A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2006 ขอความช่วยเหลือ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2006 ขอความช่วยเหลือ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ผู้แซ่หานกลับได้ยินเป็นครั้งแรก” สีหน้าหานลี่เปลี่ยนเล็กน้อย
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่พี่หานไม่รู้ นอกจากเฒ่าประหลาดบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นแล้ว คนนอกที่รู้เรื่องนี้อย่างมากก็มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ในนี้รวมราชันที่สาม ข้ากับเฒ่าประหลาดหล่งด้วย”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกขำก่อนตอบ
“แต่ที่ท่านเซียนบอกเรื่องนี้กับข้า มีจุดประสงค์อันใดหรือ” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ในเมื่อพี่หานปรากฏตัวขึ้นที่นี่ คิดว่าต้องรู้เรื่องสามบรรพชนมารผู้ยิ่งใหญ่มาจุติแล้ว ซึ่งถ้าสองเผ่าเราเกิดแพ้ขึ้นมาจริงๆ พี่หานไม่เคยคิดเรื่องที่จะปกป้องคนในตระกูลกับศิษย์ในสำนักทั้งหมดอย่างไรเลยหรือ”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกลอกตาไปมาสองสามรอบ แล้วแย้มยิ้มก่อนถาม
“แหะๆ นอกจากศิษย์ไม่กี่คนแล้ว ผู้น้อยก็มิได้ก่อตั้งสำนักหรือพรรคใดๆ อีก ยิ่งไม่มีคนในตระกูลอะไรให้ต้องขบคิด” หานลี่กะพริบตา หัวเราะแหะๆ ก่อนว่า
“แต่เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่า ศิษย์ของสหายบางคน คล้ายรับคนเข้าสำนักไม่น้อย” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“อ้อ นั่นเป็นเพียงลูกศิษย์ลูกหาที่ไปเปิดสำนักเอาเอง ผู้แซ่หานไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย ซึ่งสำนักของพวกเขาจะอยู่หรือดับ ก็ต้องดูที่วาสนาของพวกเขาเองแล้ว” หานลี่ยิ้มบางๆ
“เช่นนี้นี่เอง งั้นคำพูดเมื่อครู่กลับเป็นข้าเองที่เรื่องมากแล้ว”
หลังจากสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกอึ้งไปพักหนึ่ง ก็พลันหัวเราะเบาๆ ออกมา
“หรือท่านเซียนเยี่ยมองการรบครั้งสุดท้ายระหว่างเรากับเผ่ามารไปในแง่ร้ายเช่นนี้จริงๆ บรรพชนมารรุ่นบุกเบิกแม้น่ากลัว แต่ภายใต้การร่วมมือร่วมใจกันของคนในระดับมหายานไม่กี่เผ่าของเรา ก็ใช่ว่าจะต้านทานไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ แต่มีใครเคยเห็นกับตาบ้าง ไม่แน่ว่าอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของพวกเขาอาจเป็นแค่ลมปากที่เกินจริงไปบ้าง” หานลี่ถามกลับ
“ข้ามองในแง่ร้ายจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ทว่าความน่ากลัวของสามบรรพชนมารผู้บุกเบิกห่างชั้นกว่าบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์ธรรมดามากมายอย่างแน่นอน นี่ย่อมไม่ต้องสงสัย”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกสั่นศีรษะ เผยให้เห็นท่าทางกังวลใจ
“อ้อ ท่านเซียนพูดอย่างมั่นใจเช่นนี้ น่าจะรู้อะไรมาบ้างแล้ว” ในใจหานลี่เย็นวาบ แต่กลับถามอย่างสงบนิ่ง
“จะว่าไป พี่หานมีบุญคุณอันใหญ่หลวงที่เคยช่วยชีวิตเด็กสาวในบ้านข้าไว้ ถือว่ามีความเป็นมิตรกับสกุลเยี่ยอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้ ข้าก็ไม่ปิดบังแล้ว ไม่รู้ว่าสหายรู้เรื่องบรรพชนสกุลเยี่ยเรามากน้อยขนาดไหน” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงพูดช้าๆ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“อ้อ ข้าแค่เคยได้ยินมาว่า สกุลเยี่ยก็เป็นหนึ่งในสกุลวิญญาณแท้ที่สืบเชื้อสายมาแต่โบราณกาล อย่างอื่นก็ไม่รู้อะไรแล้วจริงๆ” หานลี่ลูบคางไปมาพลางตอบ
“เรื่องบรรพชนสกุลเยี่ยเราในยุคบุกเบิกไม่ต้องพูดถึง ส่วนยุคอื่นๆ ก็เคยมีบรรพชนในระดับมหายานมาก่อน โดยมีอยู่ยุคหนึ่ง หลังจากบรรพชนเข้าสู่ระดับมหายาน กลับกระตุ้นโลหิตวิญญาณในร่างให้ถึงขีดสุดได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ฤทธิ์เดชมากมายขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง ยังเคยลอบแฝงตัวเข้าไปในแดนมารอยู่หลายครั้ง”
พอหานลี่ได้ยินเช่นนี้ ก็หรี่ตาลงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มิได้เอ่ยปากถาม เพียงฟังอย่างเงียบๆ
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกชะงักเล็กน้อย แล้วพูดต่อโดยไม่ต้องคิดมาก
“ตอนนั้นอิทธิฤทธิ์บรรพชนของข้าท่านนี้ไม่ต้องพูดถึง ว่ากันว่าเคยแอบต่อสู้กับชนต่างเผ่าระดับมหายานในละแวกใกล้เคียง และไม่เคยแพ้สักครั้ง แต่เนื่องจากเขาอยากบรรลุขั้นสุดท้าย จึงต้องเสี่ยงเข้าไปในแดนมาร เสาะหายาวิญญาณหายากสองสามชนิด ผลก็คือ ครั้งแรกๆ ยังนับว่าราบรื่น แต่ครั้งสุดท้ายกลับไปแล้วไปลับไม่กลับมา ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีก คาดว่าเป็นไปได้กว่าครึ่งที่พบเจออันตรายแปลกๆ และเสียชีวิตอยู่ในนั้น แต่ตอนที่เขาออกจากบ้าน ได้ทิ้งหนังสือลับเล่มนึงไว้ ในนั้นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแดนมารไว้ไม่น้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องที่เขาเห็นกับตาตนเองว่าสามมารผู้บุกเบิกกับชนเผ่าวิญญาณแท้คนหนึ่งสู้กันอย่างดุเดือด ตามที่บรรพชนสกุลเยี่ยของเราท่านนี้กล่าวเอาไว้ เขาถามตัวเองว่า อิทธิฤทธิ์ของตนมิได้อยู่ภายใต้ยุคของคนระดับมหายาน แต่อยู่ในมือมารผู้บุกเบิกตนนั้น ซึ่งต้านทานไว้ได้ไม่เกินเจ็ดถึงแปดกระบวนท่าอย่างแน่นอน กระทั่งถ้าถูกอีกฝ่ายพบเจอ ความมั่นใจที่จะหนีรอดไปได้ ก็มีไม่เกินครึ่งเท่านั้น และผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวกับใต้เท้ามั่วเจี่ยนหลี แม้มีอิทธิฤทธิ์อันล้ำลึกยากแท้หยั่งถึงเช่นกัน แต่ก็ไม่มีทางล้ำหน้าไปกว่าบรรพชนสกุลเยี่ยของเราท่านนี้มากนัก ถ้าประมือกับมารผู้บุกเบิกตนนี้…”
พอสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกพูดถึงตรงนี้ เสียงก็เคร่งขรึมลง แม้มิได้พูดจบ แต่ความหมายในคำพูดเห็นชัดว่า มิได้มองผลลัพธ์จากการต่อสู้ของผู้ที่อยู่ในระดับมหายานทั้งสองเผ่ากับมารผู้บุเบิกไปในแง่ดีสักเท่าไหร่
“ต่อให้อิทธิฤทธิ์ของมารผู้บุกเบิกร้ายกาจเช่นนั้นจริงๆ แต่ผู้ที่ประมือกับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องประมือโดยตรง พวกเขาในฐานะคนต่างแดน ทะลุแดนมาถึงแดนวิญญาณ ยังไม่ต้องพูดถึงขั้นบำเพ็ญเพียรที่ย่อมได้รับการกำราบ เพราะแดนวิญญาณอย่างไรก็เป็นสนามรบของพวกเรา สำหรับข้า ไม่ว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์ หรือพวกผู้อาวุโสมั่วเจี่ยนหลี น่าจะมีวิธีอื่นๆ ในการประมืออย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วเรายังจะสู้เพื่ออะไร พอได้ข่าวการมาจุติของมารผู้บุกเบิก ก็จัดการให้คนในเผ่าทั้งหมดอพยพหลบหนีไปแต่เนิ่นๆ แล้ว”
พอฟังจบ หานลี่ก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งขรึมลง ความคิดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จึงค่อยๆ พูด
“ข้าก็คิดเช่นนี้เช่นกัน มิฉะนั้นคงพาคนสกุลเยี่ยอพยพหนีไปก่อนแต่แรกแล้ว แต่ถ้าคนสกุลเยี่ยได้รับการปกป้องจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ แม้สองเผ่าเราต้องพ่ายแพ้จริงๆ คิดว่าสายเลือดสกุลเยี่ยเราก็ไม่ขาดผู้สืบทอดแล้ว”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกลับพูดอย่างสงบนิ่ง
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเซียนเยี่ยไปเจรจาโดยตรงกับคนของเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ได้นี่ เหตุใดต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับผู้แซ่หาน” หานลี่งุนงงอยู่บ้างจริงๆ
“เห็นทีสหายหานยังไม่รู้ถึงคุณค่าของตระกูลตนเองล่ะสิ!” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกยิ้มน้อยๆ ขณะพูด
“ท่านเซียนหมายความว่าอะไร” หานลี่อึ้ง
“อะแฮ่ม ต่อให้ไม่เกิดภัยพิบัติมาร พี่หานรู้สึกว่าผู้อาวุโสมั่วเจี่ยนหลีกับเอ๋าเซียวยังสามารถปกป้องสองเผ่าเราได้นานแค่ไหนกัน ผู้อาวุโสทั้งสอง คนหนึ่งเป็นไปได้กว่าครึ่งว่าไม่สามารถก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ใหญ่ครั้งต่อไปได้ อีกคนก็เข้าสู่ระดับมหายานมานานแล้ว น่าจะรับมือได้อีกไม่กี่ครั้ง แต่ในสองเผ่าเรา นอกจากผู้อาวุโสสองท่านนี้แล้ว ก็ไม่มีระดับมหายานท่านที่สามดำรงอยู่อีก ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่เหลืออยู่ ใครมีความหวังที่จะเลื่อนขึ้นสู่ระดับมหายานบ้าง ทางเผ่าปีศาจ ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นปรากฏขึ้น ส่วนเผ่ามนุษย์ทางนี้ ราชันศักดิ์สิทธิ์คนก่อนกับราชันอหังการก็มีโอกาสอันน้อยนิด แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับคุณสมบัติพลิกฟ้าเช่นนี้ของสหาย กลับเทียบกันไม่ได้แล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้าสองเผ่าเรามีวี่แววว่าจะพ่ายแพ้ศึกใหญ่ เกรงว่าเรื่องแรกที่เกาะศักดิ์สิทธิ์จะทำ ก็คือเชิญสหายไปอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ก่อน เช่นนี้ ต่อให้สองเผ่าเราต้องทิ้งถิ่นฐานในตอนนี้ไปจริงๆ แต่ถ้าหลังจากนี้อีกหลายปี ขอเพียงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานปรากฏขึ้น ก็ยังคงลุกขึ้นยืนในพื้นที่อื่นๆ ได้อีกครั้ง”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูด
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปมาระหว่างยินดีและหม่นหมอง สักพัก ในใจคลับคล้ายคาดเดาอะไรได้ จึงถาม
“สหายพูดเช่นนี้ เยินยอเกินไปแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความหมายโดยนัยของท่านเซียนเยี่ยก็คือ…”
“ข้ามีผู้อาวุโสสองสามคนที่ในร่างสืบทอดสายเลือดหงส์ฟ้า สายเลือดบริสุทธ์ที่สุดของสกุลเยี่ย ข้าอยากขอให้สหายรับพวกเขาไว้เป็นศิษย์ และก่อนเกิดศึกใหญ่ ให้ส่งพวกเขาไปเกาะศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ ของสหาย ขอเพียงพี่หานยอมรับปากเรื่องนี้ การเดินทางครั้งต่อไปในแดนมาร ข้ายินยอมเป็นม้าใช้ของสหายในทุกๆ เรื่อง”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกพลันพูดอย่างจริงจัง
“รับไว้เป็นศิษย์ ท่านเซียนเยี่ยล้อเล่นแล้ว!” หานลี่ขมวดคิ้ว แล้วสั่นศีรษะติดต่อกันตามจิตใต้สำนึก
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ศิษย์สกุลเยี่ยสองสามคนนี้ ข้ารับรองได้ว่าคุณสมบัติของแต่ละคนเหนือกว่าอัจฉริยะในความหมายทั่วไปอย่างแน่นอน หลังจากเป็นศิษย์ในสำนักของสหายแล้ว ขอเพียงชี้แนะอีกเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว ไม่เป็นภาระอะไรให้เป็นอันขาด”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกพูดอย่างขึงขัง
“แต่ผู้แซ่หานไม่มีเจตนาที่จะรับศิษย์อีก ท่านเซียนแค่อยากให้ศิษย์สกุลเยี่ยส่วนหนึ่งเข้าไปในเกาะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ใยต้องลำบากเช่นนี้เล่า! ท่านเซียนรู้สึกจริงๆ หรือว่าคำพูดของผู้น้อยจะมีผลบางอย่างกับเกาะศักดิ์สิทธิ์ ผู้แซ่หานกลับไม่ถือสาในการเขียนจดหมายสักฉบับให้กับเหล่าผู้อาวุโสที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะจัดการส่งศิษย์ในสำนักและศิษย์ในสกุลสูงศักดิ์ไปถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์ก่อนเปิดศึกใหญ่ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็พูดยากแล้ว ส่วนที่ว่าจะเป็นม้าใช้ ก็ไม่จำเป็นเลย ผู้น้อยเชื่อว่า ถึงตอนนั้นท่านเซียนเยี่ยจะมีทางเลือกอันชาญฉลาดเอง”
หานลี่ยิ้มเงียบๆ ก่อนพูดอย่างลึกซึ้ง
“เมื่อพี่หานพูดเช่นนี้ ก็ทำตามที่พี่หานพูดเถิด ข้าก็เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ถึงได้ทำการป้องกันเอาไว้ก่อน แต่เห็นทีผู้อาวุโสของข้ายังมีวาสนาไม่มากพอ จึงไม่สามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักของสหายได้ ส่วนก่อนหน้านี้ที่ว่าจะเป็นม้าใช้ เมื่อข้าพูดไปแล้ว ย่อมรักษาคำพูด สหายวางใจได้ จริงๆ แล้วต่อให้ไม่มีคำขอก่อนหน้านี้ การเดินทางในครั้งนี้ ข้าก็เตรียมที่จะกางปีกตามหลังสหายไปอยู่แล้ว”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกะพริบดวงตาเจ้าเล่ห์ขณะพูด
“อ้อ ท่านเซียนไว้วางใจผู้น้อยเช่นนี้ ต้องรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ ควรอิงตามสหายหล่งเป็นหลัก”
หานลี่ลูบคางไปมา มุมปากปรากฏรอยยิ้มขณะพูด
“เฮอะ สกุลหล่งคิดมิดีมิร้ายกับสกุลเยี่ยเราไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ข้าเลยไม่ค่อยไว้ใจตาเฒ่าประหลาดสกุลหล่งนั่น ที่ข้าทำเช่นนี้ ครึ่งหนึ่งเพราะคิดเผื่อคนรุ่นหลังเหล่านั้น อีกครึ่งหนึ่งก็คิดว่า หลังจากเข้าไปในแดนมารแล้ว สามารถร่วมมือกับสหายปกป้องตัวเองเท่านั้น ใครจะรู้ว่าเฒ่าประหลาดหล่งกับคนเผ่าวิญญาณเหล่านั้น ถึงตอนนั้นจะลอบวางแผนร้ายอะไรอีก ข้าไม่มีแผนที่จะถูกคนใช้ให้ไปตายในสงครามที่ไม่เป็นธรรม”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วตอบโดยไม่ต้องคิด
“ท่านเซียนเยี่ยคิดเช่นนี้นี่เอง นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เอาล่ะ ข้าจะสลักลงในจดหมายม้วนหนังสือหยกให้ท่านเซียนก็แล้วกัน คิดว่าสหายมีวิธีที่จะส่งมันถึงมือชนเผ่ามนุษย์ จากนั้นค่อยให้ศิษย์ในสกุลสูงศักดิ์นำมันพร้อมของรับรองตัวข้าไปยังเมืองเทียนหยวน พบศิษย์ของเราเป็นใช้ได้ เราเข้าแดนมารในครั้งนี้ อย่างน้อยก็หลายปี อย่างมากก็หลายสิบปี ล้วนเป็นไปได้ หลังจากออกมาแล้ว อาจไม่ทันร่วมทำศึกใหญ่กับมาร”
หานลี่ไม่วิพากษ์วิจารณ์มากมายอะไรอีก ยิ้มพลางพลิกฝ่ามือขึ้น พอแสงวิญญาณวาบ ก็มีม้วนหนังสือหยกหนึ่งชิ้นเพิ่มขึ้นมา
“ขอบคุณพี่หานมากๆ” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มแย้มอย่างปีติยินดี
หานลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก ใช้พลังจิตประทับตราลงบนม้วนหนังสือหยก แสงสีเขียวในมือพลันสว่างจ้า