A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 2031 เงามารยามวิกาล
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 2031 เงามารยามวิกาล
“เมืองเซวี่ยยาแม้ไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งเดียวในบริเวณนี้ ต่อให้มีจอมมารมาพักอาศัยชั่วคราวหรือผ่านทางมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือต่อให้มีคนวางแผนอะไรอยู่ จะกล้าลงมือกับพวกเรา ล่วงเกินสกุลไห่อย่างไม่กลัวตายงั้นหรือ เรื่องที่สำคัญยิ่งในครั้งนี้ กลับเป็นการค้นพบกระดูกวิญญาณแท้โดยบังเอิญ หนึ่งในวัตถุดิบจำเป็นที่สกุลไห่เราจะนำไปหลอมสมบัติชิ้นนั้น ถ้าเรานำกลับไปได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีประโยชน์มหาศาล ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหน ก็ต้องคิดหาวิธีให้ได้ของชิ้นนี้มาถึงจะถูก” สตรีมารครุ่นคิดสักพัก ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม
“แต่ ฮูหยิน! คนผู้นั้นอาจเป็นจอมมารผู้หนึ่ง แล้วจะเอากระดูกวิญญาณท่อนนี้มาได้อย่างไรกัน” มารชายอีกตนกลับพูดอย่างอึดอัดใจ
“ถ้าเป็นจอมมารผู้หนึ่งจริง ก็มีปัญหามากจริงๆ ในเมื่อคนผู้นี้ริอ่านไม่ไว้หน้าสกุลไห่เรา แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องเป็นคนที่ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว ถึงได้โอหังไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้ เขาอยู่ที่นี่โดยไม่แยแสเราสามคน แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เกรงกลัวคนอื่นนี่” สตรีมารยิ้มเย็นชาก่อนพูด
“อา ความหมายของฮูหยินคือ” สองมารชายได้ยินก็อึ้ง หันมามองหน้ากัน
“พวกเจ้าไปสืบข่าวของสามพี่น้องสกุลหนานหน่อย ส่วนข้าก็ไปเยี่ยมเยียนเจ้าเมืองเซวี่ยยาท่านนั้นสักหน่อย ดูเหมือนสกุลหนานติดค้างน้ำใจสกุลไห่เราไม่น้อย และถ้าข้าจำไม่ผิดละก็ ปิ่งเชียนเริ่นคล้ายเป็นคนของหุบเขาเทียนหมาง ซึ่งไม่ปฏิเสธคำขอของเราง่ายๆ ถ้าพวกเขายอมรับปากช่วยเหลือ เราก็มีหวังมากขึ้นที่จะได้กระดูกวิญญาณมา” สตรีมารตัดสินใจแล้ว จึงพูด
“วิธีนี้วิเศษยิ่ง! ถ้าสามพี่น้องสกุลหนานกับปิ่งเชียนเริ่นร่วมกันกดดัน คิดว่าคนผู้นั้นก็ไม่ดึงดันต่อเพียงเพราะกระดูกวิญญาณที่ดูไม่ค่อยมีค่าท่อนนี้หรอก อย่างไรเราไม่มีเจตนาที่จะเอามันมาเปล่าๆ อยู่แล้ว” หนึ่งในมารชายพูดอย่างชื่นชมยินดี ส่วนอีกตนก็พยักหน้าติดต่อกันก่อนตอบใช่
“เมื่อพวกเจ้าทั้งสองรู้สึกว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน ก็รีบดำเนินการเถอะ บริเวณใกล้เคียงมีคลื่นอสูรก่อกวนอยู่ คิดว่าคนผู้นี้ก็ยังไปจากเมืองเซวี่ยยาไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรีบหนีไปพร้อมกระดูกวิญญาณ” สีหน้าของสตรีมารผ่อนคลายลง และออกคำสั่งอย่างเป็นทางการ
“ขอรับ ฮูหยิน” มารชายสองตนโค้งตัวลงพลางขานรับ
…..
ขณะเดียวกัน หานลี่ได้ยืนอยู่ในร้านค้าขนาดใหญ่ร้านหนึ่ง ซึ่งกินพื้นที่ราวหนึ่งหมู่แล้ว เขารับหินแร่โลหะที่มีประกายเล็กน้อยสองสามก้อนมาจากมือของผู้จัดการร้าน และกำลังตรวจดูอย่างละเอียดอยู่
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา ส่ายศีรษะและคืนหินเร่โลหะให้กับผู้จัดการร้านที่มองมาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็จากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
โลหะประหลาดเหล่านี้เป็นไปตามคาดแต่แรก ข้างในว่างเปล่าจริงๆ
เห็นที ถ้าคิดจะหาลูกปัดผลึกแบบเดียวกันให้เจอ ยังคงเป็นเรื่องของวาสนาแล้วจริงๆ
หานลี่เดินดูร้านค้าทั่วทั้งเมืองเซวี่ยยาคร่าวๆ หนึ่งรอบก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย เขาจึงไม่คิดที่จะหยุดอยู่บนถนนต่อ ตรงกลับที่พักเลย
เรื่องที่ถูกสตรีมารขวางทางไว้ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเขาไม่ใส่ใจ
ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอสีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดหม่นลง ทั่วทั้งเมืองเซวี่ยยาก็ค่อยๆ ถูกความมืดเข้าปกคลุม
ตอนนี้นอกจากทหารมารรักษาการณ์จำนวนหนึ่งเดินลาดตระเวนไปมาแล้ว ทุกๆ ที่ในเมืองก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมา บนถนนก็ยิ่งไม่มีแม้แต่เงาคน
เมืองเซวี่ยยาเข้าสู่สภาวะกฎอัยการศึกอีกครั้ง
ผ่านไปอีกหลายชั่วยาม หานลี่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องพัก พลันขยับท่าที สีหน้ามีความประหลาดใจวาบ มือหนึ่งทำท่าร่ายอาคม ผิวกายวาบแสงสีเขียวขมุกขมัว กลับหายไปจากห้องอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นานหลังจากนั้น บนท้องฟ้าเหนือที่พักของหานลี่หลายร้อยจั้ง เกิดความผันผวนเล็กน้อย แสงสีเขียวที่แทบจะมองเห็นไม่ชัดกลุ่มหนึ่งวาบและปรากฏ ก่อนบินหนีไปทันทีประหนึ่งผีสางก็มิปาน หลังจากกะพริบไม่กี่ครั้ง ก็ไปถึงปลายฟ้า กลับไม่ถูกสกัดกั้นการบินในเขตต้องห้ามของเมืองเลย
แต่เพียงเวลาไม่กี่อึดใจ แสงสีเทาอีกสายกลับแหวกอากาศจากอีกที่หนึ่งมาถึง โดยแทบจะวาบผ่านท้องฟ้าเหนือที่พักของหานลี่ไป ดูเหมือนเร็วกว่ากลุ่มแสงสีเขียวระยะหนึ่ง
แสงสองสายเคลื่อนที่อย่างไร้ร่องรอย และแปลกสุดจะเปรียบ ในความมืด ถ้าไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ ไม่มีทางพบได้จากระยะไกล เห็นชัดว่าทั้งสองล้วนร่ายอาคมลับอำพรางตัวชนิดหนึ่ง
ทั้งสองไล่ล่ากันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายไปจากปลายฟ้าแล้ว
ขณะนั้น ที่ว่างที่หนึ่งเกิดผันผวน เงาคนที่สามปรากฏขึ้นอย่างพร่ามัว และมองไปยังที่ที่แสงทั้งสองสายหายไปอย่างเย็นชา
ซึ่งก็คือหานลี่ที่พบเบาะแสของทั้งสองก่อน
ด้วยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของหานลี่ แม้ปล่อยจิตสัมผัสออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างในรัศมีหลายลี้ก็ไม่มีทางเล็ดลอดไปจากสัมผัสของเขาได้
เจ้าของแสงสว่างสองสายก่อนหน้านี้ แม้สามารถหลบหลีกหูตาของทหารมารลาดตระเวน แต่จะปิดบังเขาได้อย่างไรกัน
จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ เว้นแต่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์มาจุติด้วยตัวเอง
ส่วนทั้งสองคนก่อนหน้านี้ที่ไม่ถูกเขตต้องห้ามของเมืองสกัดกั้นการบิน ก็ใช้เวลายามวิกาลอันไร้ซึ่งผู้คน ไล่ล่ากันอย่างลับๆ ล่อๆ เห็นชัดว่ามีเรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้
นี่กลับค่อนข้างดึงดูดความสนใจของเขา
“อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไปดูๆ หน่อยดีกว่า” หานลี่ครุ่นคิดอยู่ที่เดิมสักพัก หลังจากพึมพำเสียงเบาไม่กี่คำ ร่างก็ขยับ กลายเป็นแสงสีเขียวจางๆ สายหนึ่งพุ่งตามไป
จิตสัมผัสของเขาพุ่งเป้าไปที่คนทั้งสองแต่แรก แม้สามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา ตามทันคนทั้งสองได้ในทันที แต่เขาก็จงใจลดความเร็วลง ตามอยู่ด้านหลังห่างๆ แบบไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป
เขากลับอยากดูว่า เมืองเซวี่ยยาก็แค่นี้ ทั้งสองจะไปถึงไหนได้
และจากจิตสัมผัสของหานลี่ ทั้งสองย่อมไม่มีทางรู้ว่าด้านหลังยังมีการดำรงอยู่ของบุคคลที่สาม ด้วยเอาแต่ง่วนอยู่กับการเคลื่อนที่ไม่หยุด
หนึ่งอยู่หน้า หนึ่งตามหลัง ไม่นานก็เข้าใกล้บริเวณกำแพงเมือง
แต่ตอนนี้ ด้านหน้ากลับมีทหารมารรักษาการณ์กองเล็กๆ กองหนึ่ง ลาดตระเวนมาทางนี้พอดี
ทหารมารกองนี้ทุกนายล้วนสวมเกราะรบสีดำ มือถือกริชขวานสีแดงยาวหลายจั้ง ใต้ร่างของผู้ที่เป็นหัวหน้ากองยังมีอสูรมารคล้ายแพะภูเขาสองหัวอยู่ตัวหนึ่ง
กลุ่มแสงสีเขียวที่อยู่ด้านหน้าเห็นดังนี้ ก็ค่อยๆ ชะงักการกลายเป็นลำแสงลง กลับมิได้หลบหนีในทันที แต่เลี้ยวแล้วอาศัยความชาญฉลาดอำพรางตัว แวบผ่านแถวนั้นตรงๆ
อีกคนที่เหาะตามมาด้านหลัง เหมือนกลัวว่าจะตามคนข้างหน้าไม่ทัน จึงกะพริบร่างเป็นลำแสงน้อยๆ วาบตามรอย จ่อท้ายคนข้างหน้าอย่างไม่ลดละ โดยไม่มีความคิดที่จะวาบหนีเช่นกัน
ท่ามกลางอาคมลับปกปิดพลังทั้งหมด แสงทั้งสองสายจึงกลายสภาพเป็นโปร่งแสงที่ไม่สามารถแยกแยะออกด้วยตาเปล่า
ถ้าเปลี่ยนเป็นทหารมารรักษาการณ์ทั่วไป กว่าครึ่งจะไม่สามารถดูเบาะแสของพวกเขาออก ทำให้ทั้งสองแวบผ่านแถวนั้นไปได้อย่างอุกอาจ
แต่ขณะที่แสงสีเขียวด้านหน้าสั่นไหว กำลังจะแวบผ่านกองลาดตระเวนนั้น บนร่างของหัวหน้ากองทหารมารผู้นั้นพลันส่งเสียงแหลมร้อง แล้วแสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออก กลับจู่โจมถูกกลุ่มแสงสีเขียวที่ล่องหนอยู่
บนร่างของหัวหน้ากองทหารมารผู้นี้ กลับมีอาวุธอาคมชั้นยอดสัมผัสอัตโนมัติชิ้นหนึ่ง!
กลุ่มแสงสีเขียวที่อำพรางตัวอยู่แต่เดิมพลันโซซัดโซเซปรากฏออก พอทหารมารรักษาการณ์เหล่านั้นเห็น ก็ล้วนตกใจ แต่ก็รีบสนองตอบด้วยการกวัดแกว่งกริชขวานยาวในมือพุ่งเข้าหา มีดปลายแหลมยาวราวหนึ่งจั้งสิบกว่าด้ามฟันเข้ามา
หัวหน้ากองผู้นั้นยิ่งไม่ลังเลใจ เหาะขึ้นฟ้า ยกฝ่ามือขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออก
เสียงหอนแหลมยาวแหวกอากาศ ดังไปถึงเมฆาชั้นเก้า
“แย่แล้ว”
แสงสีเขียวกลุ่มนั้นตะโกนเสียงต่ำอย่างขุ่นเคืองใจ เงาคนตะคุ่มๆ เงาหนึ่งในนั้นสั่นไหวทันที
ท่ามกลางแสงวาบอันบ้าคลั่งของใบมีด กลุ่มแสงสีเขียวถูกฟันขาดสิบกว่าส่วนในพริบตา แต่ด้านในกลับว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาคนดำรงอยู่
หัวหน้ากองผู้นั้นไม่เหมือนทหารทั่วไปจริงๆ ตอบสนองทันทีด้วยการลากอสูรมารหันร่างมา
เห็นเพียงที่ว่างเหนือศีรษะกองทหารของเขาราวสามสิบจั้ง เกิดความผันผวน แสงสีเขียวสายหนึ่งเจาะผ่านที่ว่างออกมา กะพริบแสงวาบแล้วพุ่งไปยังกำแพงเมืองที่อยู่ไม่ไกลกัน
“สกัดเขาไว้”
หัวหน้ากองทหารมารโมโห ตะโกนเสียงดังทันที ขณะที่มือข้างหนึ่งตบลงบนหัวๆ หนึ่งของอสูรมารที่อยู่ด้านล่างอย่างแรง
เสียงดัง ‘พรึ่บ’ สองหัวของอสูรมารสั่นไหว กลับพ่นประกายไฟสีน้ำเงินสองสายออกมาพร้อมกัน พอวาบก็ไปถึงด้านหลังของเงาคนสีเขียวที่อยู่ห่างออกไป และฟันแรงๆ ลงไป
พอเงาคนในสายรุ้งสีเขียวได้ยินเสียง ก็เพียงพลิกมือจับ แสงสีเขียวขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งม้วนตัวออก
ประกายไฟสีน้ำเงินสองสายคำราม ก่อนหายเข้าไปในแสงสีเขียว กลับไม่มีเสียงอะไรแปลกๆ ดังออกมาอีก เหมือนการจู่โจมไม่เป็นผลแต่อย่างใด
หลังจากรัศมีแสงของเงาคนสีเขียวสว่าง พลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งวาบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหล่าทหารมารรักษาการณ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาปิดล้อมเห็นดังนี้ ก็ตื่นตกใจ หยุดวิ่งไปโดยปริยาย
หัวหน้ากองโมโห กลับจะกระตุ้นอสูรมารด้านล่างให้ตามไป
แต่ในตอนนี้เอง อสูรมารด้านล่างกลับกรีดร้องออกมาอีก แล้วพ่นแสงสีเงินสายหนึ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง
ทว่าครั้งนี้ กลับมีเสียงขรึมๆ แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาดังมาจากที่ว่าง แล้วชิ้นสีโลหิตชิ้นหนึ่งปรากฏวาบ
พอแสงสีเงินจู่โจมใส่ชิ้นสีโลหิต กลับส่งเสียงดังกรอบแกรบ แล้วจึงสะท้อนกลับ ชิ้นสีโลหิตพลันวาบ หายไปในที่ว่างอย่างไร้ร่องรอย
“เป็นไปไม่ได้ อิทธิฤทธิ์นี้คือ…” หัวหน้ากองทหารมารพลันพูดเสียงแหบ แต่หน้าก็ซีดกะทันหัน เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงชะงักคำพูด
ขณะเดียวกัน อสูรมารด้านล่างที่เดิมทีคิดกระโจนออก ก็พลันยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างเจียมตัว ไม่ขยับแล้ว
“ใต้เท้าหัวหน้า พวกเราต้องไล่ตามไปไหม ลำพังทหารรักษาการณ์ที่นั่น เกรงว่าจะสกัดกั้นผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามทั้งสองไม่อยู่” ทหารมารรักษาการณ์คนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตาตัวเอง ย่อมเหงื่อแตกไปทั้งศีรษะ หนึ่งในนั้นลังเลสักพัก ค่อยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ช่างเถอะ สองคนนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก เราทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หัวหน้ากองทหารมารหน้าเปลี่ยนสีไปมาสองสามรอบ แล้วจึงฝืนยิ้ม ก่อนพูด
เหล่าทหารมารพอได้ยิน ก็แสดงอาการตะลึงงันออกมา
หัวหน้ากองของพวกเขาเป็นคนหยิ่งผยองมาก แต่กลับประเมินคนทั้งสองที่กระทั่งเงาก็ยังเห็นไม่ชัดเจนออกมาเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบเห็นจริงๆ
และขณะที่ทหารมารรักษาการณ์เหล่านี้กำลังประหลาดใจ สองคนที่อยู่ด้านหน้าก็ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่นอกกำแพงเมืองไปชุดหนึ่งแล้ว และวาบแสงก่อนหลัง ไล่ล่ากันออกจากเมืองเซวี่ยยาไป ประหนึ่งเขตต้องห้ามที่วางไว้เหนือเมืองเหล่านั้นมิได้ดำรงอยู่ ขัดขวางทั้งสองไม่ได้แต่อย่างใด
หานลี่รู้สึกแปลกใจอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากอำพรางตัว ก็วาบผ่านหัวหน้ากองทหารรักษาการณไปได้ โดยเส้นสีเงินที่เดิมทีมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง กลับไม่ตอบสนองใดๆ ต่อหานลี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
หลังจากทะยานร่างไม่กี่ครั้ง เขาก็เหาะมาถึงนอกแพงเมือง และพอร่างวาบเล็กน้อย ก็เลี่ยงผ่านเขตต้องห้ามไปอย่างไร้สุ้มเสียง