A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2004 ตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2004 ตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ
พอชายชุดเกราะสีดำได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่นึกสงสัยใดๆ อีก รีบขานรับทันที
สตรีชาววังจึงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีชมพูวาบแรง พอร่างของทั้งสองพร่ามัว ก็หายวับไป
…..
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ของชนเผ่าวิญญาณ ซึ่งมีเขตแดนติดกับชนเผ่ามนุษย์ บนยอดเขาลูกหนึ่ง ผู้ดำรงอยู่แบบวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับผสานอินทรีย์สามท่าน กำลังล้อมชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งอย่างขึงขัง ประหนึ่งพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งก็มิปาน
ชายหนุ่มสวมชุดยาวสีทอง ยืนสองมือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ จ้องมองทั้งสามด้วยสีหน้าเย็นชา
ชุดสีทองของเขา ด้านหน้าพิมพ์รูปดอกบัวสีทองอร่ามขนาดใหญ่ดอกหนึ่ง สะดุดตายิ่ง
ส่วนด้านล่างของยอดเขา เต็มไปด้วยหลุมขนาดใหญ่ที่นูนบ้างเว้าบ้าง ในหลุมมีซากศพมากมายกองอยู่ และมีอุปกรณ์ที่แตกหักมากกว่าพันชิ้นตกกระจัดกระจาย ซึ่งแต่ละชิ้นเหมือนไม่มีพลังวิญญาณแล้ว
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใครก็ตาม เมื่อสังหารพวกเราเขาเมฆาบรรพชน แล้วยังริอาจดูดปราณบริสุทธิ์ของพวกมันไป ได้ทำผิดกฎข้อห้ามของเผ่าเราแล้ว เราสามคนจำต้องหั่นเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้นเพื่อล้างแค้น”
ชายชราร่างป้อมเตี้ย หนึ่งในวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามท่านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ส่วนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกสองท่านซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง คนหนึ่งเป็นชายชราผมยาวถือไม้ไผ่สีเขียว อีกคนเป็นหญิงวัยกลางคนอายุราวสามสิบกว่าหน้าตาสะสวย
สายตาที่ทั้งสองจ้องมองหนุ่มชุดทองราวกับพ่นไฟออกมาได้เช่นเดียวกัน
เผ่าวิญญาณแตกต่างจากเผ่าอื่นๆ ตรงที่ยากต่อการเบิกภูมิปัญญา ทำให้มีประชากรน้อยมากเมื่อเทียบกับเผ่าอื่นๆ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับคนในเผ่าทุกคนเป็นอย่างยิ่ง แต่ดีตรงที่ คนเผ่าวิญญาณพอเบิกภูมิปัญญาได้ จะมีฤทธิ์เดชมากมายทันที จึงมีผู้ที่ดำรงอยู่ในช่วงระดับหลอมรวมปราณก่อกำเนิดมากที่สุด ทำให้อยู่ร่วมกลุ่มเดียวกับยักษ์และมนุษย์ปีศาจในแดนวิญญาณมาได้ตลอด
เช่นเดียวกับที่นี่ เขาเมฆาบรรพชน ที่ที่รู้จักกันดีว่าเป็นฐานที่มั่นซึ่งคนเผ่าวิญญาณอาศัยอยู่ และวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามท่านนี้ก็คือสามหัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งฐานที่มั่นนี้
หลายวันก่อน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามท่านได้ออกจากที่นี่ไป แต่พอกลับมา พลันพบว่าคนในฐานที่มั่นถูกฆ่าตายทั้งหมด ปราณบริสุทธิ์ในร่างเดิมของพวกเขาก็ถูกดูดไปจนเกลี้ยง ฆาตกรที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ มีสิทธิ์เป็นหนุ่มชุดทองที่ยืนอยู่ที่นี่มิได้จากไปไหน จึงพอจะจินตนาการถึงความโกรธแค้นที่อยู่ในใจของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามท่านได้
แม้พลังปราณของหนุ่มชุดทองดูเหมือนไม่แข็งแกร่ง แต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามท่านกลับดูขั้นบำเพ็ญเพียรของฝ่ายตรงข้ามไม่ออกว่าอยู่ในระดับไหน
ซึ่งทำให้พวกเขาพลอยโมโหไปด้วย เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ลึกๆ มิเช่นนั้นคงลงมือจับกุมฝ่ายตรงข้ามไปแต่แรก ไหนเลยจะนิ่งค้างอยู่จนถึงตอนนี้เล่า
“เฮอะ พวกเจ้าพูดจบกันหรือยัง กะอีแค่ร่างแปลงทาสวิญญาณที่ต้อยต่ำ ริอาจโอหังต่อหน้าข้าเช่นนี้ ปราณบริสุทธิ์ของพวกมันให้ข้าใช้ ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว ข้าเห็นว่าพวกเจ้าทั้งสามมีขั้นบำเพ็ญเพียรที่ห่างชั้นกว่าทาสวิญญาณอื่นๆ ถ้ายอมสวามิภักดิ์ข้า รับใช้ข้าล่ะก็ ก็พอจะละเว้นชีวิตพวกเจ้าได้”
หลังจากหนุ่มชุดทองแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ในที่สุดก็เอ่ยปาก แต่ล้วนเป็นลักษณะของชนชั้นสูงพูดกับชนชั้นล่าง
“ทาสวิญญาณ เจ้าเป็นคนของแดนเซียนหรือ”
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามท่านซึ่งดวงตาลุกเป็นไฟอยู่แต่เดิม พอได้ยินเช่นนี้ พลันถามเสียงแหบขึ้นพร้อมกัน
หนุ่มชุดทองอึ้งไปสักพัก แต่ก็รีบยิ้มเย็นชาพลางว่า
“อ้อ พวกเจ้าก็รู้เรื่องนี้ หรือในหมู่พวกเจ้ามีคนที่ลงมาจากบนนั้น ไม่ถูกสิ จากขั้นบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้หรอก น่าจะมีใครบอกพวกเจ้า ถ้าเป็นเช่นนี้ ทูตเซียนอย่างข้าก็ชักรู้สึกสนใจคนที่บอกเรื่องนี้เสียแล้วสิ ดีล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้ที่มาของข้าแล้ว ยังไม่ปรากฏร่างเดิมเสียดีๆ อีก ข้าจะได้ทำพันธะสัญญาโลหิต หาไม่แล้วอีกสักพักข้าก็จะจับกุมพวกเจ้า และฆ่าภูมิปัญญาของพวกเจ้าด้วยตัวเอง เหมือนกันนั่นแหละ แต่ข้าต้องเปลืองมือเปลืองเท้าหน่อยเท่านั้น”
พอได้ยินฝ่ายตรงข้ามยอมรับเรื่องที่ตนคาดเดา สามวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หน้าซีดขาว ต่างสบตากันอย่างหวาดกลัวยิ่ง
ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนจากเบื้องบนลงมาจุติจริง ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเขาทั้งสาม ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
“ไม่ถูกต้อง ถ้าเขาเป็นคนที่ลงมาจากแดนเซียนจริง ตอนประมือกับมนุษย์อย่างเรา เหตุใดถึงต้องลงมือโฉ่งฉ่างขนาดนี้ด้วย เขากำลังโกหกหลอกลวงเรา”
ผู้เฒ่าที่ถือไม่ไผ่สีเขียว แม้ยังมีความกลัวอยู่บนใบหน้า แต่พอกลอกตามองอย่างรวดเร็ว ก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดเสียงดัง
“ไม่ผิด เป็นอย่างที่ท่านพี่พูด ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า คนจากแดนเซียนลงมาจุติในดินแดนนี้ได้ ต่อให้เขาเป็นคนจากเบื้องบนจริง ตอนนี้ก็คล้ายเกิดปัญหาอะไรบางอย่าง หาไม่แล้ว ไหนเลยจะมามัวพูดจาไร้สาระมากมายกับเรา เราสามคนร่วมมือกัน อย่ากลัว” หญิงวัยกลางคนหน้าสวยก็พูดอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
พอหนุ่มชุดทองได้ยินคำพูดของคนทั้งสาม ก็มีท่าทีนิ่งลง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ ย่อมไม่สามารถปิดบังการเฝ้าสังเกตของสามวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ จิตใจของพวกเขาจึงสงบนิ่งลงมาก
“ลงมือ อย่าปล่อยให้เจ้าเด็กเลี้ยงแกะคนนี้หนีรอดไปจากที่นี่ได้”
พอดวงตาของชายชราร่างป้อมเตี้ยที่อยู่ตรงกลางฉายแววดุดัน สองมือก็ตั้งท่าร่ายอาคมทันที ตรงศีรษะ
ปรากฏกระจกทองแดงสีขาวขุ่นขึ้นบานหนึ่ง หันหาชายหนุ่มแล้วสั่นไหว
เสียงดัง ‘พรึ่บๆ’ !
ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกจากตรงกลาง กลายเป็นทะเลเพลิงสูงกว่าร้อยจั้ง ม้วนตัวเข้าหาชายหนุ่ม
ส่วนผู้เฒ่าผมยาวกับหญิงวัยกลางคนหน้าสวยก็ลงมืออย่างไม่ลังเลใจพร้อมกัน
คนหนึ่งวาดไม้ไผ่สีเขียวในมือตรงที่ว่างด้านหน้า ทันใด เงาไม้ไผ่สีเขียวมรกตขนาดกว่าร้อยหมู่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นทับซ้อนกันเหนือศีรษะหนุ่มชุดทอง ก่อนตกลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
อีกคนหนึ่งดีดนิ้วทั้งสิบไปข้างหน้าติดต่อกัน แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งร่อนออก พอหมุนวนหนึ่งรอบ พลันกลายเป็นนกยักษ์สีเขียวสูงหลายสิบจั้งสิบตัว ร้องเสียงใสพลางพุ่งตรงไป
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามท่านนี้ แม้ในใจไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนจากเบื้องบน แต่ก็รู้ว่ามีฤทธิ์เดชไม่เบา พอลงมือจึงใช้ไม้ตายไปโดยปริยาย หวังให้การรวมพลังจู่โจมสามารถจัดการศัตรูที่อยู่ตรงหน้าได้ในคราวเดียว
หนุ่มชุดทองเห็นดังนี้ ก็ทอประกายตา แต่ปากกลับโพล่ง “โง่เง่า”
จากนั้นมือข้างเดียวของเขาพลันทำท่าประหลาดๆ ทันใดรัศมีโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นบนผิวกาย ก่อนวาบระเบิด อักขระยันต์สีทองและเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วควบแน่นเป็นครอบสีทองเงินขนาดใหญ่ชั้นหนึ่ง ปกป้องตนเองไว้ด้านใน
ขณะเงาสีเขียวกลางอากาศกะพริบ กลายเป็นไม้สีเขียวขนาดใหญ่ยาวกว่าสิบจั้งนับไม่ถ้วน ฟาดแรงๆ ลงไป เสียงดังกระหึ่ม
นกยักษ์สิบกว่าตัว พอบินเข้าไปใกล้ ก็กระพือปีกทั้งสองข้าง ลมดาบสีเขียวที่หนาแน่นพัดออกเสียงดังหวีดหวิว คล้ายกลายเป็นดาบสีเขียวคมกริบกว่าหมื่นพันเล่มฟันลงไปพร้อมกัน
ส่วนทะเลเพลิงสีขาวเพียงม้วนตัว เปลวเพลิงสีขาวคุกรุ่นก็จมแสงสีทองเงินลงไปในนั้นจนหมดทันที
ชายหนุ่มในครอบยันต์สีทองเงิน พอเห็นการจู่โจมที่ดุดันเช่นนี้ กลับแสดงสีหน้าดูแคลนออกมา เพียงใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบไปที่ครอบยันต์ตามอำเภอใจ ก่อนเปล่งคำว่า “เปิด” ออกจากปาก
‘บึม’ เสียงดังสนั่น
ขณะแสงกะพริบ ที่ครอบยันต์สีทองเงินพลันขยายตัว อักขระสีทองและเงินทุกตัวขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในพริบตา และแสดงลักษณะกึ่งโปร่งใสที่เป็นรูปธรรมออกมา
ไม่ว่าจะเป็นไม้ยักษ์ ดาบพายุ หรือเปลวเพลิง พอสัมผัสโดนอักขระบนที่ครอบสีทองเงิน ล้วนกระเด็นออก ราวกับถูกไฟช็อตก็มิปาน ไม่สามารถสั่นคลอนที่ครอบยันต์แม้แต่น้อย
ชายชราร่างป้อมเตี้ยเห็นดังนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสี ยกมือขึ้นจิ้มไปยังเปลวเพลิงอันคุกรุ่นโดยไม่ต้องคิด
ในทะเลเพลิงสีขาวเกิดเสียงคำรามต่ำ พลันควบแน่นเป็นกิเลนไฟหลายตัว แต่ละตัวมีขนาดคล้ายวัวตัวเล็ก พ่นไฟวิญญาณสีเงินยวงออกมาตลอดทั้งตัว
ทะเลเพลิงทั้งผืน ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังเปลวเพลิงมากกว่าครึ่ง สีก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง อุณหภูมิของที่ว่างใกล้ๆ ก็พลันเปลี่ยน เหมือนร่างอยู่ในเตาหลอมที่ร้อนเกินทน
หลังจากผู้เฒ่าผมยาวกับหญิงวัยกลางคนหน้าสวยสบตากัน ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่างคนต่างพลิกฝ่ามือ
ต่างมีสมบัติวิเศษหลายชิ้นกะพริบแสงปรากฏขึ้น กำลังจะเสกออกไปพร้อมกัน
ในตอนนี้เอง เสียงสุดเย็นยะเยียบจากชายหนุ่มในที่ครอบยันต์สีทองเงินก็ดังมา
“หมดเวลาเล่นปาหี่แล้ว ข้าจะส่งพวกเจ้าไปปรโลก”
สิ้นเสียง เงาตะคุ่มๆ กลางที่ครอบยันต์ก็วาบ แล้วหายวับกลางอากาศ
พอไม่มีอาคมของชายหนุ่มคอยหนุน ที่ครอบยันต์สีทองเงินภายใต้การม้วนตัวของเปลวไฟสีขาว ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่พอทั้งสามเห็นดังนี้ สีหน้าไม่เพียงไม่แสดงความดีใจออกมา กลับเปลี่ยนเป็นหันหลังชนกันแบบวงกลมทันที ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังจิตมหาศาลไปรอบทิศ
“เกิดอะไรขึ้น พลังจิตของข้ากลับไม่พบเบาะแสคนผู้นั้น”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าผมยาวก็ตะโกนเสียงต่ำขึ้นมาอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง
หญิงวัยกลางคนหน้าสวยแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็แสดงสีหน้าที่ดูไม่ได้ออกมา เพราะพลังจิตของนางก็ไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน
ส่วนชายชราร่างป้อมเตี้ย ดวงตาฉายแววเคร่งขรึมลง ขณะกำลังคิดอะไรอยู่นั้น ท้องฟ้าพลันมีเสียงฟ้าร้อง ตามด้วยจุดแสงสีเงินนับไม่ถ้วนปรากฏออก พอแสงสีทองวาบ ร่างของหนุ่มชุดทองก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางจุดแสงอย่างน่าพิศวง เขายกมือจับที่ว่างตามอำเภอใจ
เสียง ‘ครืน’
จุดแสงสีเงินเหล่านั้นปลิวว่อนขึ้นมา พริบตาเดียวก็ควบแน่นเป็นตาข่ายยักษ์สีเงินขนาดใหญ่หลายลี้ผืนหนึ่ง ไม่เพียงครอบวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่อยู่ด้านล้างไว้ภายใน กระทั่งยอดเขาขนาดใหญ่ด้านล่างก็พลอยถูกครอบไปด้วย
ที่พิศวงยิ่งกว่าก็คือ ตาข่ายยักษ์สีเงินผืนนี้ ไม่รู้ว่ามีอิทธิฤทธิ์ใดๆ แฝงอยู่ แม้ยังไม่ตกลงมา แต่จากพลังปราณประหลาดที่ตาข่ายสีเงินเปล่งออก กลับทำให้ร่างของผู้อาวุโสทั้งสามอ่อนปวกเปียกไปหมด ยกพลังยุทธ์เสี้ยวหนึ่งในร่างไม่ขึ้น
“แย่แล้ว เป็นตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ เขาเป็นคนจากแดนเซียนจริงๆ รีบหนีเร็ว!”
เห็นชัดว่าชายชราร่างป้อมเตี้ยเป็นผู้ซึ่งมีขั้นบำเพ็ญเพียรสูงสุดในวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม พอพบความผิดปกติของตน ใบหน้าบางส่วนพลันเหยเก คำรามเสียงดัง
แล้วร่างก็สั่นไหว พร่ามัว ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับกระจกโบราณที่อยู่ตรงหน้า ส่งเสียงดังเสียดแก้วหู แหวกอากาศหนีไป
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกสองท่านพอได้ยินคำว่า “ตาข่ายควบคุมวิญญาณ” สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาวไร้โลหิต ไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างสั่น คนหนึ่งกลายเป็นพายุหมุนสีเขียวขุ่นสายหนึ่ง คนหนึ่งกลายเป็นไม่ไผ่ยักษ์สีเขียวมรกตสูงหลายสิบจั้งอันหนึ่ง เปล่งแสงวิญญาณสว่างแยงตาพร้อมกัน แล้วแยกกันพุ่งหนีไป
“คิดหนีตอนนี้รึ ฝันไปเถอะ”
พอหนุ่มชุดทองเห็นดังนี้ กลับหัวเราะหึๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งแกว่งเล็กน้อย แสงสีเงินกลางฝ่ามือกลุ่มหนึ่งพลันสว่าง กลายเป็นเส้นด้ายสีเงินสิบกว่าเส้นเชื่อมโยงกับตาข่ายยักษ์ทั้งผืน จากนั้นก็ลอยขึ้นเบาๆ
ตาข่ายยักษ์สีเงินขยายออก พร้อมพลังปราณอันหนาวเหน็บและมืดมนกลุ่มหนึ่ง แล้วจึงร่วงหล่นลงครอบคลุมฟ้าดิน
ขณะแสงสีเงินกะพริบ ตาข่ายราวกับจะปกคลุมทั้งฟ้าและดินทั้งหมดไว้ด้านในทันที