A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2009 เตาหลอมแปรธาตุ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2009 เตาหลอมแปรธาตุ
เรือยักษ์สีเขียวหันหัวเรือมุ่งสู่มหาสมุทร แล้วพุ่งไปด้านหน้าต่อ โดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณที่อยู่ในเรือ กลับต่างคนต่างนั่งโคจรพลังในห้องของตนเงียบๆ เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมแฝงตัวเข้าไปในแดนมาร
ทุกคนล้วนชัดเจนดี อย่ามองว่าพวกเขาเตรียมตัวกันก่อนมานาน แต่การเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงชนิดยากพบพานในยามปกติอย่างแน่นอน ประมาทเพียงนิดเดียว กองทัพทั้งกองอาจถูกล้างบางจนดับสูญในแดนมาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ดังนั้น เป็นใครก็ตาม ในตอนนี้ล้วนต้องการความสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ละคนกำลังเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่แดนมารครั้งสุดท้าย
ในห้องๆ หนึ่งชั้นล่างสุดของเรือยักษ์ ผนังทั้งสี่ด้านกะพริบแสงห้าสีแบบแสงวิญญาณในเขตต้องห้าม กลับมี “หานลี่” สามคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบ นั่งขัดสมาธิเรียงกันอยู่
คนหนึ่งผิวกายเปล่งแสงสีทองอร่าม คนหนึ่งตลอดทั้งร่างกะพริบแสงสีเขียว อีกคนหนึ่งตลอดทั้งร่างมีไอสีดำจางๆ ไหลเวียนไม่หยุด
ซึ่งก็คือร่างเดิมของหานลี่ ร่างแปลงวิญญาณ และร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมโดยปราณก่อกำเนิดที่สอง
เดิมทีตอนที่หานลี่ถูกสามร่างอวตารผู้ยิ่งใหญ่ของเซวี่ยกวงตามล่าสังหารนั้น จำต้องปล่อยร่างสิงวิญญาณฉวี่เอ๋อร์กับทารกมารที่สองออกไปจากข้างกาย เพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อ
ส่งผลให้อิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดของกายวิญญาณหนีรอดจากการล่าสังหาร ส่วนอีกหนึ่งนั้น ปราณก่อกำเนิดระเบิดตัวเองจากการใช้ศาสตร์ลับ ทำให้วิญญาณมารส่วนหนึ่งโชคดีหนีพ้น
ตอนที่หานลี่กลับมาเมืองเทียนหยวนอีกครั้ง ย่อมใช้ศาสตร์ลับเรียกทั้งสองกลับมาใหม่แต่เนิ่นๆ
เพียงเสียดายที่กองทัพมารล้อมเมืองไว้ กายวิญญาณกับทารกมารจึงไม่กล้าผลีผลามกลับเมืองเทียนหยวน ได้แต่ซ่อนตัวอยู่นอกการล้อมของกองทัพมารชั่วคราว
กระทั่งเมืองเทียนหยวนขับไล่กองทัพมารออกไปได้ ทั้งสองจึงแฝงตัวเข้ามาในห้องลับเงียบๆ แล้วเข้ารวมร่างกับร่างเดิม ขณะหานลี่เข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บอยู่
เนื่องจากตัวทารกมารเองนั้น รู้จักเมืองเทียนหยวนกับที่พักเจดีย์ศิลาเขตต้องห้ามอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงมิได้ทำให้ผู้อื่นแตกตื่น
ส่วนกายวิญญาณของฉวี่เอ๋อร์ยังดี ระยะเวลาที่ห่างจากหานลี่ นางไม่เพียงไม่เป็นไร ขั้นบำเพ็ญเพียรยังมีวี่แววเพิ่มขึ้นนิดนึงด้วย
และเนื่องจากปราณก่อกำเนิดของทารกมารที่สอง เคยระเบิดตัวเองไปแล้วครั้งหนึ่ง แม้วิญญาณพิการส่วน
นั้น ได้ควบแน่นเป็นร่างปราณก่อกำเนิดใหม่ออกมา แต่พลังปราณย่อมสูญเสียไปกว่าครึ่ง
สภาวะนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ทั่วไป ย่อมเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสุดๆ เรื่องหนึ่ง ด้วยถ้าไม่เสียเวลาหลายสิบปีกระทั่งร้อยปีขึ้นไป ขยันหมั่นบำเพ็ญเพียร ก็ยากมากที่จะทำให้ทารกมารที่สองฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
แต่สำหรับหานลี่ซึ่งมียาเม็ดวิญญาณอีกโอสถวิเศษอยู่ในร่างแล้ว กลับไม่นับเป็นประสาอะไร
ขณะที่เขาใช้ยาเม็ดวิญญาณจำนวนมาก ช่วยปราณก่อกำเนิดหลักควบแน่นร่าง ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี พลังปราณซึ่งทารกมารที่สองสูญเสียไป ก็ชดเชยกลับคืนมาได้เจ็ดถึงแปดในสิบส่วน
ตอนนี้แม้ทารกมารที่สองยังมีสภาพไม่เท่ากับช่วงสุดยอด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ด้วยสามารถควบคุมร่างทองให้ต่อสู้ได้อีกครั้ง
ทว่าร่างเดิมของหานลี่มิได้สนใจการดำรงอยู่ของร่างแปลงทั้งสองข้างกายตนแม้แต่น้อย กลับใจจดใจจ่ออยู่แต่เตาหลอมน้อยสีม่วงใบหนึ่งซึ่งลอยอยู่ตรงหน้า
เตาหลอมน้อยนี้ มีขนาดเพียงไม่กี่นิ้ว เป็นแบบโบราณ เรียบง่ายแต่แปลกตา สลักอักขระยันต์ลึกล้ำไว้อย่างหนาแน่น แต่ตอนนี้กำลังถูกหานลี่พ่นเปลวแสงสีเขียวเป็นสายออกจากปากห่อหุ้มไว้
หานลี่พนมมือพลางจ้องเตาหลอมน้อยตาไม่กะพริบ และปล่อยเคล็ดวิชาเพลงแล้วเพลงเล่า ให้ซึมเข้าไปในเปลวแสงสีเขียวเป็นระยะ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง!
ขณะเปลวแสงสีเขียวกะพริบ คล้ายได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังออกจากเตาหลอม และคล้ายมีแถบแสงสีเทาขาวที่พร่ามัวครึ่งหนึ่งจมอยู่ในฝาเตาหลอม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกะพริบไม่หยุดอยู่นอกเตาหลอม
แถบแสงนี้กว้างไม่เกินนิ้วมือ แต่ขณะอยู่ในการห่อหุ้มของเปลวแสงสีเขียว กลับปราดเปรียวยิ่ง สั่นคลอนอย่างรุนแรงไม่หยุด ท่าทางหวาดกลัวเปลวแสงสีเขียวมาก
สีหน้าของหานลี่ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย แต่เคล็ดวิชาในมือที่ดีดออกกลับเร็วขึ้นเรื่อยๆ พอสีแท้ของเปลวแสงสีเขียวซึ่งพ่นออกจากปากเปลี่ยนสี ก็คล้ายกับมีแสงสีทองเป็นเส้นๆ อยู่ในนั้น
เสียงดัง ‘พรึ่บๆ’ แถบแสงสีเทาขาวเหมือนไม่สามารถทานทนต่อการแปรธาตุของเปลวแสงสีเขียวได้อีก สั่นอีกสักพักก็พุ่งออกจากเตาหลอม ควบแน่นเป็นดวงแสงสีขาวกลุ่มหนึ่ง พุ่งทะลุเปลวแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มอยู่ กำลังจะแหวกอากาศหนี
แต่หานลี่เหมือนคิดป้องกันปฎิกิริยานี้ไว้แต่แรก จึงดีดนิ้วๆ หนึ่งอย่างไม่ลนลาน
เสียงดังกัมปนาท ประกายแสงสีทองสายหนึ่งดีดตัวออกวาบ
ดวงแสงสีขาวส่งเสียงดังหงิงๆ แล้วกะพริบหายไปในประกายแสงสีทองทันที
“งานช้างสำเร็จ! คุ้มค่ากับเวลามากมายที่ข้าเสียไป ในที่สุดก็บีบให้จิตแบ่งของมารเฒ่านั่นออกไปได้ ตอนนี้เพียงใช้โลหิตบริสุทธิ์ปลุกเสกใหม่อีกรอบ ก็สามารถใช้สมบัติชิ้นนี้ได้ดังใจแล้ว”
พอหานลี่เห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลง พึมพำออกมาอย่างยินดีปรีดา
จากนั้นสองมือทำท่าร่ายอาคม พออ้าปากอีกครั้ง ก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์สีแดงสดออกมาคำหนึ่ง
เสียงดัง ‘ปัง’ ลมแรงกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่ง ซึมเข้าไปในเตาหลอมน้อย
พอเปลี่ยนท่าร่ายอาคม เปลวแสงสีเขียวก็สูงขึ้นเท่าตัว ล้อมเตาหลอมน้อยด้วยการหมุนไปรอบๆ ไม่หยุด
เตาหลอมน้อยก็คือ “เตาหลอมถ้อยคำม่วง” ชิ้นนั้นที่หานลี่แย่งมาจากมือของร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวง
แรกเริ่ม สมบัติในมือร่างอวตารเซวี่ยกวงชิ้นนี้ลึกล้ำยิ่ง กระทั่งหานลี่ก็ยังปวดเศียรเวียนเกล้ากับมัน ซึ่งเป็นสมบัติพิการชิ้นหนึ่งของสวรรค์ทมิฬเช่นกัน
เพียงแต่ตอนนั้น สมบัติชิ้นนี้แอบมีความเศร้าของมารเฒ่าอีกตนหนึ่งอยู่ด้านใน พอได้มา เขาจึงไม่กล้ารีบเอาออกมาปลุกเสกเพื่อใช้งาน ได้แต่วางไว้ข้างกาย แล้วใช้เปลวแสงแท้ค่อยๆ เพิ่มการปรับแต่ง
ซึ่งจิตมารสายนั้นมีความปราดเปรียวอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่าเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในเตาหลอมตลอดไม่ออกมา กระทั่งยังยืมพลังส่วนหนึ่งของสมบัติมาใช้ควบคู่ ต่อต้านอย่างขึงขัง
ทำให้หานลี่ต้องเสียเวลาหลายปี วันนี้ถึงบีบให้มันออกจากเตาหลอมได้สมใจ และทำลายมันได้จากการจู่โจมในคราวเดียว
ดังนั้น เตาหลอมถ้อยคำม่วงใบนี้ ต้องการแค่หยดโลหิตกับการปลุกเสก ก็จะกลายเป็นอาวุธสังหารในมือที่มีพลังการทำลายล้างสูงชิ้นหนึ่ง
ถ้าพูดถึงการแปรเปลี่ยนที่คาดเดาไม่ได้ของสมบัติเพียงอย่างเดียว อานุภาพของเตาหลอมถ้อยคำม่วงเห็นชัดว่าอยู่เหนือกว่าดาบพิการสวรรค์ทมิฬชิ้นนั้นที่ถูกแย่งไป นี่ก็นับว่าเสียไปได้มา เจ๊ากันไป
หานลี่ทำการปลุกเสกเตาหลอมน้อยยาวนานติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืน กระทั่งวันที่แปด ค่อยแสดงอาการลิงโลดออกมา สะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า แสงสีเขียวขมุกขมัวม้วนตัวออก เปลวแสงสีเขียวพลันหายวับอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่อ้าปากกว้าง หันไปทางเตาหลอมน้อยแล้วออกแรงดูด
หลังจากเตาหลอมน้อยหมุนอยู่กับที่รอบหนึ่ง ก็หดตัวเหลือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ พอเสียงดัง ‘ซู่’ ก็ปลิวมาติดแน่นอยู่ที่หน้าผากของเขา ไม่ขยับเขยื้อนอีก
หานลี่หลับตาลง เริ่มศึกษาและทำความเข้าใจการใช้อาคมต่างๆ ของเตาหลอมใบนี้
เตาหลอมถ้อยคำม่วงก็กะพริบแสงสีม่วงอ่อนไม่หยุดบนหน้าผากของเขา
ผ่านไปอีกสามวันสามคืน พอหานลี่ลืมตา ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา
ขณะนี้ อาคมกว่าครึ่งของเตาหลอมน้อยถูกเขาควบคุมไว้แล้ว
พอใช้มือข้างหนึ่งตบหน้าผากเบาๆ เตาหลอมน้อยก็วาบ ถูกเก็บเรียบร้อย
หานลี่ถอนหายใจเบาๆ ออกมา แล้วยืนอยู่ที่เดิม แสดงท่าทางครุ่นคิด ทันใด มีสีประหลาดวาบเข้ามาในดวงตา เขาจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้น แล้วอ้าปากพ่น
แสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออก ล้อมรอบแขนเสื้อเขาไว้
แขนเสื้อพลันขาดวิ่น แขนสีแทนพลันปรากฏ
บนแขนกลับมีรอยกระบี่สีเหลืองอ่อนสลักไว้รอยหนึ่ง ซึ่งก็คือสัญลักษณ์กระบี่แห่งสวรรค์ทมิฬซึ่งถูกปิด
ผนึกหลงเหลือไว้
ดวงตาของหานลี่เปล่งประกายแสงบริสุทธิ์ขณะจ้องมองรอยกระบี่บนแขน สีหน้ากลับมีความลังเลใจขึ้นมา
สักพัก เขาถึงกัดฟันแรงๆ ฝ่ามือของแขนอีกข้างหนึ่งกดลงบนแขนที่เปลือยเปล่า โคจรพลังภายในทันที
เห็นเพียงแสงสีทองทั่วร่างกะพริบ ฝ่ามือที่กดแขนอยู่ ปะทุคลื่นแสงสีทองเป็นระลอกออกมา ไหลเข้าไปในแขนอีกข้างอย่างรวดเร็วดุจกระแสน้ำ
รอยกระบี่สีเหลืองอ่อนที่ดูไม่โดดเด่นอยู่แต่เดิม ภายใต้การกระตุ้นของพลังวิญญาณบริสุทธิ์ กลับเปลี่ยนเป็นรอยที่ค่อนข้างชัดขึ้น และค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียว สีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น สุดท้าย แสงประหลาดสีเขียวเข้มชั้นหนึ่งก็เปล่งออก
มองจากระยะไกล คล้ายกระบี่โปร่งแสงสีเขียวเข้มเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง กำลังฝังตรงๆ ลงไปในแขนอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่จ้องมองภาพมายานี้พลางมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพลังวิญญาณสีทองที่กรอกเข้าไปในกระบี่กลับไหลไม่หยุด
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ กระบี่น้อยสีเขียวเข้มพลันสั่น ก่อนขยับและแหวกว่ายในแขนไม่หยุด คล้ายฟื้นคืนชีพก็มิปาน
หานลี่ใจหายวาบ จึงคลายฝ่ามือที่จับแขนอีกข้างลง พลังวิญญาณสีทองจึงวาบ ก่อนสลายหายไป
พริบตาที่กระบี่น้อยแหวกว่ายเมื่อครู่ แขนข้างนี้ทั้งข้างพลันร้อนสุดจะทนราวกับถูกไฟเผา ขณะเดียวกัน เส้นชีพจรที่แขนก็เจ็บปวดสุดจะเปรียบ ราวกับปริแตกทีละนิดและกำลังจะขาดออกจากกัน
จึงทำให้เขาสะดุ้ง รีบหยุดการกระทำเดิม
พอไม่มีการกรอกพลังวิญญาณเข้าไป กระบี่น้อยสีเขียวเข้มที่แหวกว่ายไม่หยุดพลันวาบแสง แล้วกลับไปอยู่ที่เดิมอีกครั้ง พอแสงวิญญาณถูกเก็บ ก็กลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม
หานลี่มองดูรอยกระบี่สีเหลืองอ่อนเงียบๆ พลางขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างอดไม่ได้
สักพัก ค่อยขยับมือข้างนี้ช้าๆ พอแสงสีเขียวชั้นหนึ่งบนแขนวาบ แขนเสื้อที่ขาดวิ่นก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว มองไม่เห็นรอยขาดใดๆ ของแขนเสื้อก่อนหน้านี้
แต่ตอนนี้ หานลี่กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ส่ายศีรษะแล้วบอกกับตัวเอง
“เห็นทีพลังยุทธ์ขั้นปลายระดับผสานอินทรีย์ยังไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้ แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าใช้ไม้แข็งเร่งเร้า กลับตอบสนองได้บ้าง เห็นทีถ้าต้องการควบคุมสมบัติชิ้นนี้จริงๆ จำต้องอยู่ในขั้นบำเพ็ญเพียรระดับมหายานถึงจะได้”
พอหานลี่พูดจบ ก็นั่งเหม่ออยู่กับที่อีกครู่หนึ่ง แล้วจึงหลับตา เข้าสู่สมาธิ ไม่ขยับเขยื้อนอีกครั้ง
…..
สองเดือนต่อมา เรือยักษ์สีเขียวเกิดชะงัก หยุดกลางอากาศกะทันหัน
หานลี่ย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการลืมตาขึ้น แล้วแสดงท่าทีเหมือนคิดอะไรอยู่
แทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ๆ เสียงบรรพชนตระกูลหล่งก็ดังขึ้นในห้องลับ
“พี่หาน รีบเข้าใกล้จุดเชื่อมต่อของทางที่เราจองไว้เร็ว เรือยักษ์พาหนะเหาะลำนี้เป้าหมายใหญ่เกินไป ไม่เหมาะกับพวกเราที่จะโดยสารต่อ จากนี้ไปพวกเราต้องเดินทางด้วยตัวเองแล้ว”
“เช่นนี้นี่เอง ผู้แซ่หานรับทราบ” หานลี่ส่งเสียงตอบเบาๆ กลับไป แล้วลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อเข้าใส่กำแพงสี่ด้านรอบๆ
ธงรบหกสีห้าเฉดหลายสิบผืนพลันโผล่ขึ้นในที่ว่างใกล้ๆ และกลายเป็นแสงวิญญาณสายแล้วแล้วเล่าหายเข้าไปในแขนเสื้อ
พอร่างของเขาขยับ ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกนอกห้อง
ขณะสายรุ้งสีเขียวกะพริบ และปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้านอกเรือยักษ์ ใกล้ๆ กันนั้น พวกบรรพชนตระกูลหล่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว กลุ่มหนึ่งสองเผ่า ก็ได้ยืนรออยู่แต่แรกแล้ว
หานลี่กลับมิใช่คนสุดท้ายที่ออกจากเรือยักษ์ ถัดจากเขา ชายผมยาวสกุลหลินกับปราชญ์เฒ่าเผ่าวิญญาณก็วาบออกมาจากด้านในตามลำดับ
และพอวาบออก ปราชญ์เฒ่าก็รีบหันไปทางเรือยักษ์สีเขียว ท่องคาถา แล้วจิ้มสองสามทีลงไปยังที่ว่าง
ทันใด เรือยักษ์ทั้งลำก็พร่ามัว หดตัวให้เล็กลงอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ก็กลายเป็นเรือไม้สีเขียวยาวราวหนึ่งศอก พอกะพริบ ก็ถูกปราชญ์เฒ่าเก็บเข้าไปในอกเสื้อ