A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1965 เอ๋าเสี้ยวปรากฏตัว
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1965 เอ๋าเสี้ยวปรากฏตัว
“สาเหตุที่เผ่ามารรุกรานพวกเราในครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีเพียงบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่รู้ จอมมารเผ่ามารทั่วไปแค่รับคำสั่งมาเท่านั้น มิเช่นนั้นยามแรกที่ยอมเสี่ยงจับจอมมารเผ่ามารมาเป็นๆ เพื่อทำการกระชากวิญญาณ คงไม่ถึงกับไม่ได้ข่าวคราวอันใดเลย” หญิงชราสวมชุดหนังสีขาวเอ่ยอย่างแช่มช้า ดูเหมือนว่าจะรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างมาก
“หึ ไม่ว่าเผ่ามารจะมีเหตุผลใด แต่พวกเราก็ไม่อาจปล่อยให้พวกมันสมประสงค์ได้ วิธีที่พวกเราเตรียมเอาไว้ ยามนี้ก็ให้ดำเนินการพร้อมกัน แม้กระทั่งมีสองวิธีที่สำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง น่าจะเพียงพอที่จะทำให้กองทัพเผ่ามารได้รับบาดเจ็บหนักจนเพลี่ยงพล้ำได้ หรือแม้กระทั่งต่อให้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารลงมาจุติด้วยตนเอง ก็เปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ ปัญหาเดียวก็คือ ข้าที่พวกเราได้รับมาถูกยืนยันแล้ว สามบรรพชนแรกเริ่มของเผ่ามารจะลงมาจุติพร้อมกัน เช่นนี้แม้ว่าระดับมหายานของพวกเราลงมือพร้อมกัน เกรงว่าก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ ว่ากันว่าสามบรรพชนแรกเริ่มของเผ่ามารล้วนเป็นตัวประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตมาหลายร้อยหลายพันปี ห่างจากการบรรลุกลายเป็นสิ่งมีชีวิตราวกับมารเที่ยงแท้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น” บุรุษขนนกขมวดคิ้ว เอ่ยสิ่งที่ทำให้คนอื่นใจเต้นระรัวออกมา
“สามบรรพชนแรกเริ่มของเผ่ามารล้วนเป็นมารเฒ่าโบราณระดับฟาดเคราะห์ ไม่ต้องพูดถึงเผ่าต่างๆ ของพวกเรา ทั้งแดนวิญญาณล้วนไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเอาชนะพวกเขาได้ หากมีล่ะก็ ก็มีแค่สิ่งมีชีวิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่เผ่าใหญ่ๆ เหล่านั้นบวงสรวงเท่านั้นที่จะสู้ได้ เผ่าต่างๆ ของพวกเรานับว่าอ่อนแอในแดนวิญญาณ จะไปหาสิ่งมีชีวิตระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้มาช่วยจากที่ใด และหากไม่มีวิธีรับมือกับสามบรรพชนแรกเริ่ม แม้ว่าจะใช้วิธีการเหล่านั้นโจมตีกองทัพเผ่ามาร เผ่าต่างๆ ของพวกเราก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย” หญิงชราเอ่ยพึมพำ
คนอื่นๆ มองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย
“ทุกท่านอย่าทุกข์ใจไปเลย ตอนแรกยามที่ใต้เท้าม่อเจี่ยนหลีออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็บอกว่าจะไปตามหาระดับมหายานคนอื่นๆ มาคิดวิธีรับมือกับเรื่องนี้ ผ่านมานานขนาดนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีแล้วก็เป็นได้” บุรุษผิวพรรณขาวบริสุทธิ์อีกคนหนึ่งที่ไม่ได้พูดอันใดตั้งแต่ต้นจนจบพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายสวิน เหตุใดพวกเราถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” บุรุษมีขนนกได้ยิน ก็มีสีหน้าตกตะลึง แล้วรีบร้อนเอ่ยถาม
คนอื่นๆ ก็เผยสีหน้าทั้งตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“เรื่องนี้มีแค่ข้าและพี่ลั่วที่รู้ ตอนแรกท่านอาวุโสม่อกำชับเอาไว้ว่าห้ามแพร่งพรายกับภายนอก ดังนั้นจึงไม่เคยเอ่ยกับสหายคนอื่นๆ ยามนี้หรือ ดูเหมือนจะถึงจุดที่ไม่พูดไม่ได้แล้ว” บุรุษผิวขาวบริสุทธิ์ถอนหายใจออกมาพลางอธิบาย
“พี่ลั่ว เป็นความจริงหรือ” ไม่รอให้บุรุษขนนกซักถาม หญิงชราก็หันหน้าไปเอ่ยถามชายชราผมขาวอย่างรีบร้อน
“หึๆ สหายสวินพูดความจริง ยามที่ท่านอาวุโสม่อจากไปได้มอบหมายไว้กับพวกเราทั้งสอง” ชายชราผมขาวหัวเราะน้อยๆ แล้วพยักหน้ายืนยัน
“เยี่ยมจริงๆ! ท่านอาวุโสม่อกล่าวเช่นนี้ น่าจะแผนการอยู่แล้วสินะ”
“ดูท่าทางเคราะห์มารในครั้งนี้ พวกเราคงมีหวังที่จะคว้าชัยชนะเอาไว้ได้แล้ว”
……
ยามนั้นทุกคนในตำหนักพลันรู้สึกผ่อนคลายลง และกำลังซุบซิบกันไปมา
“เอาล่ะ จากนี้ก่อนที่จะถกเรื่องแผนการอย่างละเอียด ข้ายังมีอีกเรื่องต้องประกาศ ก่อนหน้านี้ที่ออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ สหายเฮยอวี่ที่ไปจับศิลาวิญญาณหวงเหลียนเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว จากปากเทียนฉานที่เมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ส่งไปช่วยเหลือ ตอนนั้นที่พวกเขาได้ศิลาวิญญาณหวงเหลียนมาจึงได้แยกกัน แต่เมื่อเฮยอวี่จากไป แผ่นป้ายชีวิตก็ถูกทำลาย” บุรุษขนนกเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“ใต้เท้าเฮยอวี่มีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง มีอิทธิฤทธิ์ไม่อ่อนแอ จะเกิดเรื่องได้อย่างไรกัน หรือว่ามีความลับอันใด?” บุรุษผิวพรรณขาวบริสุทธิ์มีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยถามอย่างฉงนเล็กๆ
“น่าจะไม่มีความลับอันใด แม้ว่าศิลาวิญญาณหวงเหลียนจะล้ำค่า แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดนัก และยิ่งไปกว่านั้นสหายเทียนฉานก็เอ่ยถึงพยานคนหนึ่ง ตอนนั้นที่ช่วยพวกเขาเอาศิลาวิญญาณมา ยังมีสหายระดับผสานอินทรีย์อีกคนหนึ่ง ว่ากันว่ายามนั้นหากไม่มีผู้คนผู้นี้คอยช่วยเหลือ พวกเขาสองคนย่อมไม่อาจจับศิลาวิญญาณมาได้ง่ายๆ” บุรุษขนนกสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“พยาน! คือสหายท่านใด คงไม่ใช่คนของเมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หรอกกระมัง?” หญิงชราขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“ไม่ใช่อยู่แล้ว พูดถึงคนผู้นี้กว่าครึ่งสหายน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน คือสหายหานลี่ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้เมื่อสองสามร้อยปีก่อน” บุรุษขนนกตอบกลับอย่างจริงจัง
“หานลี่! ชื่อนี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่าเผ่ามนุษย์ของพวกเราแสนปีจะมีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าสองสามร้อยปีจะพัฒนาจากระดับเทพแปลงไปถึงระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นได้” หญิงชราพลันตกตะลึง แล้วตอบกลับอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“หึๆ ข่าวของสหายเก่าไปเสียแล้ว ยามนี้สหายหานผู้นี้อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว” ชายชราผมขาวพลันฉีกยิ้มแล้วแทรกขึ้น
“อันใดนะ ระดับขั้นกลางแล้ว รวดเร็วเกินไปกระมัง ดูแล้วพูดว่าแสนปีคงจะน้อยไป” หญิงชราตกตะลึงไปเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่เขา ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องนี้พลันเกิดความวุ่นวายขึ้น แล้วเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“อาจจะกระมัง หากไม่ใช่เพราะบังเอิญมีเคราะห์มารปะทุ สหายหานลี่คงจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของเกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราไปแล้ว ทว่าเรื่องของสหายหานผู้นี้ ค่อยว่ากันวันหลัง พี่อิง ท่านตามหาสหายหานเพื่อยืนยันหรือยัง” ชายชราผมขาวฉีกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยซักถามบุรุษขนนกต่อ
“เดิมข้าก็คิดจะทำเช่นนั้น แต่หลังจากติดต่อกับเมืองเทวะสวรรค์อย่างยากลำบาก กลับพบว่าสหายหานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลาที่หายตัวไปดูเหมือนจะสอดคล้องกับวันที่เฮยอวี่และเทียนฉานเดินทางพอดี” บุรุษขนนกหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“หายตัวไป จะมีเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร!” ชายชราผมขาวหน้าเปลี่ยนสี และมีสีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย
“ฟังข่าวคราวที่ส่งมาจากเมืองเทวะสวรรค์ ยามที่สหายหานไปช่วยสนับสนุนเมืองอี่เทียน บังเอิญพบกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารที่ลงมาจุติอย่างแดนมารพอดี ถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ข้าได้ตรวจสอบข่าวคราวของสหายเทียนฉานและเมืองเทวะสวรรค์อย่างละเอียดแล้ว สหายหานน่าจะหนีรอดจากเงื้อมมือของเผ่ามารจากนั้นถึงได้มาพบกับเทียนฉานและเฮยอวี่ แต่หลังจากที่ทั้งสามจับศิลาวิญญาณแล้วแยกย้ายกัน นอกจากเทียนฉานที่กลับไปยังเมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างราบรื่นแล้ว ที่เหลืออีกสองคนก็ดูเหมือนจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น” บุรุษขนนกเอ่ย
“จากคุณสมบัติของสหายหานผู้นี้ จากนี้ไม่แน่ว่าจะมีหวังพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับมหายาน หากเพลี่ยงพล้ำไปแล้วจริงๆ ก็น่าเสียดายมาก ทว่าเดิมพวกเราก็เป็นสิ่งที่โคจรเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว จะเพลี่ยงพล้ำไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอันใด และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ก็เป็นยามที่เคราะห์มารปะทุ” หญิงชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนจะรู้สึกว่าน่าเสียดายเป็นอย่างมาก
“หากสหายหานเกิดอันใดขึ้นจริงๆ ก็พูดได้แค่ว่าเขามีโชคไม่พอเท่านั้น ทว่านั้นไม่เหมือนกับเฮยอวี่ที่ถูกทำลายป้ายประจำตัว สหายหานไม่ได้ทิ้งของแทนชีวิตอันใดไว้ที่เมืองเทวะสวรรค์ จึงตัดสินความเป็นตายของเขาได้ยาก แต่ไม่ว่าเฮยอวี่จะเพลี่ยงพล้ำอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือเดินก็ได้ศิลาวิญญาณหวงเหลียนมาแล้ว แต่หายตัวไปเช่นกัน หากไม่มีสิ่งนี้ขั้นตอนสำคัญที่พวกเราเตรียมการมาอย่างยากลำบาก แต่ไม่อาจทำให้สำเร็จได้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของสองเผ่าอย่างพวกเรา ต้องคิดหาวิธีแก้ไขทันที”บุรุษขนนกแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“เรื่องนี้ไม่อาจยืดเยื้อได้!”
“จะหาศิลาวิญญาณหวงเหลียนที่อื่นได้หรือไม่?”
“นอกจากศิลาวิญญาณหวงเหลียนแล้ว ใช้สิ่งอื่นแทนได้หรือไม่ หรือว่าตอนแรกไม่ได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้?”
……
ทุกคนในตำหนักพลันใจหายวาบ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ทยอยกันเอ่ยปาก
“ของวิญญาณฟ้าดินอย่างศิลาวิญญาณหวงเหลียน ไหนเลยจะหาเจอได้ง่ายๆ ตัวนี้ได้ข่าวคราวมาตั้งนานแล้ว ถึงได้ให้อรหันต์เฮยอวี่ออกจากเกาะไปจัดการเรื่องนี้ ส่วนของที่ใช้แทนนั้นตอนแรกพวกเราเตรียมไว้อยู่สองสามชิ้น แต่เช่นนี้อานุภาพของวิธีการนั้นก็ต้องถูกทำให้อ่อนแอลงสามส่วน สุดท้ายจะได้ผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยากแล้ว” บุรุษขนนกสั่นศีรษะ พยักหน้าแล้วเอ่ย
เมื่อได้ยินบุรุษกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าหลากหลาย ยามนั้นไม่มีผู้ใดเอ่ยปากอันใดอีก
ทั้งตำหนักยามนั้นพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
“ศิลาวิญญาณหวงเหลียนเป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น มอบให้ตาเฒ่าจัดการก็ได้แล้ว พวกเรามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่า ต้องให้สหายทุกท่านออกแรงดำเนินการ”
เสียงของบุรุษเอ่ยอย่างราบเรียบ ฉับพลันนั้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก ทำให้ผู้คนได้ยินแล้วพลันตกตะลึง อดที่จะเกิดความอยากแย่งชิงไม่ได้
“ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว ท่านมาถึงแล้ว!” บุรุษขนนกที่เดิมมีสีหน้าราบเรียบได้ยินคำพูดนี้ก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้ และร้องด้วยความยินดี
แทบจะในเวลาเดียวกันประตูตำหนักที่เดิมปิดสนิทอยู่ จู่ๆ พลันถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก และมีคนสองคนเดินเข้ามาตามลำดับ
ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสวมชุดคลุมสีเงิน มีเสื้อคลุมไหล่สีดำยาวจรดเอว เป็นบุรุษหน้าตาเหมือนสาวพรหมจรรย์อายุประมาณสามสิบปี ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังมีร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ผิวพรรณเป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกตัด แผ่นหลังมีผมตรงยาวเช่นกัน กลับเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ ราวกับสร้างขึ้นจากเงินบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวเรือนผมสีทองหน้าตาสวยสดงดงามคนหนึ่ง
“คารวะท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว ยินดีต้อนรับท่านอาวุโสที่มาเยี่ยมเยียนเกาะศักดิ์สิทธิ์!”
ชายชราผมขาวและพวกที่เดิมนั่งอยู่ในตำหนักเห็นบุรุษตรงหน้าก็มีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจจนใจเต้นออกมา แล้วเอ่ยออกมาพร้อมกับคารวะบุรุษที่อยู่ตรงหน้าอย่างนอบน้อม
ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ที่เดิมมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย ถึงได้ไร้ซึ่งความสงสัย ทำความเคารพด้วยความตกตะลึงระคนดีใจเช่นกัน
คาดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานเพียงผู้เดียวของเผ่าปีศาจ ‘บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยว’ ที่มีชื่อเสียงสะท้านปฐพีในเผ่าปีศาจมาหลายปี
“ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ามีบางคนเคยพบตาเฒ่าแล้ว แต่บางคนก็เพิ่งเคยพบครั้งแรก ทว่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี” บุรุษผมยาวโบกมือให้ทุกคน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว เชิญท่านนั่งก่อนขอรับ” ชายชราผมขาวฉีกยิ้มพริ้มพราย รีบร้อนหลีกที่นั่งตรงกลางให้
“อืม เช่นนั้นตาเฒ่าก็ไม่เกรงใจแล้ว” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้า แล้วสาวเท้าเดินไป
ทุกคนในตำหนักพลันรู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว บุรุษผมยาวมาปรากฏตัวตรงที่นั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และนั่งลงอย่างไม่รีบร้อน