A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1994 พัดเจ็ดเปลวกับห่วงรวมศูนย์
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1994 พัดเจ็ดเปลวกับห่วงรวมศูนย์
ยิ่งแปลกก็คือ โลหิตที่หยดลงบนผิวหนังของชายฉกรรจ์พร่ามัวในพริบตา กลายเป็นเส้นสายลวดลายสีแดงสด กระจายไปทั่วร่าง
มองจากระยะไกล ชายฉกรรจ์เหมือนสวมเสื้อยันต์สีโลหิตตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น แปลกพิลึกยิ่ง
เมื่อชายชราผมสีเงินเห็นดังนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้สุดๆ แต่ชายฉกรรจ์แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่หานลี่ ทำไม้ทำมือยั่วยุอย่างลำพองใจ
พอหานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ที่จะต่อสู้กับคนผู้นี้แล้ว จึงหันไปกระซิบกับชายชราผมสีเงิน
“ทำอย่างที่พูดเมื่อครู่ คนผู้นี้มอบให้ข้า แต่ก่อนจะจัดการกับมารตนนี้ พวกท่านต้องหลอกล่อร่างแยกของเซวี่ยกวงออกไปไกลๆ ก่อน ข้าไม่อยากเจอกับปัจจัยที่เหนือความคาดหมายใดๆ ระหว่างการต่อสู้”
พอสิ้นเสียง เขาก็ไม่รอว่าทั้งสองจะตอบอะไร พอดอกบัวกระบี่สีครามที่อยู่ใกล้ๆ หมุน คนก็พลันหายวับไปกับแสงกระบี่อันแหลมคม
ถัดมา ห่างออกไปจากตรงหน้าชายฉกรรจ์หลายสิบจั้ง แสงสีเขียวกะพริบ หานลี่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมสีหน้าไร้อารมณ์
ชายฉกรรจ์เผ่ามารเปล่งแสงอย่างดุดัน จับกระบองเขี้ยวหมาป่าพุ่งเข้าจู่โจมหานลี่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เสียงดัง ‘พรึ่บ’
ไฟมารสีมรกตบนกระบองเขี้ยวหมาป่าพลันม้วนตัวปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดินดุจมารไฟมาจุติ ก่อนกลายเป็นกำแพงไฟสูงหลายสิบจั้ง บีบหานลี่ด้วยการพุ่งเข้าใส่พร้อมพลังอันเกรี้ยวกราด
ส่วนมืออีกข้างของชายฉกรรจ์ก็กำนิ้วทั้งห้าไว้หลวมๆ จู่โจมใส่หานลี่กลางอากาศไปด้วย
ไร้สุ้มไร้เสียง คล้ายไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่เห็นเช่นนี้ สีหน้ากลับขรึมลง ดอกบัวกระบี่สีครามตรงหน้าส่งเสียงดังกังวานใส สร้างมายาภาพสีเขียวขุ่นเป็นชั้นๆ ยืนหยัดเผชิญหน้ากับกำแพงไฟ ขณะเดียวกัน พอแสงสีทองตรงปลอกข้อมือกะพริบ หมัดหนึ่งก็ต่อยออก
หมัดสีทองเปล่งแสง ราวกับหลอมจากทองคำบริสุทธิ์ คลับคล้ายมีอักขระสีทองบางๆ วิ่งไม่หยุดด้วย
เป็นการสำแดงเดชวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใกล้บรรลุให้ประจักษ์
พริบตาที่เงากระบี่สีเขียวสัมผัสกับกำแพงไฟ พลันเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ไปทั่ว แสงสีเขียวกับเปลวไฟสีเขียวประสานรวมกัน ระหว่างนี้ เปลวแสงเป็นกลุ่มๆ ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับดอกไม้ไฟจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกในเวลาเดียวกัน งดงามตระการตา
ที่ว่างอีกด้านหนึ่งใกล้ๆ กำแพงไฟกับแสงกระบี่ พลันเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ลมแรงสีเขียวขุ่นสายหนึ่งกับกลุ่มเงาหมัดสีทองเปล่งประกาย ก่อนกระแทกเข้าหากันอย่างไร้สัญญาณบอกเหตุแม้แต่น้อย แล้วจึงก่อตัวเป็นพายุไต้ฝุ่นพุ่งสู่ท้องฟ้า ม้วนตัวไปในทุกทิศทุกทางพร้อมเสียงดังกระหึ่ม
ที่ที่พายุหมุนพัดผ่าน ชั้นบรรยากาศสั่นสะเทือน ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ส่วนหานลี่กับชายฉกรรจ์เผ่ามาร พอรู้สึกว่าร่างสั่น ต่างก็เหยียบอากาศก้าวถอยหลังห่างออกไปหลายก้าวอย่างช่วยไม่ได้
ชายฉกรรจ์เผ่ามารเห็นดังนี้ ไม่เพียงไม่ตกใจ กลับยิ่งแสดงอาการตื่นเต้น ตะโกนเสียงดัง พลันโยนกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือขึ้นฟ้า ขณะสองมือตั้งท่า ปากร่ายคาถา แล้วชี้ไปบนท้องฟ้า
เสียงดัง ‘ปัง’
เปลวไฟบนผิวกระบองเขี้ยวหมาป่าลุกโชนขึ้นสูงกว่าเดิมหลายเท่า จากนั้นก็ควบแน่น กลายเป็นภาพมังกรไฟสีเขียวแปดตัว แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ พุ่งเข้าหาฝั่งตรงข้าม
มังกรไฟแต่ละตัวยาวสามสิบกว่าจั้ง มีเขาเดี่ยวสีม่วงเหนือศีรษะ ปากพ่นเปลวไฟสีเขียว ร่างเหมือนมีชีวิตจริงๆ ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ประกายตาของหานลี่กะพริบ เขาท่องคาถาในใจ เงากระบี่สีเขียวเป็นชั้นๆ ไปรวมตัวกันบนที่สูง พริบตาเดียวก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์สูงเสียดฟ้าเปล่งแสงเย็นยะเยียบออกรอบทิศ ฟันลงไปตรงหน้า
เสียงดังกัมปนาท ประกายไฟสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากตัวกระบี่ขนาดใหญ่อย่างดุเดือด อานุภาพไร้เทียมทาน
มังกรไฟแปดตัวแม้ดูดุร้ายผิดปกติ แต่หลังจากแสงเย็นยะเยียบกะพริบวาบ ก็ทยอยกันขาดเป็นสองท่อนภายใต้การจู่โจมอย่างดุเดือดของประกายไฟสีทองนับไม่ถ้วน ซากพิการยิ่งทยอยกันสลาย คืนสู่สภาพไฟมารเป็นลูกๆ
กระบี่ยักษ์สีเขียวสั่นกลางอากาศ แล้วหายไปในทันที
ขณะเดียวกัน เกิดความแปรปรวนตรงที่ว่างเหนือศีรษะของชายฉกรรจ์ แสงกระบี่ยักษ์ตกลงจากท้องฟ้าพร้อมเสียงคำรามดัง ฟาดฟันใส่ชายฉกรรจ์อย่างไม่ปรานี
แสงกระบี่สีเขียวสูงร้อยกว่าจั้ง พื้นผิวล้อมรอบด้วยแสงสีทอง ยังไม่ทันตกลงมาจริงๆ ปราณกระบี่อันแหลมคมก็ปกคลุมลงมาอย่างไร้รูปไร้สี
ชายฉกรรจ์เผ่ามารหน้าเครียด แสงโลหิตที่แขนข้างหนึ่งพลันวาบ พอพร่ามัวก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
‘ตูม’ เสียงดังกึกก้อง!
แสงอาทิตย์สีโลหิตกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏกลางท้องฟ้า แสงวิญญาณพร่างพราย แสงกระบี่สีเขียวคร่ำครวญ เถ้าธุลีของแสงสีโลหิตที่ถูกทำลายลงในพริบตาปลิวว่อน ราวกับแสงโลหิตนี้มีพลังบางอย่างที่คาดไม่ถึงอยู่
หานลี่หรี่ตามองอย่างอดไม่ได้ สองมือใหญ่พลันจับความว่างเปล่าพร้อมกัน
พอแสงสีเขียวในมือทั้งสองข้างเปล่งออก เงากระบี่สีเขียวขุ่นสองสายก็ปรากฏขึ้นก่อนและหลัง แล้วจึงรวมตัวกัน กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวขุ่นเล่มหนึ่ง
เมื่อสั่นข้อมือ กระบี่ขนาดใหญ่ในมือก็ส่งเสียงใสๆ พลางแบ่งตัวเป็นกระบี่ขนาดเล็กเจ็ดสิบสองเล่ม หมุนรอบๆ ตัวเขาอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์เผ่ามารกลับหัวเราะอย่างเย็นชา พอเก็บแสงโลหิตแยงตาบนแขนขึ้น กลับปรากฏเกราะแขนพิสดารสีแดงโลหิตท่อนหนึ่ง ห่อหุ้มแขนทั้งท่อนไว้อย่างแน่นหนา
ลวดลายวิจิตรงดงามบนเกราะแขน ไม่ต่างจากลวดลายโลหิตที่เกิดขึ้นบนแขนเหล่านั้นก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเกราะแขนเป็นภาพมายาที่สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้น
ทว่าเกราะแขนที่ดูไม่โดดเด่นเช่นนี้ ถ้าสามารถทำลายอาคมแสงกระบี่ที่หานลี่ร่ายอย่างง่ายดายจากการจู่โจมในคราวเดียว ก็ทำให้เขาแอบตกใจอย่างอดไม่ได้เหมือนกัน
ขณะนั้น หลังจากชายฉกรรจ์เผ่ามารเขย่าศีรษะ และชี้นิ้วไปข้างหน้าอีกครั้ง ไฟมารสีเขียวนั่นก็กลิ้งอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกลายเป็นภาพมังกรมารยักษ์แปดเศียร บดบังท้องฟ้าแทบมิด ก่อนพุ่งทะยานไปข้างหน้าอีก
พอทั่วทั้งท้องฟ้ามืด มังกรมารแปดเศียรก็มาถึงตรงหน้าหานลี่อย่างดุร้าย พร้อมกลิ่นคาวโลหิตที่โชยตามมา ประหนึ่งสามารถฉีกร่างหานลี่ออกเป็นชิ้นๆ ได้ในเวลาต่อมา
เมื่อต้องเผชิญกับการโต้กลับอย่างรุนแรงเช่นนี้ ใบหน้าของหานลี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ กระทั่งมือเท้าก็ไม่ขยับ แต่ด้านหลังพลันมีลำแสงสีทองพุ่งขึ้นท้องฟ้า ในลำแสงปรากฏเงาร่างสามเศียรหกกรตะคุ่มๆ เงาหนึ่ง
พอเงาร่างหกกรขยับ เงาหมัดสีทองก็พุ่งออกราวกับพายุบุแคมทันที
เงาร่างมังกรมารดูเหมือนใหญ่โตไร้ที่เปรียบ แต่เงาหมัดสีทองก็ดูเหมือนทำลายยากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหวกอากาศนับไม่ถ้วน มังกรมารถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ จนในที่สุดก็สลายหายไปพร้อมเสียงทึบตัน
พอแสงสีทองคืนกลับ แสงผลึกของร่างจำแลงเทวรูปสามเศียรหกกรก็ไหลวนไปมาสักพัก ค่อยกลายรูปเป็นพระพุทธรูปสีทองอร่าม กะพริบลอยอยู่เหนือศีรษะหานลี่
ดวงตาทั้งหกดวงเหม่อมองชายฉกรรจ์อย่างเย็นชา!
ชายฉกรรจ์เผ่ามารตะลึงงันก่อน แต่สีหน้ากระหายโลหิตพลันวาบ จึงพูดขึ้น
“เอ๋ เทวรูปร่างทอง ดูเหมือนยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาลับของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เราอยู่บ้าง ดีมาก และแล้วก็ไม่ทำให้บางตระกูลผิดหวัง เห็นทีครั้งนี้ได้สนุกอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ”
สิ้นเสียงพูด เสียง ‘ปัง’ ดัง!
ผิวของชายฉกรรจ์มีปราณมารสีดำทมิฬมากมายลอยออกมา ปกคลุมทั่วร่างในทันที ลวดลายสีโลหิตบนผิวของเขาพลันส่องแสงระยิบระยับในปราณมาร
ขณะไอดำกระจายออก เสื้อเกราะสีโลหิตที่เต็มไปด้วยลวดลายตัวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนร่างของชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์เผ่ามารหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง กำมือทั้งสองข้างขึ้นทุบอก แล้วเทวรูปมารสูงราวสิบจั้งตนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา
เสียงคำรามดังสนั่น ลมพัดแรงขึ้น ร่างของชายฉกรรจ์พลันหายไปกับสายลม
หานลี่จ้องมองอยู่ เขาหรี่ตาอย่างอดไม่ได้ แล้วเสียงสายฟ้าฟาดก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง ปีกผลึกใสคู่หนึ่งปรากฏ
ปีกกระพือน้อยๆ ดีดประกายไฟสีเงินนับไม่ถ้วนออก ร่างเดิมกับร่างทองสามเศียรหกกรหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกัน
ทว่าถัดมา ก็เกิดสายลมและสายฟ้าในที่ว่างใกล้ๆ กันขึ้น เงาร่างสองร่าง ร่างหนึ่งแฝงไว้ด้วยพลังสายฟ้า อีกร่างหนึ่งแฝงไว้ด้วยพลังมารร้อยจั้ง พุ่งเข้าชนกัน เสียงต่อสู้ดังกึกก้อง
ทั้งสองร่างล้วนเป็นร่างวิญญาณบำเพ็ญเพียร และล้วนเปี่ยมความมั่นใจในร่างเลือดเนื้อของตน ยังไม่ทันไรก็เห็นพายุไต้ฝุ่นลูกแล้วลูกเล่าเกิดขึ้นในที่ว่างพร้อมเสียงดังหวีดหวิว ขณะด้านในส่งเสียงดังกัมปนาทไม่หยุด
หานลี่กับชายฉกรรจ์ไม่เพียงประมือประเท้ากัน ยังเรียกสมบัติต่างๆ ออกมาเป็นระยะควบคู่ไปด้วย สำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ดั่งใจ ชนิดยากแยกแยะว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบในระยะเวลาอันสั้น
พอชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์ที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ใกล้ๆ ม่านแสงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หวาดหวั่นยิ่ง จากนั้นย่อมรู้สึกประหลาดใจและดีใจไปพร้อมกัน
แม้พวกเขาพยายามประเมินพลังของหานลี่ไว้สูงแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เขาจะมีฤทธิ์เดชต่อกรกับชายฉกรรจ์เผ่ามารตนนี้ได้จริงๆ
ตรงกันข้ามกับความปีติยินดีของคนทั้งสอง ร่างแยกของเซวี่ยกวงที่อยู่อีกด้าน เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ยิ่งขึ้น ความดุร้ายวาบขึ้นในแววตา พลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น คิดจะปล่อยของบางอย่างออก
ทว่าขณะนั้น จู่ๆ ค่ายกลแสงสีขาวขุ่นขมุกขมัวกลับปรากฏออกมาตรงใต้ฝ่าเท้าเขา หลังจากหมุนหนึ่งรอบ ที่ว่างส่วนหนึ่งแปรปรวนสักพัก ก็กระเพื่อมและเปิดออก
“แย่แล้ว!”
ประสบการณ์ของร่างแยกของเซวี่ยกวงส่วนใหญ่ถ่ายทอดมาจากร่างเดิมของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน ทันทีที่เห็นภาพนี้ สีหน้าจึงเปลี่ยนพลางอุทานในใจ ร่างแสงโลหิตพลันวาบ กำลังจะย้ายหนีออกจากที่เดิม แต่เห็นชัดว่าช้าไปหนึ่งก้าว
เขารู้สึกเพียง ที่ว่างใกล้ๆ บิดเบี้ยวเล็กน้อย สิ่งแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนกะทันหัน คนกลับปรากฏตัวอยู่ในที่ว่างแปลกๆ ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวจางๆ
และในที่ว่างนี้ ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์กำลังจ้องมองเขาอย่างขึงขัง
“เฮอะ กะอีแค่ลูกน้องที่เป็นแม่ทัพผู้พ่ายแพ้สองคน กล้าดีอย่างไรมาขวางการลงมือของข้า เอาเถอะ ข้าจัดการพวกเจ้าก่อน แล้วค่อยไปจัดการหนุ่มแซ่หานนั่นก็แล้วกัน”
หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตใบหน้าสดใสอยู่แต่เดิม พลันเปลี่ยนเป็นมืดมน ก่อนพูดด้วยสีหน้าอาฆาตมาดร้าย
“พระอาจารย์ เห็นทีครั้งนี้เราต้องสู้อย่างสุดใจขาดดิ้นแล้ว มีวิชากับสมบัติวิเศษอะไร ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้นอีก ตอนนี้ ไม่ใช่เขาตาย ข้าก็ม้วย!” มาถึงขั้นนี้ ชายชราผมสีเงินกลับสงบนิ่งลงมาก จึงหันไปพูดกับภิกษุเฒ่าอย่างแผ่วเบา
“แน่นอน ถึงชีวิตปูนนี้ของอาตมาจะหาไม่ ก็จะไม่ยอมปล่อยให้มารตนนี้หนีออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ แน่” ภิกษุจินเย่ว์กล่าวบทสวดทักทายพร้อมใบหน้าเปี่ยมความแน่วแน่
“ฮ่าๆ มีคำพูดของสหายจินคำนี้ก็พอ!”
ชายชราผมสีเงินหัวเราะร่า พลันพลิกหมุนมือข้างเดียว สองมือก็ปรากฏสมบัติวิเศษข้างละชิ้น
ชิ้นหนึ่งเปล่งแสงสีแดงขุ่น ซึ่งความจริงคือพัดขนนกที่ทำมาจากขนนกเจ็ดสี และอีกชิ้นเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า กลับเป็นห่วงเงินห้าวงเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
“พัดเจ็ดเปลวกับห่วงรวมศูนย์ นึกไม่ถึงว่าสมบัติวิญญาณสองชิ้นนี้ ที่สุดแล้วก็ตกอยู่ในมือเจ้า ปกติพี่กู่ไม่ยอมหลุดปากออกมาแม้แต่นิดเดียวจริงๆ”
เมื่อภิกษุจินเย่ว์เห็นสมบัติสองชิ้นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างปีติยินดี
จากนั้นภิกษุเฒ่าพลันตบจีวรบนร่าง ทันใด อักษรสันสกฤตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เงาร่างภิกษุองค์แล้วองค์เล่าปรากฏตะคุ่มๆ ท่ามกลางการกะพริบของตัวอักษรสันสกฤต ซึ่งมีมากถึงสิบแปดองค์