A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1968 เงาอัปลักษณ์
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1968 เงาอัปลักษณ์
“เจ้าค่ะ ท่านปู่!” อิ๋นเย่ว์อ้าปากพะงาบๆ สองสามครั้ง สุดท้ายก็กลืนคำพูดเดินลงไป
ในยามที่ท่านบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวยังคิดจะพูดอันใดกับหลานสาวของตนเองอีกนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นก็หันหน้าไปมองประตูบานใหญ่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น สาวใช้วัยดุรณีคนหนึ่งปรากฏตัวด้านนอกประตู และเอ่ยด้วยความนอบน้อม
“รายงานใต้เท้า ด้านนอกมีอาวุโสทั้งสองท่านของเกาะเราขอเข้าพบท่านอาวุโส!”
“อ๋อ พวกเขามาไวดีแท้ ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้าแล้วออกคำสั่ง
สาวใช้ผู้นั้นย่อมตอบรับคำสั่งแล้วออกไปอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ บุรุษแซ่ซวีและชายชราผมขาวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวก็เข้ามาคารวะทันที
“คารวะท่านอาวุโส ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสเรียกหาพวกเราในครั้งนี้ มีเรื่องอันใดจะให้ชนรุ่นหลังไปจัดการหรือ” บุรุษหน้าขาวบริสุทธิ์เอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม
“ไม่รีบร้อน เจ้าสองคนนั่งลงก่อนเถิด” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวกลับหัวเราะร่า ใช้นิ้วชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง
หนึ่งคนหนึ่งปีศาจระดับผสานอินทรีย์ย่อมไม่กล้าขัดเจตนาของเอ๋าเสี้ยว หลังจากเอ่ยปากขอบคุณแล้วก็แยกกันนั่งลงทั้งสองฝั่งอย่างซื่อๆ
“จะว่าไปแล้วเจ้าสองคนก็มีต้นกำเนิดเดียวกันกับตาเฒ่า คนหนึ่งเป็นสหายเก่า คนหนึ่งเป็นศิษย์ในนามของสหายม่อ ยามนี้มีเรื่องต้องการให้คนไปจัดการ และมีแค่ต้องมอบหมายพวกเจ้าสองคน ข้าถึงจะวางใจ” บรรพชนเอ๋าเสี้ยวพิจารณาทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
“ท่านอาวุโสโปรดรับสั่งมาเถิด!”
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน บุรุษแซ่ซวีและพวกทั้งสองคนก็รู้สึกโปรดปรานอย่างคาดไม่ถึงที่ได้รับความโปรดปราน
“ข้าได้ยินจากสหายม่อว่ายามที่เขาไม่อยู่ ผู้ที่เป็นผู้ดูแลเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็คือสหายลั่ว เช่นนั้นข้าต้องให้เจ้าช่วยข้ารวบรวมสิ่งของ ในนี้มีทั้งอาวุธและวัตถุดิบ ของเหล่านี้เป็นของที่ค่อนข้างหายาก บ้างก็มีเบาะแส บ้างกลับต้องให้เจ้าค้นหา เงื่อนไขเดียวก็คือทุกอย่างต้องทำอย่างลับๆ และยิ่งไปกว่านั้นรวดเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี!” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ขอรับ ชนรุ่นหลังจะส่งคนที่ไว้ใจได้ไปจัดการเรื่องนี้ ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้เรื่องอย่างแน่นอน” ชายชราผมสีขาวพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็ตอบรับทันที
“เยี่ยมมาก นี่คือรายการ เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้าสะบัดแขนเสื้อ คัมภีร์หยกม้วนหนึ่งบินออกไป
ชายชราผมขาวดูดคัมภีร์หยกเข้ามาในมือทันที และใส่ไว้ในแขนเสื้อโดยไม่มองแม้แต่นิดเดียว
เห็นได้ชัดว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มกำลังไม่ว่าของที่อยู่ในบันทึกจะเป็นสิ่งใด
บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา แล้วหันหน้าไปออกคำสั่งกับบุรุษแซ่ซวี
“หลานซวี ข้าอยากให้เจ้าไปที่แดนป่าเถื่อน ไปพบกับยอดฝีมือของชนต่างเผ่า ส่วนพอพบพวกเขาต้องทำอันใด ข้าได้บอกไว้ในคัมภีร์แล้ว กลับไปเจ้าก็จะรู้เอง เรื่องนี้ก็อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เช่นกัน
“ชนรุ่นหลังจะต้องจัดการอย่างระมัดระวังแน่นอนขอรับ” บุรุษแซ่ซวีหยัดกายลุกขึ้นตอบกลับอย่างนอบน้อมเช่นกัน
“อืม สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสามบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามาร สหายเองม่อก็รู้ มากสุดตาเฒ่าคงให้เวลาพวกเจ้าได้แค่ห้าปี หากเกินนั้นจะพลาดเรื่องใหญ่ไป พวกเจ้าก็น่าจะเข้าใจ” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพลันหน้าเปลี่ยนสีเป็นเคร่งขรึม
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ แม้ว่าชีวิตของชนรุ่นหลังจะดับสูญ ก็ต้องทำภารกิจให้ทันเวลา”
ชายชราผมขาวและบุรุษแซ่ซวีได้ยินว่าเป็นการต่อกรกับบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามารก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมาไม่ได้ และแทบจะสาบานในทันที
“ที่ตาเฒ่าเรียกพวกเจ้ามา แน่นอนว่าย่อมไว้ใจพวกเจ้า เอาล่ะ หากไม่มีเรื่องอันใด พวกเจ้าก็ไปจัดการเถิด เรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้!” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวยกมือขึ้น โยนคัมภีร์อีกม้วนไปให้บุรุษแซ่ซวี แล้วเอ่ยคำส่งแขก
ชายชราผมขาวและพวกทั้งสองไม่กล้าพูดอันใดอีก หลังจากที่คารวะทันใด ก็ออกไปจากหอคอย
“ท่านปู่สองคนนี้ไม่มีปัญหาสินะ? ในเกาะศักดิ์สิทธิ์มิใช่ว่ามีสายลับเผ่ามารแทรกซึมเข้ามาหรือ!” รอจนทั้งสองคนจากไป อิ๋นเย่ว์กลับขมวดคิ้วดำขลับแล้วเอ่ยถาม
“หึๆ หากสองคนนี้พึ่งพาไม่ได้ คนอื่นๆ ก็เชื่อถือไม่ได้แล้ว สองคนนี้เป็นผู้ที่ม่อเจี่ยนลี่แนะนำให้ข้าด้วยตัวเอง เพราะสองคนนี้ต่างอาศัยอยู่ในเกาะศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพันปีไม่จากไปไหน อีกอย่างเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าสายลับของเผ่ามารจะหนีรอดพ้นสายตาท่านปู่ของเจ้าได้? อย่างน้อยในบรรดาอาวุโสเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่ได้พบในตำหนักเมื่อครู่ก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใดมากนัก นี่นับว่าไม่ใช่ข่าวร้าย” ใบหน้าอ่อนเยาว์เป็นอย่างมากของบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“ในเมื่อท่านมั่นใจ หลิงหลงก็วางใจ ข้าขอไปพักผ่อนก่อน” หลิงหลงมีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยกับบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวอย่างเคารพนบน้อม
“เจ้าเดินทางมาตั้งหลายเดือน ต้องพักผ่อนสักหน่อย เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปเถิด” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างสงสารเล็กน้อย
“ท่านปู่เองก็รีบพักผ่อนเถิด ถึงอย่างไรเสียท่านก็เพิ่งฟื้นฟูปราณแท้ได้ไม่นาน อย่าได้เหนื่อยล้าเกินไป” หญิงสาวผมสีเงินเองก็ออกคำสั่งอย่างไม่วางใจ
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าท่านปู่ของเจ้าแก่ชราแล้วหรือ” เอ๋าเสี้ยวเบะปาก เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“จากหน้าตาของท่านปู่ บอกว่าเป็นพี่ชายของข้า ก็คงไม่มีผู้ใดสงสัย จะพูดถึงคำว่า ‘แก่ชรา’ ได้อย่างไร” อิ๋นเย่ว์หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเดินขึ้นไปด้านบนโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ฝีเท้าของนางเร็วขึ้นสองสามส่วน ราวกับว่าอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว!
“เจ้าเด็กนี้! หวังว่านางจะไม่ต้องฝึกฝนคาถาลืมความรู้สึก” บรรพชนเอ๋าเสี้ยวมองเงาแผ่นหลังของหญิงสาวผมสีเงินที่หายไปที่หัวบันได ใบหน้าผ่อนคลายหายวับไป กลับทอดถอนใจออกมาแทน
แต่สิ่งที่แปลกก็คือหลังจากที่บุรุษผมยาวเอ่ยจบ ก็หลับตานั่งสมาธินิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีเจตนาจะหยัดกายลุกขึ้นไปชั้นบนเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาก็ลืมตาขึ้น ฉับพลันนั้นก็เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อมาแล้ว ยังไม่ปรากฏตัวอีก!”
“บริวารคารวะใต้เท้าเอ๋าเสี้ยว!”
สิ้นเสียงบรรยากาศรอบๆ ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาลวงตากึ่งโปร่งใสเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา ห่างจากบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวไปแค่สองสามจั้งเท่านั้น
เมื่อเงาลวงตานี้ปรากฏตัว ร่างกายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นสวมชุดคลุมแนบเนื้อสีดำ
ใบหน้าของหญิงสาวสวมหน้ากากหัวหมาป่าสีทองสัมฤทธิ์ สองมือถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยถุงมือสีดำสนิท คาดไม่ถึงว่าจะไม่เปิดเผยเรือนร่างออกมาเลยสักนิด
“เงาอัปลักษณ์ ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ การแต่งตัวของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเลิกคิ้วเล็กน้อย เผยสีหน้าสนอกสนใจขณะเอ่ย
“ใต้เท้าเองก็ยังคงสง่างามดังเก่า! ตอนแรกได้ยินว่าใต้เท้าได้รับบาดเจ็บหนักจากการฟาดเคราะห์สวรรค์ บริวารกังวลใจอยู่ตั้งนาน ยามนี้เห็นใต้เท้าไม่เป็นอันใด บริวารย่อมวางใจ” หญิงสาวสวมหน้ากากคารวะอย่างมิกล้าดูแคลน แล้วตอบกลับอย่างนอบน้อม
“หึๆ แค่เคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่งจะคร่าชีวิตตาเฒ่าได้หรือ? เอาล่ะ ไม่ต้องพูดพล่ามไร้สาระแล้ว หลายปีก่อนข้าสั่งให้เจ้าซ่อนตัวอยู่ในเกาะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นเครื่องมือลับป้องกันไว้ก่อน ยามนี้เจ้าอธิบายสถานการณ์ของเกาะศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าฟังอย่างละเอียดซิ ตาเฒ่าจะนั่งบัญชาการอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ระยะหนึ่ง ต้องเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงบนเกาะก่อนถึงจะได้” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าค่ะ ยามนี้สถานการณ์บนเกาะไม่ค่อยดีนัก หลักๆ เพราะว่าฝั่งของเผ่ามาร…” หญิงสาวสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ได้ยิน ก็อธิบายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวฟังอย่างตั้งใจ เมื่อไม่เข้าใจจุดไหน ก็เอ่ยปากตัดคำพูดของหญิงสาว แล้วซักถามอย่างละเอียด
หญิงสาวก็ตอบที่ตอบได้ ส่วนจุดที่ตนไม่เข้าใจก็แค่สั่นศีรษะเท่านั้น
สุดท้ายหญิงสาวผู้นี้เอ่ยจบ ก็หยุดชะงักปิดปากไม่พูดไม่จา
บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเริ่มขบคิดอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม!
“เงาอัปลักษณ์ เจ้าทำได้ไม่เลว ดูท่าทางแล้วสองสามปีที่ผ่านมาเจ้าคงไม่ได้อยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์เปล่าๆ ทว่าเรื่องที่ตาเฒ่าให้เจ้าไปสอบสวนครั้งที่แล้วได้ผลลัพธ์หรือไม่” สุดท้ายบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมาเมื่อได้สติกลับมาแล้วกลับเอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่ง
“หากใต้เท้าเอ๋าเสี้ยวมีรับสั่ง เงาอัปลักษณ์จะไม่ตั้งใจทำได้อย่างไร แต่สิ่งที่ใต้เท้าให้ข้าไปสืบหาคนผู้นั้นไม่เคยมาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับเขาไม่น้อยแต่ข่าวคราวที่ละเอียดก็มีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนัก นอกจากฝึกฝนแล้ว ดูเหมือนจะคบค้าสมาคมกับผู้อื่นน้อยมาก นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่คนผู้นี้พัฒนาระดับได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาอันสั้นกระมัง บริวารจัดการข้อมูลของคนผู้นี้แล้ว ใต้เท้าต้องการตอนนี้เลยหรือไม่? ในนี้ล้วนเป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่ความจริง” หญิงสาวสวมหน้ากากเผยสีหน้าลำบากใจออกมาเป็นครั้งแรก แต่หลังจากครุ่นคิดก็ยังคงตอบกลับอย่างซื่อสัตย์
“ทว่าจะจริงหรือเท็จ ตาเฒ่าต้องดูสักครั้ง ข้าอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีฝีมือแค่ไหน บรรลุจากแดนล่างขึ้นมายังแดนวิญญาณแค่พันปีเศษ ก็มีชื่อเสียงเพียงนี้ และกลายเป็นปมหลักๆ ในใจของหลิงหลง!” บรรพชนเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
“เจ้าค่ะ ใต้เท้า!” หญิงสาวสวมชุดสีดำยกมือขึ้น ส่งลำแสงสีเขียวออกไป
บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวใช้มือหนึ่งตะปบออกไป ดูดลำแสงสีเขียวเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็กุมเอาไว้แล้วแผ่จิตสัมผัสเข้าไปข้างใน
“เหตุใดถึงมีแค่นี้ และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว หึ เพิ่งพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นก็สามารถต้านทานผู้บำเพ็ญเพียรขั้นปลายได้ เรื่องเช่นนี้เจ้าคิดว่ามันเป็นความจริงกี่ส่วนกัน!” ทว่าประเดี๋ยวที่บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวอ่านข้อมูลในมือเสร็จ ก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจนัก
“บริวารแค่ทำตามคำสั่งของใต้เท้า รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น จะจริงหรือไม่ ต้องให้ใต้เท้าเป็นผู้ตัดสิน ถึงอย่างไรเสียใต้เท้าก็ไม่ได้สั่งให้ข้าตรวจสอบเนื้อหาเรื่องนี้ให้ละเอียดตั้งแต่แรก ทว่าหากใต้เท้ารับสั่งในยามนี้ ก็สายไปแล้ว คนผู้นี้ถูกเผ่ามารไล่สังหารเมื่อไม่นานมานี้ ยามนี้เบาะแสจึงไม่แน่ชัด” หญิงสาวชุดดำเอ่ยอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก
“เบาะแสไม่แน่ชัด เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เสียเปรียบเจ้าเด็กนี้แล้ว ชื่อ ‘หานลี่’ สินะ! เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมาจากแดนล่างคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะกล้าก่อกวนจิตใจของหลิงหลง ทำให้ไม่อาจพัฒนาระดับขั้นได้ ต่อให้ต้องตายเป็นร้อยพันรอบก็ไม่เสียใจ” แววตาของบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวฉายแววโหดเหี้ยมแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า