A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1961 เข้าไปในเผ่าพฤกษาอีกครั้ง
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1961 เข้าไปในเผ่าพฤกษาอีกครั้ง
“ครั้งนี้ข้าปิดบังหูตาของตัวประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ มายังแดนนี้ได้ ไม่ใช่เพื่อซุ่มโจมตีไม่ยอมออกมา แต่เพื่อผลหาประโยชน์ให้พวกเรา ตามข้อตกลงกับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรก ไม่ว่าผู้ใดพิชิตดินแดนเผ่ามนุษย์ได้ ยามที่สร้างที่มั่นของเผ่าตนในแดนวิญญาณนั้นก็ต้องมีอำนาจจำกัดครึ่งหนึ่งของพื้นที่ ผลประโยชน์มากมายเพียงนี้ ข้าย่อมต้องหาผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้กับพวกเรา!” หญิงสาวชุดเกราะสีดำเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เช่นนั้นพี่หญิงหมายความว่าอย่างไร?” หยวนซาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วดำขลับ
“หลังจากที่ข้ากลับไปจะกินยาลูกกลอนผนึกมังกรกระตุ้นพลังของร่างแยกให้มันฟื้นฟูพลังปราณได้ชั่วคราวแปดเก้าส่วน เช่นนี้ขอแค่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินไป ก็ยังคงลงมืออย่างเงียบๆ ได้” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำขบคิดเล็กน้อยขณะเอ่ย
“ยาลูกกลอนผนึกมังกร! พี่หญิงไม่ได้ต้องกักตัวพันปีถึงจะรักษาอาการบาดเจ็บได้หรือ?” หยวนซาดูเหมือนจะตกตะลึง
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ขอแค่ได้ผลประโยชน์เพียงพอ ให้ร่างแยกกักตนพันปีจะนับเป็นอันใด พ้นช่วงเวลานี้ไป ก็ต้องให้น้องหญิงดูแลแล้ว เพื่อไม่ให้ร่างแยกเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำเอ่ยอย่างแช่มช้า
“เรื่องนี้โปรดวางใจ ครั้งนี้ที่ข้าลงมาก็เพราะจะช่วยพี่หญิง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาพบกับเป่าฮวา คิดดูแล้วความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเรา คงทำให้ผู้คนทอดถอนใจจริงๆ!” หยวนซาหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
“หึ ในเมื่อเป่าฮวาเลือกคนล่ะทางกับพวกเรา เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์อันใดแล้ว หลักการที่ว่าผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้คือโจร เดิมก็เป็นหลักการของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราอยู่แล้ว หากวันนั้นพวกเราล้มเหลว จุดจบคงอ้างว้างกว่าเป่าฮวาในวันนี้มากแน่!” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำแค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ก็อาจจะกระมัง แต่ถึงอย่างไรเสียเป่าฮวาก็เป็นหนึ่งในสามบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่มของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา หากจะกำจัดให้สิ้นซากคงเป็นไปไม่ได้แม้ว่าคนจำนวนไม่น้อยจะทำเป็นมองไม่ออกแต่ก็รู้สึกเคารพนับถือนาง” หยวนซาถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ย
“หนึ่งในบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่มผลกระทบย่อมไม่ใช่สิ่งที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปจะเทียบเทียมได้ แต่ต่อให้มีผลกระทบขนาดไหนก็คงไม่ถึงกับเปล่าประโยชน์ สามหมื่นปี สี่หมื่นปี บางทีก็อาจจะมีคนเคารพนางแต่ถ้าแสนปีล้านปีผ่านไปผลกระทบย่อมหายไปแล้ว ทว่าก็ไม่อาจปล่อยให้นางเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ได้ ยามที่ร่างเดิมลงมาจุติได้ข้าจะรวบรวมกำลังคนจัดการนางโดยเฉพาะถึงยามนั้นแม้ว่าจะไม่อาจสังหารนางทิ้งได้แต่ก็ไม่อนุญาตให้นางทำลายเรื่องดีๆ ของพวกเราแน่!” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“อือ พี่หญิงตัดสินใจแล้วน้องหญิงก็ไม่มีความเห็น ยามนี้ในเมื่อพี่หญิงควบคุมอาการบาดเจ็บได้แล้วพวกเราก็กลับเผ่ามนุษย์กันเถิด ยามที่ข้าออกเดินทางเขตอาคมเมืองวิญญาณสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ถูกทำลายไปพอสมควรแล้ว บางทีพอกลับไปอาจจะถูกยึดเมืองแล้ว” หยวนซาพยักหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาขณะเอ่ย
“ร่างแยกของข้าอีกร่างที่กำลังนำทัพ คือพลังที่ยอดเยี่ยมของข้าจัดอยู่ในสามอันดับแรกของกองทัพที่ลงมาจุติยังแดนวิญญาณหากไม่อาจยึดเมืองหลักของเผ่ามนุษย์ได้ก็แปลกแล้ว!” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำเอ่ยอย่างราบเรียบและไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ
“นั่นมันก็ใช่ มิเช่นนั้นร่างแยกของพี่หญิงก็คงไม่มีแรงส่งข้าออกมาทำลายการเคลื่อนไหวของเผ่ามนุษย์” หยวนซาฉีกยิ้ม
“ไปกันเถิด หวังว่าเรื่องจะเป็นอย่างที่พวกเราคิด!” หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำเงยหน้ามองท้องฟ้าแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“น่าเสียดาย ครั้งนี้เสียเปรียบให้กับเจ้าเด็กแซ่หาน ปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้” หยวนซานึกถึงเป้าหมายหลักที่ต้องไล่ล่าก็เอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม
หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดกลับอ้าปากพ่นแสงสีแดงออกมา
ท่ามกลางลำแสงสีแดงคือรถเหาะสีแดงโปร่งใสคันหนึ่งขนาดสองสามชุ่น วิจิตรงดงามมากภายใต้การกระตุ้นด้วยอาคมก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามจั้ง
หยวนซาพลิ้วกายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด คนมาปรากฏอยู่เหนือรถเหาะ
หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดเกราะสีดำยืนขึ้นก็ยกเท้าเรียวยาวคู่นั้นลอยไปที่รถอย่างเชื่องช้า
ครู่ต่อมารถเหาะพลันเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นสายรุ้งสีแดงสดพุ่งไปที่ขอบฟ้า
ห้าเดือนต่อมาในที่สุดเมืองเทวะวิญญาณหนึ่งในสามเมืองจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ก็ถูกกองทัพเผ่ามารมากมายจนนับไม่ถ้วนกลืนกิน
สงครามครั้งนี้ไม่เพียงจะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดในเมืองตาย แม้แต่อาวุโสระดับผสานอินทรีย์สองสามคนก็ถูกเผ่ามารระดับสูงล้อมสังหาร
ทว่าก่อนตายสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์สองสามคนนี้ก็โต้กลับอย่างดุเดือด คาดไม่ถึงว่าจะระเบิดตัวเองทำให้จอมมารระดับเดียวกันและเผ่ามารระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนตายไปพร้อมกัน
มีเพียงผู้ที่เพิ่งรับตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณคนใหม่ที่สำแดงอิทธิฤทธิ์อันน่าเหลือเชื่อออกมา อยู่ๆ พลังปราณก็เพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อคาดไม่ถึงว่าจะสังหารเปิดทางเผ่ามารและหนีไปได้พร้อมกับอาการบาดเจ็บ
แต่หลังจากสงครามกลับไม่มีข่าวคราวของจักรพรรดิวิญญาณผู้นี้อีก
เผ่ามารระดับสูงที่นำทัพเผ่ามารจึงโกรธเกรี้ยวไม่เพียงจะสังหารมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่จับเป็นมาได้ทั้งหมด แล้วยังทำลายสัญลักษณ์ของเมืองเทวะวิญญาณ ด้วยการสับต้นไม้ยักษ์ค้ำฟ้าต้นนั้น
ทั้งเมืองวิญญาณพังพินาศสิ่งปลูกสร้างหายไปไม่เหลือ
ทว่ากองทัพเผ่ามารที่ผ่านการต่อสู้กับเมืองวิญญาณสวรรค์ก็สูบเสียปราณแท้ไปไม่น้อยเช่นกันและไม่ได้กวาดล้างพื้นที่บริเวณรอบต่อในทันใดกลับพักค้างแรมอยู่ที่เมืองวิญญาณสวรรค์และมีอสูรมารของเผ่ามารมาเสริมทัพจากทางเดินแดนมารไม่หยุด
สิ่งที่ทำให้เผ่ามนุษย์ที่เหลือในเขตวิญญาณสวรรค์ตกตะลึงก็คือ คาดไม่ถึงว่าเผ่ามารเหล่านี้จะเริ่มสร้างป้อมปราการของเผ่ามารขึ้นในเขตแดนที่ยึดครอง และปลูกต้นมารประหลาดสีดำสนิทที่แผ่ไอมารบางๆ ออกมาในบริเวณรอบท่าทางเหมือนคิดจะพำนักอาศัยในเผ่ามนุษย์ระยะยาว
ภายใต้ความตกตะลึงระคนลนลานของเผ่ามนุษย์ จึงพยายามส่งข่าวคราวไปที่ฐานที่มั่นของเผ่ามนุษย์ที่อื่นๆ
ไม่นานนักฐานที่มั่นใหญ่ๆ รวมทั้งเมืองเทวะสวรรค์ทราบข่าวนี้ภายนอกไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใดมากนัก แต่ภายในย่อมเดือดพล่าน!
……
ในแดนป่าเถื่อน เขตแดนของเผ่าพฤกษาที่เดิมมีป่ารกทึบอยู่ตรงใจกลาง หอคอยสูงร้อยจั้งสิบกว่าหอและกำแพงเมืองสีเทาขาวก่อตัวกันเป็นป้อมปราการขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางสองสามลี้
ภายในป้อมปราการมีไอมารหมุนวนมองเห็นกองทัพเผ่ามารสวมชุดเกราะได้รางๆ บนกำแพงเมืองมีพวกลาดตระเวนอยู่
และเหนือป้อมปราการมารมีรูสีดำขนาดสองสามหมู่ปรากฏขึ้นรางๆ นั่นก็คือหนึ่งในทางเชื่อมแดนมารและแดนมนุษย์
ทว่าทางเชื่อมนี้เทียบกับ ‘ทางเชื่อม’ ใหญ่ในเขตแดนมนุษย์นับว่าแคบมากไม่อาจทำอันใดได้
และเผ่ามารที่กำลังลาดตระเวนอยู่ในป้อมปราการมารเหล่านั้นทุกตนล้วนมีผิวสีแดงอ่อนพลังยุทธ์ต่ำต้อย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ยอดฝีมือของเผ่ามาร
นั่นก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก รอยแยกเล็กแค่นี้ย่อมไม่อาจวางพลังคุ้มกันของเผ่ามารได้เท่าใดนัก
จำนวนของ ‘ทางเชื่อม’ ที่ปรากฏขึ้นในเขตเผ่าพฤกษาเทียบกับเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจไม่ได้เลยมิเช่นนั้นแม้แต่ป้อมปราการของเผ่ามารก็ไม่มีทางปรากฏขึ้นได้
ทว่าต้นไม้สีดำสนิทที่อยู่รอบๆ ป้อมปราการรวมทั้งผืนดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็ทำให้ดูออกว่าที่นี่ผ่านการสู้รบมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง แต่ผู้ที่พ่ายแพ้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เผ่ามารที่ตั้งค่ายอยู่ทางนี้
แน่นอนนั่นเป็นเพราะว่าอำนาจเผ่าพฤกษาไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ‘ทางเชื่อม’ ขนาดเล็กของเผ่ามารและได้ส่งกองกำลังที่แท้จริงไปช่วยโจมตีตรง ‘ทางเชื่อม’ ขนาดใหญ่ของเผ่าพฤกษา
แต่สำหรับขุมอำนาจเล็กๆ ของเผ่าพฤกษานั้นทางเชื่อมนี้กลับเหมือนกับหนามยอกอกย่อมไม่อาจไม่ถอนออกมาได้ ดังนั้นแทบจะทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาก็จะรวบรวมกำลังพลทำการโจมตีหนึ่งครั้ง
น่าเสียดายทุกครั้งย่อมไม่ประสบผล
และทางเชื่อมของเผ่ามารนี้ก็มีกำลังเสริมมาสนับสนุนไม่หยุด และค่อยๆ กลายเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
นี่ยิ่งทำให้ขุมอำนาจเผ่าพฤกษาในบริเวณนี้เกิดความหวาดกลัว จำนวนการโจมตีก็ยิ่งบ่อยครั้งขึ้น
วันนี้กลางป่าลึกห่างจากป้อมปราการมารไปยี่สิบสามสิบลี้ กองทัพเผ่าพฤกษาสวมชุดเกราะไม้สีเหลืองและเขียวสองสีพลันปรากฏขึ้น และใช้เคล็ดวิชาพฤกษาหลีกหนีเคลื่อนตัวมาที่ป้อมปราการของเผ่ามารอย่างช้าๆ
แม้ว่าพลังยุทธ์ของเผ่าพฤกษาเหล่านี้จะแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ท่าทางได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี
ในบรรดาพวกเขาชายชราระดับหลอมสุญตาคนหนึ่งและบุรุษและสตรีวัยกลางคนระดับเทพแปลงขั้นปลายคู่หนึ่งมีพลังยุทธ์สูงที่สุด เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำ
ทั้งสามไม่เพียงใช้เคล็ดวิชาหลีกหนีเคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้ากองทัพ ยังถ่ายทอดเสียงสนทนากันอย่างระมัดระวัง
“จู๋เหล่า ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ขอแค่ช่วยพวกเราจัดการกับป้อมปราการมารนี้ได้ พวกเราจะต้องตอบแทนให้จงหนัก” บุรุษวัยกลางคนหน้าตาหมดจดผู้นั้นเอ่ยกับชายชราด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่เป็นไร ตาเฒ่าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกเผ่าพฤกษา ออกแรงต่อกรกับเผ่ามารสักหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่สมควร ทว่า ครั้งนี้ข้ายอมเสี่ยงเดินทางไกลออกมาโดยไม่มีผู้ใดนั่งบัญชาการตระกูลของข้าย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายมาก สงครามครั้งนี้ต้องสิ้นสุดโดยเร็ว” ชายชราสั่นศีรษะ ดูเหมือนจะเอ่ยอย่างกังวลใจเล็กน้อย
“จู๋เหล่าวางใจ ครั้งนี้ตระกูลของพวกเราแทบจะนำกำลังทั้งหมดออกมา เพราะต้องการเอาชนะ มิเช่นนั้นหากยื้อเวลาต่อไป มันไม่ส่งผลดีต่อพวกเรา จากการหยั่งเชิงครั้งที่แล้วผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดในป้อมปราการมารเป็นแค่เผ่ามารระดับเทพแปลงสี่ตนเท่านั้น หากมีจู๋เหล่าคอยลงมือ การตัดสินแพ้ชนะครั้งนี้ย่อมต้องเป็นพวกเราอย่างไม่มีปัญหา” หญิงสาวเผ่าพฤกษาผิวพรรณขาวเนียน ใบหน้าไร้ซึ่งสีโลหิตอีกคนหนึ่งพลันถ่ายทอดเสียงกลับมาเบาๆ
“อืม หากมีเผ่ามารระดับสูงแค่สองสามตน มอบให้ตาเฒ่าทั้งหมดก็พอแล้ว พวกเจ้าทำลายทางเชื่อมของเผ่ามารก่อน ไม่มีทางเชื่อมแม้ว่าเผ่ามารเหล่านั้นจะหนีไปได้ก็ไม่คุ้มค่าให้ต้องหวาดกลัว” ชายชราพยักหน้าแต่ก็ออกคำสั่งอย่างไม่วางใจ
“ได้ ทำตามที่จู๋เหล่ากล่าว รอให้พวกเราทำลายทางเชื่อมนั้นแล้วก็จะกลับมาช่วยจู๋เหล่าสังหารเผ่ามารระดับสูงเหล่านั้น”
หลังจากที่บุรุษและสตรีเผ่าพฤกษามองสบตากันก็ตอบรับ
ชายชราได้ยินสีหน้าก็ผ่อนคลายลง
หลังจากที่ทั้งสามปรึกษากันแผ่วเบาก็นำทัพไปโดยไม่พูดอันใดอีก
แต่ไม่ว่าเผ่ามารระดับสูงสามคนนั้นหรือเผ่ามารธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนด้านหลังล้วนคิดไม่ถึงว่ากลางเมฆสีเทาดำที่อยู่เหนือป่ารกจะมีเนตรวิญญาณสีฟ้าเปล่งประกายสว่างวาบคู่หนึ่งกำลังมองพวกเขาอย่างราบเรียบ
เจ้าของเนตรวิญญาณสวมชุดคลุมสีเขียวเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบปีเศษนั่นก็คือหานลี่ที่ไม่ได้ปรากฏตัวมาสองสามเดือนแล้ว
เขาในยามนี้กำลังพิจารณากองทัพเผ่าพฤกษาไปพลางมองไปยังป้อมปราการเผ่ามารที่อยู่ไกลไปพลาง ใบหน้าเผยแววครุ่นคิดออกมา
จู่ๆ หานลี่ก็ฉีกยิ้มที่มุมปากร่างกายพลิ้วไหวรางเลือนไปท่ามกลางเมฆาสุดท้ายก็กลายเป็นเงาสีเขียวรางๆ สายหนึ่งบินออกไปจากเมฆสีเทา
เขาลอยอยู่กลางอากาศต่ำๆ บินตามเผ่าพฤกษาที่กำลังมุ่งไปยังป้อมปราการเผ่ามารติดๆ