A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2010 สวรรค์ทำนาย
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2010 สวรรค์ทำนาย
หานลี่กวาดสายตามองไปรอบๆ
ยังคงเห็นเพียงทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีครามที่อยู่ไกลๆ นอกจากก้อนเมฆขาวธรรมดา ก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นอีกแล้ว
“ตอนนี้ห่างจากจุดหมายปลายทางโดยใช้เวลาเดินทางเพียงสี่ถึงห้าวัน แม้ว่าจุดเชื่อมต่อไม่ใหญ่นัก และตั้งอยู่ในมุมที่ห่างไกลของแดนเสวียนอู่ แต่กองทัพมารในบริเวณนี้เป็นเผ่ามารที่กระหายเลือดและดุร้ายที่สุดในเผ่ามาร พวกมันชอบที่จะแข่งขันกันเองมากที่สุด ตอนนี้แดนเสวียนอู่เต็มไปด้วยไฟสงคราม ซึ่งวุ่นวายกว่าที่อื่นมาก ดังนั้นจึงต้องเดินทางด้วยความระมัดระวัง” บรรพชนตระกูลหล่งกล่าวกับทุกคนอย่างเคร่งขรึม
“มันเป็นเรื่องธรรมดา หากข้าเลือกจุดเชื่อมต่อเผ่ามารในเมืองเทียนหยวนตั้งแต่แรก ข้าอาจจะเสี่ยงอันตรายน้อยกว่านี้” ทันใดนั้นสาวน้อยในชุดขนนกพูดขึ้นอย่างเสียดาย
“ทางผ่านไปจุดเชื่อมต่อใกล้เมืองเทียนหยวนไม่สามารถเดินทางได้ ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ใช้ได้เพียงจุดเชื่อมต่อนี้เท่านั้นถึงจะสามารถไปยังชีพจรภูเขาเซวี่ยฉือของแดนมารได้ และชีพจรภูเขาเซวี่ยฉือในแดนมารนั้นเป็นสถานที่รกร้าง อีกทั้งยังมีมารที่ประจำการอยู่ที่นั่นไม่มากนัก ที่นั่นจึงไม่ค่อยมีอันตราย มิเช่นนั้นหากจะใช้จุดเชื่อมต่ออื่นในการเข้าสู่แดนมาร ไม่เพียงแต่เป็นการปล่อยแกะเข้าปากเสือ แต่พื้นที่ที่ปรากฏยังอยู่ห่างไกลจากที่ที่เราจะไป ดังนั้นเราต้องเดินทางเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า” บรรพชนตระกูลหล่งส่ายหน้า
“ข้าเพียงแค่พูดเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้พี่หล่งเป็นกังวล” สาวน้อยในชุดขนนกกลอกตาพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะทว่ากลับไม่พูดสิ่งใด
ในขณะนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกลับเหาะเหินมาทางบรรพชนตระกูลหล่ง หลังจากปรึกษากันสักพักด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก็เรียกคนอื่นๆ อีกสี่คนที่เดินทางร่วมกันมา
หลังจากที่บรรพชนตระกูลหล่งบอกกล่าวหานลี่และคนอื่นๆ จากนั้นจึงพาอาวุโสแซ่ฮุยในชุดสีดำเหาะขึ้นไปในอากาศ
เหลือเพียงหานลี่และคนอื่นๆ ที่กลายเป็นแสงสว่างจางๆ ติดตามไปอย่างใกล้ชิด
ในช่วงสี่วันต่อมา หานลี่และคนอื่นๆ ได้พบกับกลุ่มผู้พิทักษ์มารหลายกลุ่มที่ออกมาลาดตะเวน ทุกกลุ่มมีอย่างน้อยสิบตน มากที่สุดร้อยกว่าตน
ผู้พิทักษ์มารเหล่านี้แตกต่างจากเผ่ามารที่ปรากฏในเมืองเทียนหยวนมาก ไม่เพียงแค่มารแต่ละตนจะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเผ่ามารทั่วไป แต่เกราะมารบนร่างกายยังแกะสลักด้วยลวดลายมารสีน้ำเงินแปลกประหลาด ซึ่งดูน่ากลัวมาก
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของหานลี่และคนอื่นๆ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะฆ่าผู้พิทักษ์มารเหล่านี้ ทว่าพวกเขากลับซ่อนตัวและผ่านเหล่าผู้พิทักษ์มารไปอย่างเงียบๆ
เหล่าผู้พิทักษ์มารมีพลังยุทธ์สูงสุดก็แค่ระดับเทพแปลงเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับพวกตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกหานลี่ จึงไม่อาจค้นพบได้
ช่วงบ่ายของวันที่สี่ ในที่สุดจุดสีดำก็ปรากฏขึ้น ณ สุดขอบทะเลที่อยู่เบื้องหน้า หากเหาะเหินเข้าไปใกล้อีกนิดจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
จุดดำเหล่านั้นคือเกาะปะการังที่โดดเด่น มีทั้งเล็กและใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
เกาะขนาดเล็กมีความกว้างเพียงไม่กี่ลี้ ทว่าเกาะขนาดใหญ่กลับมีความกว้างหลายร้อยลี้ และกระจายอยู่ทั่วบริเวณทะเลด้านหน้า
“สหายเชียนชิว ด้านหน้าอาจจะมีมารระดับสูงประจำการอยู่ ดังนั้นต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว นอกจากนี้ สหายคนอื่นๆ ก็กลืนไข่มุกมารที่แจกให้ก่อนหน้านี้ไปได้แล้ว ถ้าหากร่องรอยถูกเปิดเผย สามารถกระตุ้นปราณมารที่อยู่ภายในได้ทันที จะยังคงสามารถเอาตัวรอดผ่านไปได้” บรรพชนตระกูลหล่งฟังเสียงในความมืด พลางพูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและคนอื่นๆ อย่างสุขุม
“แน่นอน เพื่อการเดินทางในครั้งนี้ ข้าต้องมานะบากบั่นใช้เวลาถึงร้อยปีเพื่อหลอมเจ้าสิ่งนี้” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ครั้นเมื่อนางพลิกฝ่ามือ ทันใดนั้นจึงเกิดกลุ่มควันพร้อมกับธงในฝ่ามือ เมื่อแกว่งไกวจึงมีดอกไม้แปลกๆ สีขาวนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากอากาศ จากนั้นดอกไม้เหล่านั้นจึงระเบิดออก
หมอกขาวโพลนแผ่กระจายในอากาศ จากนั้นหมอกที่เกาะเป็นกลุ่มก้อนขนาดราวๆ หนึ่งหมู่ จึงปกคลุมหานลี่และคนอื่นๆ
หานลี่หรี่ตาเหลือบมอง ทว่าไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายแต่อย่างใด
ในชั่วพริบตา กลุ่มหมอกขาวโพลนก็กลืนกินทุกคนที่อยู่ในนั้น
ในขณะเดียวกัน สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกลับพึมพำอะไรบางอย่าง พร้อมทั้งโบกธงไปมา
ภาพฉากอันแปลกประหลาดจึงได้ปรากฏขึ้น
อักขระยันต์ห้าสีปรากฏออกมามากมายจากหมอกสีขาวขุ่น ครั้นเมื่อรวมกับร่างที่อยู่ด้านในจึงกลายเป็นภาพที่เลือนรางและบางเบา จากนั้นจึงกลายเป็นความว่างเปล่าไปในที่สุด
สาวน้อยในชุดขนนกและคนอื่นๆ อดดีใจไม่ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
หานลี่มีท่าทีสงบนิ่ง ทว่าดวงตาของเขากลับเป็นประกาย จิตสัมผัสถูกปลดปล่อย กวาดสำรวจภายในม่านหมอก
เพียงแค่ชั่วครู่เดียว ดวงตาพลันวาบประกายแปลกประหลาด
ไม่รู้ว่าหมอกนี้มีแฝงไว้ด้วยอิทธิฤทธิ์ใด หลังจากกวาดล้างด้วยจิตสัมผัสอันทรงพลังไปรอบนึ่ง กลับรู้สึกว่างเปล่า ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ความคิดของหานลี่ครุ่นคำนึงอย่างรวดเร็ว แสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นในรูม่านตาของเขา
ด้วยอำนาจของเนตรวิญญาณกระจ่าง ในที่สุดจึงเห็นหมอกสีขาวที่กลายเป็นม่านกำบังชั้นหนึ่ง
ท่ามกลางเนตรวิญญาณกระจ่าง กลับเห็นเป็นเพียงม่านหมอกชั้นบางๆ เท่านั้น แปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบมิได้
หานลี่รู้สึกโล่งใจ และแสงสีฟ้าในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป
ครั้นเมื่อนึกถึงประสิทธิผลของการปกปิดระดับนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถคุกคามเขาได้ นอกจากเผ่ามารที่เชี่ยวชาญในวิชาพิเศษบางอย่างแล้ว โดยปกติแล้วเผ่ามารระดับสูงจะไม่สามารถค้นพบได้ ทว่าก็เพียงพอแล้วเพื่อปกปิดกลุ่มของตนในการแอบเข้าไปในจุดเชื่อมต่อนั้น
ไม่เพียงแต่หานลี่ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หลินสาวน้อยในชุดขนนกและคนอื่นๆ ก็ค้นพบความลึกลับของม่านหมอกได้เช่นกัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความแปลกประหลาดนี้
แม้แต่บรรพชนตระกูลหล่งยังแสดงออกถึงความพึงพอใจอย่างมากเช่นกัน
สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวโยนธงที่อยู่ในมือออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นแสงสีขาวก็หมุนวนอยู่โดยรอบ กลุ่มหมอกค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ โดยไร้สุ้มเสียง
หานลี่และคนอื่นๆ กลืนไข่มุกสีดำลงไป หลังจากรวบรวมลมหายใจ พวกเขาจึงทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับกลุ่มหมอกที่ปกคลุมพวกเขาอยู่
ภายในชั่วพริบตา ทุกคนก็เหาะเข้าไปในเกาะปะการังที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
……
กลางอากาศห่างจากพวกเขาหลายร้อยลี้ เกิดระลอกการเคลื่อนไหวขึ้นคราหนึ่ง ปรากฏดวงแสงสีแดงอ่อนกะพริบวาบขึ้น
ครั้นเมื่อเกิดแสงสว่างวาบ ก็มีร่างสองร่างโผล่ออกมากลางอากาศ
หนึ่งในนั้นคือหญิงงามสวมชุดชาววังสีขาว กำลังเล่นเหรียญทองแดงสีม่วงในมือด้วยแววตาเย็นยะเยือกดุจดั่งสายน้ำ
และชายฉกรรจ์เผ่ามารร่างใหญ่ในชุดเกราะสีดำที่ยืนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจอยู่ข้างๆ สตรีนางนั้น ใบหน้าอ่อนน้อมถ่อมตน
“เฮยเอ้อ เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะเปิดแท่นบูชาที่นี่เพื่อทำนายอีกครั้ง” เหรียญทองแดงสีม่วงในมือของหญิงสาวหายไปในทันใด ในขณะที่นางออกคำสั่งกับชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำ
“นายท่าน การแว้งกัดจากการทำนายครั้งที่แล้วของท่านยังไม่ถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ ข้าเกรงว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีที่ท่านจะใช้อิทธิฤทธิ์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในระยะเวลาสั้นๆ” ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำตกใจเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น เขาจึงตอบกลับด้วยความลังเล
“หลังจากทำการทำนายสองครั้งติดต่อกัน ร่างกายของข้าย่อมได้รับภาระไม่น้อย ทว่าหากพลาดโอกาสที่อยู่ตรงหน้า ข้าเกรงว่าจะพลาดโอกาสเดียวในการฟื้นฟูของข้าด้วย เมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายเพียงเล็กน้อย ถือว่าไม่เป็นอะไร” หญิงสาวในชุดชาววังตอบกลับอย่างเย็นชา
“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงกลุ่มผู้บำเพ็ญไม่กี่คน หากนายท่านวางใจ โปรดมอบกระบองเขย่าปราณให้ข้า เฮยเอ้อยินดีที่จะฆ่าเหล่าผู้บำเพ็ญเพื่อนายท่าน และแสวงหาโอสถวิญญาณให้นายท่าน” ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำกล่าวอย่างซื่อสัตย์ด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม
“แม้ว่ากระบองเขย่าปราณจะมีพลังมหาศาล ทว่าพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ยังไม่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้เหรียญทองแดงแห่งโชคชะตายังมีคำเตือน ซึ่งหมายความว่าคนเหล่านี้ต้องมีวิธีรับมือกับกระบองเขย่าปราณอย่างแน่นอน หากเจ้ารับไป อาจจะใช้ไม่เป็นผล มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ตัดสินใจเช่นนี้ เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เริ่มเตรียมตัวได้ พวกเขาจะลงมือในไม่ช้า หากล่าช้ามากกว่านี้ จะต้องใช้พลังอย่างมากในการไล่ตามพวกเขา” หญิงสาวในชุดชาววังเหลือบมองชายฉกรรจ์ พลางพูดเบาๆ
“ขอรับนายท่าน ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้!” เมื่อเฮยเอ้อเห็นว่าหญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไปและตอบรับคำสั่ง พร้อมทั้งพุ่งตัวออกไปด้วยลำแสงสว่างวาบ
งานร่างพลันกะพริบวาบ เฮยเอ้อก็พุ่งออกมาจากกว่าร้อยจั้ง จากนั้นจึงยกทั้งสองมือขึ้น
สิ่งของทั้งแปดโบยบินออกมา และหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศพร้อมกับเสียงดังหึ่งๆ อยู่รอบๆ หลังจากหมุนวนได้รอบหนึ่ง
ก็ปรากฏหุ่นไม้สีดำแปดตัวขึ้น!
แต่ละตัวสูงไม่เกินครึ่งฉื่อ ทว่าศีรษะกลับใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับลำตัว และสีหน้าของแต่ละตัวก็แตกต่างกัน มีทั้งยินดี โกรธ เศร้า ปีติ ราวกับว่ามีชีวิตจริงๆ
หลังจากที่ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำปล่อยหุ่นไม้แปลกๆ ทั้งแปดตัวแล้ว การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่ได้หยุดนิ่ง ทันทีที่เขาหมุนตัวอยู่กับที่ หินปูพื้นนับร้อยแผ่นก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา เมื่อเขาหมุนตัวไปรอบๆ ด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้นแผ่นหินปูพื้นกลับกลายเป็นแท่นหินสีเขียวมรกตที่มีความสูงเจ็ดถึงแปดจั้งในทันที
บนพื้นผิวของแท่นหินสลักลวดลายดอกไม้สีเขียวมรกตนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีกลิ่นอายอำมหิตที่มิอาจบรรยายได้
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำพลิกฝ่ามืออีกครั้ง ทันใดนั้นในมือของเขาก็มีลูกกลมแวววาวสีน้ำเงินสว่างไสว จากนั้นเขาจึงโยนมันลงสู่ทะเลเบื้องล่าง
แสงสว่างแวววาวค่อยๆ หายไปพร้อมกับลูกกลมที่จมดิ่งลงสู่ทะเล
ทว่าชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำกลับยกนิ้วขึ้นและชี้ลงไปข้างล่างเล็กน้อย
‘ตู้ม!’ เสียงระเบิดดังสนั่น
ทะเลเบื้องล่างปั่นป่วนสนั่นหวั่นไหว คลื่นลูกใหญ่ก่อตัวสูงกว่าหลายร้อยจั้งอย่างน่าตกใจ
เมื่อคลื่นทะเลลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทันใดนั้นม่านน้ำสีฟ้าจึงก่อตัวขึ้นปกคลุมแท่นหินและหุ่นไม้ทั้งแปดตัวที่อยู่ข้างเคียง
“นายท่าน แท่นบูชาได้รับการจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถร่ายอาคมได้แล้ว!” ชายฉกรรจ์ถอนหายใจอย่างโล่งใจ พร้อมทั้งยกมือคารวะกลางอากาศและกล่าวด้วยความเคารพ
หญิงสาวในชุดชาววังที่อยู่กลางอากาศพยักหน้าเมื่อเห็นดังนั้น จากนั้นจึงทิ้งตัวลงไปในม่านน้ำอย่างไม่ลังเล
หญิงสาวยกมือขึ้นมาหนึ่งข้างอยู่ในท่าร่ายอาคม พร้อมทั้งท่องคาถา ทันใดนั้นจึงเกิดแสงสีฟ้าเป็นชั้นๆ ภายในม่านน้ำ
ห้วงอากาศใกล้เคียงเกิดการบิดเบี้ยว จากนั้นม่านน้ำทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นใสกระจ่างและหายไปในที่สุด
ในเวลาเดียวกันนั้น รอบแท่นหินในม่านแสง หุ่นไม้ทั้งแปดที่อยู่กับกับที่ก็ค่อยๆ เคลื่อนไปยังมุมทั้งสี่ของแท่นหิน
ในแต่ละมุมนั้นของแท่นหิน มีหุ่นไม้สองตัวยืนชิดติดกัน