล้ว ทารกวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับเข้าสู่กายเนื้อ
เปลือกตากระตุก หานลี่ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ คัมภีร์หยกสีขาวปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ
เขาขยับนิ้วโดยไม่พูดจา คัมภีร์หยกกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งดีดออกไป แนบชิดอยู่กับหน้าผากของเขา
ชั่วขณะนั้นพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็บรรจุเข้าไปในคัมภีร์หยก กวาดผ่านเนื้อหาด้านในทั้งหมด
ด้านในเป็นคาถาท่อนหนึ่งจริงๆ มีประมาณพันตัวอักษร ทุกตัวลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความลึกลับอันใดสักอย่าง
หานลี่เรียนรู้คาถานี้ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
คาถาที่ไม่ได้มากมายอันใด คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาเข้าสู่ภวังค์สมาธิไปสองวันสองคืนเต็มๆ
ยามเช้าตรู่วันที่สอง ในที่สุดหานลี่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเก็บจิตสัมผัสกลับไป คัมภีร์หยกที่เดิมแปะอยู่ตรงหน้าผากเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นผงแล้วสลายหายไปกลางอากาศ
คาถาในบันทึกย่อมถูกเขาจดจำจนขึ้นใจ ไม่ลืมแม้แต่ตัวเดียว
“ดูท่าคาถาจะเป็นความจริง! คิดดูแล้วแม้ว่ามารเฒ่าทั้งสองจะคิดจะทำอันใด ก็คงไม่ทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น” หานลี่เอ่ยพึมพำสองประโยค แล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“ไม่ได้ หลังจากที่ได้วิธีหลอมมา ต้องโยนป้อมปราการมารกลับไปในแดนมารถึงจะถูก ดูแล้วคงรอให้ถึงยามที่เข้าไปในแดนมารพร้อมกับตัวประหลาดเฒ่าตระกูลหล่งไม่ได้แล้ว ต้องหาจุดเชื่อมโยงกับทั้งสองแดน โยนมันเข้าไปข้างใน” หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส เพื่อความปลอดภัย ความคิดเดิมดูเหมือนจะต้องเปลี่ยนแปลงไป
หลังจากที่เขาตัดสินใจอีกครั้ง ก็สะบัดแขนเสื้อ ไอหุ้นตุ้นที่บรรจุอยู่ในขวดหยกสีฟ้าบินออกมา ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็ตบไปที่หน้าผากของตนเองหนึ่งครั้ง…
……
ในยามที่หานลี่ซ่อนตัวอยู่ในเผ่ามนุษย์แถวๆ แดนรกร้าง ค่อยๆ หลอมคาถาที่ได้มาจากเชอฉีกงและพวกทั้งสองอย่างช้าๆ เมืองเทวะสวรรค์เผ่ามนุษย์ก็ถูกกองทัพเผ่ามารหลายสิบล้านคนล้อมเอาไว้จนแม้แต่สายธารก็ไม่อาจทะลักออกมาได้
เมื่อกำแพงเมืองต่างๆ ของเมืองเทวะสวรรค์พังทลายเป็นรู ป้อมปราการสำคัญเผ่ามารสูงสองสามร้อยจั้งพลันถูกถอนลอยขึ้นมาเต็มไปหมด
ภายในป้อมปราการสำคัญเหล่านั้น มีเมฆมารหมุนวน ยอดฝีมือเผ่ามารจำนวนมากสวมชุดเกราะมารสีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือหอคอยยักษ์ ถูกรถเหาะสำเภาศึกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ขนาดเล็กกว่าสองสามร้อยเท่าล้อมเอาไว้
และระหว่างป้อมปราการสำคัญต่างๆ ภูเขาหินขนาดน้อยใหญ่ก็มีหลุมปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เงาร่างเผ่ามารระดับต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทับซ้อนกัน จนมองเห็นได้รางๆ
เผ่ามารหนึ่งในนั้นยัดเข้าไปบนแท่นขนาดยักษ์ตรงยอดป้อมปราการ เผ่ามารระดับสูงร้อยกว่าตนกำลังมองมาทางเมืองเทวะสวรรค์ด้วยสีหน้าหลากหลาย
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิตที่เป็นผู้นำกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นชา แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด กลับดูเหมือนว่าจะทำอย่างส่งๆ สองส่วน
ส่วนเผ่ามารระดับสูงกลุ่มอื่นๆ กลับกำลังปรึกษาอันใดกันอยู่ด้านข้างด้วยเสียงแผ่วเบา
แต่หลังจากผ่านไปแค่ชั่วครู่ ชายหนุ่มสวมชุดคลุมโลหิตก็ชักสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เวลาพอสมควรแล้ว เริ่มโจมตีเมืองเถิด หวังว่าสองสามปีหลังจากนี้ ข้าจะย่างเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์อย่างเป็นทางการ!”
“พวกเราต้องพยายามช่วยสนับสนุนใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มที่!” เผ่ามารอื่นๆ ได้ยินคำนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ปากก็เอ่ยออกมาพร้อมกัน
ผู้คุ้มกันสวมชุดเกราะสีแดงคนหนึ่งที่เดิมยืนเตรียมการอยู่กับชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิต พลันโยนสิ่งที่อยู่ในมือออกไปทันใด
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากบินมาได้หมื่นจั้งเศษ ก็ส่งเสียงระเบิดอึกทึกดังออกมา
อักขระเงินเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งปรากฏออกมา และเปล่งแสงสีเงินที่เจิดจ้าจนแสบตาออกมา
ราวกับมีเสียงตอบรับกับอักขระเงินยักษ์ พวกที่ขนาดเล็กน้อยพลันส่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมายังคงพุ่งไปยังจุดต่างๆ ของเมืองเทวะสวรรค์ตามลำดับ
ครู่ต่อมาไม่ว่าหอคอยยักษ์ รถเหาะของเผ่ามารที่อยู่กลางอากาศ หรือว่ากองทัพอสูรมารที่อยู่บนพื้นดิน ต่างมีท่าทีพร้อมรบ
เขตอาคมลำแสงยักษ์ต่างๆ ในป้อมปราการพลันเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นดวงแสงสีดำขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อมจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นเหนือป้อมปราการ จากนั้นก็ส่งเสียงอึกทึกม้วนวนไปทางเมืองเทวสวรรค์
ทุกแห่งที่ดวงแสงขนาดยักษ์เหล่านี้กวาดผ่านไป บรรยากาศพลันบิดเบี้ยว ท่าทางน่าตกตะลึงยิ่ง!
ส่วนหอคอยมาร รถเหาะที่อยู่กลางไอมารพลันทำการโจมตีพร้อมกัน เสาลำแสงหนาๆ ทยอยกันพุ่งออกมาจากเมฆมารราวกับพายุฝนลำแสงแหวกผ่านอากาศ
ไม่รอให้การโจมตีเหล่านี้สัมผัสกับเขตอาคมต้องห้ามป้องกันตัว เสียงหวีดร้องพลันดังขึ้นกลางเมืองเทวะสวรรค์ เขตอาคมลำแสงเรียงแถวกันปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเมือง
หมอกห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบ เคล็ดวิชาการโจมตีต่างๆ อย่างดวงเพลิง ใบมีดพายุ กรวยน้ำแข็งพลันทะลักออกมาราวกับสายธาร กลายเป็นคลื่นลำแสงโจมตีไปที่การโจมตีของเผ่ามารที่เข้ามาปะทะกัน
พริบตานั้นเสียงดังสนั่นราวกับแผ่นดินแยกแตกออกก็ส่งเสียงดังออกมาท่ามกลางม่านลำแสงป้องกันเมือง เกิดเป็นระเบิดลำแสงที่แข็งแกร่ง แทบจะสว่างจ้าท้องฟ้าที่เดิมเป็นสีดำสนิทไปกว่าครึ่ง
ภายใต้ลำแสงที่เปล่งแสงเจิดจ้า พลันมองเห็นทางฝั่งมารได้รางๆ ร่างแยกอสูรมารราวกับงูเหลือมยักษ์เป็นฝูงๆ จำนวนสองสามร้อยตนกำลังพุ่งเข้ามายังเมืองเทวะสวรรค์
อสูรมารเหล่านั้นบ้างก็วิ่งพล่านอยู่บนพื้น บ้างก็ลื่นไถลอยู่กลางอากาศต่ำๆ และบางจุดที่สูงกว่านั้นก็กำลังกระพือปีกไปมาไม่หยุด
ส่วนรถเหาะสำเภายักษ์กลุ่มนั้น ก็ส่งเสียงอึกทึกออกมาแล้วเข้ามาประชิดด้านหน้า
ขณะที่สิ่งมหึมาของเผ่ามารบินเข้ามาประชิดนั้น พลันมีนักรบชุดเกราะเผ่ามารสวมเกราะสงครามเป็นฝูงๆ ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บ้างเท้าก็เหยียบอยู่บนเมฆามาร บ้างก็ควบคุมมารอสูร ทุกตนล้วนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร!
ณ จุดนี้เผ่ามารพลันเริ่มเปิดฉากโจมตีเมืองเทวะสวรรค์อย่างเป็นทางการแล้ว
……
ท่ามกลางป่าลึกสีดำสนิท หญิงสาวหน้าตางดงามผิวขาวราวกับหิมะสวมชุดเกราะมารสีดำคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง กำลังหลับตาปรับลมหายใจ
ด้านข้างนางหญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นสวมชุดชาววังสีฟ้าสีหน้าแต้มไปด้วยความกังวลใจกำลังเฝ้าอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีนามว่าหยวนซาผู้นั้น!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หญิงสาวชุดเกราะสีดำพลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
“พี่หญิงลิ่วจี๋ เป็นอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บครั้งที่แล้วท” หยวนซามีสีหน้ายินดี แล้วเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
“อาการบาดเจ็บ หากเปลวเที่ยงแท้อาทิตย์คล้อยของลิ่วจี๋กำจัดได้ง่ายจริงๆ ปีนั้นคงไม่อาจมีชื่อเสียงไปทั่วแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แม้ว่าจะกินยาลูกกลอนเข้าไป แต่ก็แค่ระงับอาการบาดเจ็บเอาไว้ได้เท่านั้น นอกเสียจากว่ากลับไปกักตนร้อยปี มิเช่นนั้นก็อย่าคิดจะขจัดอาการบาดเจ็บเลย ทว่าแต่ก็ดูออกว่าพลังปราณของลิ่วจี๋ยังไม่ฟื้นกลับมาเช่นกัน อาการบาดเจ็บเก่ารักษาได้ยาก มิเช่นนั้นร่างแยกแค่ตนหนึ่งจะหนีรอดจากอาทิตย์คล้อยได้อย่างไร” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างเดิมไม่อาจลงมาจุติได้ หากสู้กันตามลำพัง พวกเราก็ยังไม่อาจต่อสู้ต่อหน้าได้” หยวนซาได้ยินก็มีสีหน้าสลับซับซ้อน สุดท้ายก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ ขณะเอ่ย
“เจ้าเองก็พูดว่าในสถานการณ์ที่สู้กันตามลำพัง ยามนี้เป่าฮวาไม่ใช่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเรามีกองทัพอยู่ในมือ เหตุใดต้องต่อสู้กันตามลำพัง ทว่าหลังจากที่เจ้ากลับไปคงไม่อาจอยู่ตามลำพังได้ง่ายๆ มีเพียงต้องอยู่ในกองทัพ ถึงจะปลอดภัย” ลิ่วจี๋แค่นเสียงต่ำๆ เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย
“ขอบพระคุณพี่หญิงที่เตือน ทว่าจากนิสัยของเป่าฮวา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หาปัญหามาให้พวกเรา ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าจะสังหารร่างแยกของพวกเราไป ก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือข้ามากนัก นางรู้อยู่แล้วตั้งแต่ที่บวงสรวงศักดิ์สิทธิ์เริ่มขึ้น ยังกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ กว่าครึ่งคงมีจุดประสงค์อื่น” หลังจากที่หยวนซาขบคิดอย่างละเอียด ก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“มีจุดประสงค์อื่น! จะมีจุดประสงค์อันใดอีก? เป้าหมายของนางในยามนี้น่าจะเป็นฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ฟื้นฟูพลังปราณสินะ” หญิงสาวเกราะสีดำหัวเราะอย่างเย็นชา
“ฟื้นฟูพลังปราณ! นั่นถึงจะถูก ร่างเดิมของเป่าฮวาเองก็ปรมาจารย์ด้านการทำนายที่มีชื่อเสียงของแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา หรือว่าเพราะเรื่องนี้ เรื่องอื่นก็น่าจะไม่อาจทำให้เสี่ยงอันตรายได้” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำพลันตกตะลึง เผยสีหน้ามีแผนการออกมา
“อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง แต่เรื่องนี้ค่อยปรึกษากันอย่างละเอียดก็ได้ ยามนี้ข้าจะพาพี่หญิงกลับไปยังเผ่ามนุษย์ก่อน ขอแค่รวมร่างกับร่างแยกอีกร่างของพี่หญิง ย่อมไม่มีอันใดต้องกังวล” หยวนซาพยักหน้า แล้วเอ่ยชักจูงอีกครั้ง