A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2030 วิญญาณสมุนไพรลี้ลับ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2030 วิญญาณสมุนไพรลี้ลับ
“คนเหล่านี้มีตาหามีแววไม่จริงๆ ที่คิดว่ากระดูกวิญญาณสมุนไพรเป็นกระดูกวิญญาณแท้ไปได้ ถ้าเจ้าของที่นำมันออกมาประมูลรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะเสียใจจนกระอักโลหิตตายหรือไม่” หานลี่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พูดในใจพลางยิ้มบางๆ เหมือนดีใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
“กระดูกวิญญาณสมุนไพรนี้ถ้าใช้ปรุงยา ก็แทบจะทดแทนยาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานได้สิบกว่าชนิดแล้ว แต่คนทั่วไปไหนเลยจะรู้จักของเช่นนี้ มีก็แต่ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์ระดับพระกาฬอย่างนายท่านนี่ล่ะ” ฉวี่เอ๋อร์เยินยอเสียใหญ่โต
“ข้าต้องอ่านบันทึกหนังสือโบราณของชนต่างเผ่าส่วนหนึ่ง และออกไปตรวจดูด้วยตัวเอง ถึงจะแยกแยะออกมาได้ แต่เด็กสาวอย่างเจ้า เหตุใดถึงรู้ความลึกล้ำของมันก่อน หรือเริ่มแรกก็รู้แล้วว่ากระดูกวิญญาณนี้คือกระดูกวิญญาณที่วิญญาณสมุนไพรลี้ลับหลงเหลือไว้” หานลี่คล้ายถามต่อแบบไม่คิดอะไรมาก
“เรียนนายท่าน ก่อนที่ใต้เท้าเห็ดเซียนจะลาโลกไปเกิดใหม่ เคยถ่ายทอดความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับวิญญาณสมุนไพรลี้ลับให้กับข้า ซึ่งถ้าร่างวิญญาณเห็ดเซียนนั่นแปรธาตุและดูดซับกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ได้ ก็ไม่เพียงแต่ได้เพิ่มพลังยุทธ์จากการชำระล้างไขกระดูกตามคัมภีร์อี้จิง กระทั่งยังได้รับอิทธิฤทธิ์บางอย่างของเจ้าของดั้งเดิมกับเบาะแสแหล่งกำเนิดมาด้วย มีความหวังที่กายวิญญาณจะบรรลุแนวต้านคอขวดเดิม เข้าสู่ระดับมหายานแล้ว” ฉวี่เอ๋อร์ตอบด้วยความรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ
ร่างวิญญาณเห็ดเซียนของหานลี่ผ่านการฝึกฝนควบคู่กับนางมาหลายปี จนเกือบจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างเดิมของนางแล้ว ดังนี้ หากกายวิญญาณได้รับอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น ย่อมเป็นประโยชน์ต่อนางไม่น้อย
“กายวิญญาณคือร่างเห็ดเซียน เดิมทีก่อนผสานอินทรีย์ ก็แทบจะไม่มีปัญหาคอขวด แม้หลังจากผสานอินทรีย์แล้ว จะเจอปัญหาสองสามครั้ง ก็ผ่านมาอย่างง่ายดาย เดิมทีข้ายังกังวลอยู่ว่า ตอนมันเข้าสู่ช่วงสุดของขั้นปลาย อาจยากที่จะเลื่อนขั้นได้อีก ตอนนี้เมื่อมีกระดูกวิญญาณสมุนไพรท่อนนี้ คิดว่าไม่มีปัญหาแล้ว บางทีนะ ข้าก็อิจฉาวิญญาณแปลงที่มีร่างวิญญาณอย่างพวกเจ้ามาก แนวต้านที่พวกเจ้าเจอตอนเลื่อนระดับขั้น ยังน้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วนของวิญญาณมีชีวิตทั่วไปอีก ขอเพียงบำเพ็ญเพียรได้เพียงพอ ก็สามารถทลายข้อจำกัดที่เป็นคอขวดได้อย่างง่ายดาย” จู่ๆ หานลี่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนพูด
“แต่นายท่าน วิญญาณสมุนไพรอย่างเราใช้เวลาในการสะสมพลังงานยาวนานมาก บ่อยครั้งมากกว่าวิญญาณมีชีวิตทั่วไปหลายแสนเท่า ถ้าต้องประสบกับปัญหาคอขวดที่ยากลำบากเหมือนกันอีก ระหว่างแต่ละดินแดน จะยังมีวิญญาณสมุนไพรปรากฏอยู่หรือ ยิ่งไม่มีทางมีกระดูกวิญญาณสมุนไพรท่อนนี้หลงเหลืออยู่แล้ว” ฉวี่เอ๋อร์หัวเราะคิกคักก่อนพูด
“เหตุผลนี้ข้าก็รู้ เพียงแต่รู้สึกท้อแท้เป็นบางขณะเท่านั้น อย่างไรการที่ข้าสามารถฝึกฝนมาถึงระดับนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีวาสนาอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องที่เพ้อฝันไปจริงๆ เอาล่ะ กระดูกวิญญาณสมุนไพรท่อนนี้ แม้มีอายุเก่าแก่ แต่ความทรงจำที่อยู่ด้านในน่าจะหลงเหลืออยู่ไม่น้อย เจ้าระบุให้ข้าก่อนหน่อยว่า เป็นวิญญาณสมุนไพรลี้ลับชนิดใดหลงเหลือไว้ แล้วแปรธาตุมันเลย หึๆ พูดอีกอย่างก็คือ นอกจากร่างวิญญาณสมุนไพรเหมือนกันแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดความทรงจำในกระดูกวิญญาณนี้” หานลี่หัวเราะเบาๆ ก่อนพูด
“นายท่านวางใจ ขอเวลาข้าสักสองสามวัน ก็รู้แล้วว่าเจ้าของดั้งเดิมของกระดูกวิญญาณปีศาจนี้ เป็นวิญญาณปีศาจที่อยู่ในระดับลึกล้ำชนิดไหน แต่นายท่าน ถึงแม้กายวิญญาณเข้าสู่ระดับมหายานแล้ว แต่ระดับบำเพ็ญเพียรของผู้น้อยเองต่ำไปบ้าง การติดอยู่กับกายนี้ อย่างมากก็สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ห้าบรรลุของกายวิญญาณเท่านั้น และหลังจากวิญญาณสมุนไพรเข้าสู่ระดับมหายาน ก็ไม่สามารถเทียบได้กับผู้ดำรงอยู่ในระดับมหายานทั่วไป มีก็แต่วิชาซ่อนตัวและหลบหนี ที่ได้รับอิทธิฤทธิ์มหากาฬอันเหลือเชื่ออยู่บ้าง” ฉวี่เอ๋อร์ลังเลสักพัก ก่อนพูดเตือนสติ
“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไม่เป็นไร การมีผู้ช่วยระดับมหายานที่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ห้าบรรลุได้ ต่อให้อ่อนด้อยหน่อย ก็เพียงพอที่จะปกป้องข้าขณะท่องแดนวิญญาณแล้ว” หานลี่ยิ้มน้อยๆ พลางตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“นี่ก็ใช่ แต่แม้มีวิธีพลิกฟ้าในการยกระดับพลังยุทธ์ของกายวิญญาณ เกรงว่ายังต้องใช้เวลานานหนึ่งร้อยกว่าปีขึ้นไป จึงจะทำให้พลังยุทธ์ของร่างบรรลุสภาวะสุดยอดของขั้นปลาย นายท่านต้องอดทนรออีกระยะ ช่วงนี้ ฉวี่เอ๋อร์ยังต้องควบคุมพลังยุทธ์ทั้งหมดของกายวิญญาณเพื่อทำการแปรธาตุกระดูกวิญญาณปีศาจนี้ เกรงว่าจะไม่สามารถช่วยนายท่านต่อสู้ศัตรูแล้ว” ฉวี่เอ๋อร์ยิ้มพลางพูด
“สามารถมีผู้ช่วยขนาดนี้ เวลาแค่นี้ข้ารอได้ ระหว่างที่อยู่ในแดนมาร ข้ายังมีไม้เด็ดอื่นๆ ติดตัว น่าจะปกป้องตัวเองได้หายห่วง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจอะไร เริ่มทำการแปรธาตุกระดูกวิญญาณได้เลย” หานลี่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็รีบตอบกลับอย่างไม่สนใจ
จากนั้นแสงสีเขียวในแขนเสื้อก็วาบ กระดูกวิญญาณสีเขียวขนาดไม่กี่นิ้วท่อนหนึ่ง โผล่ขึ้นมาในมืออย่างไร้สุ้มเสียง พอสั่นไหว ก็หายวับไปอย่างน่าพิศวง
“เจ้าค่ะนายท่าน ฉวี่เอ๋อร์จักทำการแปรธาตุกระดูกวิญญาณให้ได้เร็วที่สุด!” ฉวี่เอ๋อร์ตอบอย่างปลาบปลื้ม จากนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
หานลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่ส่งเสียงอะไรอีกเช่นกัน ดึงหมวกติดเสื้อคลุมลง เดินทอดน่องไปด้านหน้าต่อ
เขาในตอนนี้ยังไม่คิดกลับที่พัก แต่เดินไปยังร้านขายวัตถุดิบร้านหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้น
เมื่อสองวันก่อน ตอนที่เขาตรวจดูวัตถุดิบในร้านนี้ แม้ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา แต่เถ้าแก่ของร้านกลับบอกว่า อีกสองวันจะมีวัตถุดิบจำนวนมากส่งมาจากช่องทางอื่น ในนั้นมีโลหะประหลาดขนาดไม่เล็กอยู่สองสามก้อน
ผู้พูดไม่ได้ตั้งใจพูด แต่ผู้ฟังตั้งใจฟัง
วันนั้นหานลี่จดจำเรื่องนี้ไว้ วันนี้พอถึงเวลา เขาย่อมไปดูๆ สักหน่อย ดูว่าจะหาลูกปัดผลึกที่แฝงพลังงานลึกลับจากโลหะประหลาดเหล่านั้นได้อีกหรือไม่
อย่างไรลูกปัดผลึกหนึ่งเม็ดก็ช่วยประหยัดเวลาบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากไปได้ร้อยปี ถ้าหาเจออีกเม็ด ก็จะทำให้หานลี่ประหยัดเวลาฝึกตนไปได้อีกมาก
เรื่องดีเช่นนี้ หานลี่ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ ตั้งใจที่หามาอีกสักสองสามเม็ด
แต่พอหานลี่เดินเลี้ยวถนนอีกสองสามสาย ด้านหน้าพลันมีมารชายรูปร่างสูงใหญ่เพิ่มขึ้นมาสองตน ขวางทางไว้อย่างเย็นชา
หานลี่กวาดตามอง แวบแรกก็ดูออกแล้วว่ามารสองตนนี้อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง โดยตนหนึ่งไอร้อนในร่างคุกรุ่น อีกตนปล่อยไอเย็นออกมา เห็นชัดว่าแต่ละตนมีวิชามารเฉพาะของตัวเอง
เขาอยู่ห่างจากมารตนที่สองราวสามสี่จั้ง จึงหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนพูดโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ
“ท่านทั้งสองมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มี ก็รีบหลีกทาง ผู้แซ่หานมีเรื่องสำคัญต้องทำ”
“สหายอย่าเพิ่งรีบร้อน ผู้ที่ต้องการพบเจ้าไม่ใช่เราสอง แต่เป็นฮูหยินบ้านเรา ฮูหยินอยากเชิญสหายไปนั่งพักที่บ้านข้างๆ” มารชายปากกว้างจมูกโด่งชี้ไปที่ด้านข้าง ก่อนพูดอย่างใจเย็น
หานลี่เลิกคิ้วขึ้น เหลือบมองไปด้านข้างตามนิ้วของเขา
เห็นเพียงด้านข้างมีบ้านอยู่หลังหนึ่งลักษณะคล้ายร้านเหล้าเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน สตรีมารสวมชุดกระโปรงยาวสีดำผู้หนึ่งกำลังนั่งตัวตรงอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง จ้องมองมาที่เขา
พอเห็นหานลี่มองมา นางก็ยิ้มหวานให้ กลับมีท่าทีหว่านเสน่ห์อยู่บ้าง
และขณะนั้น หูของหานลี่ก็ได้ยินเสียงที่นางส่งมา
“สหายไยต้องรีบร้อนขนาดนี้ เข้ามาจิบน้ำชาสักถ้วยดีไหม ข้ามีเรื่องพูดคุยกับสหายนิดหน่อย”
“มาเพราะกระดูกวิญญาณท่อนนั้นสินะ!” หานลี่ทอประกายตาวาบ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
“คิกๆ สหายฉลาดเกินคนจริงๆ ข้ามาเพื่อการนี้จริง ขอเพียงสหายยอมโอนกระดูกวิญญาณให้ ข้าก็จะยอมใช้ของวิเศษอื่นๆ แลกเปลี่ยนกับของชิ้นนี้ โดยไม่ทำให้สหายเสียเปรียบอย่างแน่นอน” สตรีมารคนสวยยิ้มน้อยๆ
“ไม่สนใจ กระดูกวิญญาณ ข้าไม่ให้” หานลี่พูดอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ขยับเท้าที่หยุดชะงักเมื่อครู่ ก้าวไปข้างหน้า กะเดินผ่ากลางระหว่างมารชายทั้งสองไป
สตรีมารคนสวยได้ยินคำตอบที่ไร้น้ำใจเช่นนี้ หน้าตาก็บูดบึ้ง อับอายจนขุ่นเคืองไม่รู้ตัว จึงขยับริมฝีปาก ลอบสั่งลูกน้อง
พอมารชายสองตนได้ยินเสียงที่ส่งมา ก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากสบตากัน ไหล่พลันแกว่ง พุ่งไปยังกึ่งกลางพร้อมกัน ดูเหมือนช้าเล็กน้อย แต่พลังปราณหนึ่งร้อนหนึ่งเย็น กลับม้วนตัวไปถึงก่อนหานลี่ก้าวหนึ่ง
พลังปราณสองขุมผสานกันตรงหน้าหานลี่ แล้วระเบิดเสียงดังลั่น ขยายใหญ่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว กะบีบหานลี่ให้ถอยกลับเข้าไป
ถ้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั่วไปเห็นภาพนี้ คงได้แต่ถอยกลับที่เดิมอย่างช่วยไม่ได้ แต่สีหน้าของหานลี่ทั้งไม่ยินดี ไม่เศร้า และไม่มีท่าทีหลบหลีกแต่อย่างใด เพียงวาบแสงสีทองอ่อนๆ บนร่าง พลังปราณสองขุมก็ชนเข้ากับแสงวิญญาณปกป้องร่างของเขาทันที
เสียงดัง ‘โครม’ ราวกับฟ้าร้อง พลังปราณที่น่าเกรงขามสุดๆ ขุมหนึ่งวาบหายบนร่างของหานลี่
สองพลังปราณร้อนเย็นพุ่งออกในพริบตา สองมารตกใจ ไม่ทันระวังมือทั้งสองที่ทยอยกันแยกออกของหานลี่ ที่ทำการต้านพลังปราณซึ่งทั้งสองปล่อยออก
ถัดมา ทั้งสองก็กรีดร้องพร้อมกัน ร่างพลันก้าวถอยหลังตุปัดตุเป๋ราวกับดื่มสุราเมามายมาก็มิปาน และทุกก้าวที่ถอยหลัง ทั้งสองต่างกระอักโลหิตบริสุทธิ์ออกมาเจ็ดแปดส่วน
หลังจากนั้น แม้ทั้งสองพยายามยืนให้มั่น แต่สีหน้ากลับซีดขาวราวกระดาษ ร่างหนึ่งไหม้เกรียมดำสนิทไปหมด อีกร่างขาวโพลนไปหมด กลับปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งชั้นหนึ่ง
ตอนนี้มารชายทั้งสองล้วนทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
สตรีมารนางนั้นก็ตกใจ ลุกพรวดขึ้น จ้องมองแผ่นหลังของหานลี่อย่างตะลึงงัน ไหนเลยจะกล้าไล่ตามแม้ครึ่งก้าว
ส่วนหานลี่กลับวาบผ่านระหว่างมารชายทั้งสองไปอย่างสบายๆ เดินตัวปลิวโดยไม่หันหลังกลับ
เมื่อเล่นใหญ่ขนาดนี้ มารที่เดินผ่านไปมากับที่อยู่ในร้านค้าย่อมสังเกตเห็น แต่ส่วนใหญ่ได้แต่มองจากระยะไกล ซุบซิบกันสองสามคำ แล้วต่างคนต่างก็ทำธุระของตนต่อ ไม่มีท่าทีสนใจอะไรมากนัก
อย่างไรเมืองเซวี่ยยาก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน ขอเพียงไม่มีการเรียกของวิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจออกมา ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกว่าร้อยครั้งในแต่ละวัน
“ฮูหยิน พวกเราไร้สามารถ สกัดกั้นคนผู้นี้ไม่ได้”
มารชายทั้งสองพยายามกดอาการบาดเจ็บภายในไว้ แล้วรีบก้มหน้ารายงานผลให้สตรีมารฟังอย่างคับข้องใจ
“พวกเจ้าทั้งสองรวมพลังกันก็แทบจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาช่วงสมบูรณ์ของขั้นปลายแล้ว แต่เพิ่งพบหน้ากันแท้ๆ กลับถูกฝ่ายตรงข้ามบีบเสียจนมีสภาพเช่นนี้ หรือคนผู้จะนี้เป็นจอมมารที่ปลอมตัวมา” สตรีมารสูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็เก็บความตื่นตกใจบนใบหน้าลงได้บ้าง
“ส่วนมากเป็นเช่นนี้ ฮูหยินยังจำสามพี่น้องสกุลหนานที่เราเจอเมื่อสองวันก่อนได้ไหม พวกเขาสามคนรวมพลังกัน สามารถต่อสู้กระทั่งระดับจอมมารขั้นต้นได้ พวกเขาแฝงตัวแปลงโฉมเข้ามาในเมืองนี้ได้อย่างไร ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองเซวี่ยยาประหลาดยิ่ง เหมือนมีผู้ซึ่งอยู่ในระดับบำเพ็ญเพียรที่ยากแท้หยั่งถึงเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง หรือที่นี่กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น” มารชายตนหนึ่งบ่นพึมพำอย่างหวาดผวา